ไหปีศาจ - บทที่ 742 ดอกไม้สีเลือด
บทที่ 742 ดอกไม้สีเลือด
บทที่ 742
ดอกไม้สีเลือด
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดลง ท่ามกลางทะเลแห่งซากศพและเลือด
รอบตัวเขามีแขนขาของปีศาจนับไม่ถ้วนถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ กองพะเนินเทินทึกเหมือนภูเขา ชายคนนั้นผู้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดนั่งอยู่บนยอดเขาศพเช็ดมือของเขาให้กลายเป็นกรงเล็บที่แหลมคมราวกับราชินีแห่งฝันร้ายอย่างภาคภูมิใจ
ที่นี่คือมิติเหนือเมฆของสำนักเฉียนหลง
นักฆ่าลัทธิเต๋าผู้มีอายุมาก และไม่ได้ว่องไวค่อย ๆ เดินถอยออกจากภาพลวงตาของมิติเหนือเมฆ
ข้าง ๆ เขาคือหลี่หวู่หยวนรองประธานสำนักผู้สงบนิ่ง
“นี่คือภาพลวงตาที่หลี่หยินได้รับเมื่อเข้าทดสอบสมัครเข้ามาในสำนักเฉียนหลงสินะ” นักฆ่าลัทธิเต๋าถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขารู้สึกกระสับกระส่าย ราวกับสังหรณ์ใจว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
เขาอาศัยอยู่ในสำนักเฉียนหลง มานานกว่า 300 ปีแล้ว โดยไม่ได้สนใจโลกภายนอกแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่อะไร ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเขา แล้วทำไมหมู่นี้เขาถึงได้รู้สึกกระวนกระวายแบบนี้ มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงผู้สืบทอดคนเดียวของเขา
ว่ากันว่าหลี่หยินนั้นกำลังบ้าคลั่ง ไล่ฆ่าสังหารและตอบโต้อย่างดุเดือดอยู่ที่โลกภายนอก
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้น มันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในแก่นแท้แห่งการฆ่าไม่ใช่เหรอ?
สำหรับเขามันก็แค่เหตุการณ์เล็ก ๆ นักฆ่าลัทธิเต๋าจึงไม่ได้คิดจะสนใจเลย เขาจึงไม่คิดที่จะไปหยุดหลี่หยิน
ทว่าตอนนี้ความรู้สึกไม่สบายใจที่คุกรุ่นในใจ ทำให้เขาเริ่มสับสน เขาจึงได้ตัดสินใจไปตรวจสอบภูมิหลังของศิษย์ตนเอง
ข้อมูลต่าง ๆ บ่งชี้ว่ามันเกิดจากการที่หลี่หยินได้เข้าไปในมิติเหนือในเมฆ
ที่อดีตสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นแบบนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะมิติเหนือเมฆ ดังนั้นหลี่หวู่หยวนจึงช่วยเปิดมิติเหนือเมฆ ให้เขาได้ลองดูภาพจินตนาการดั้งเดิมของหลี่หยิน
และตอนนี้เขาก็ได้เห็นมันแล้ว
หลี่หวู่หยวนพยักหน้า “ใช่”
“การบุกรุกของนรกมนตรา ?”
“นี่คือภาพลวงตาที่สำนักเฉียนหลงเลือกอย่างนั้นเหรอ”
นักฆ่าลัทธิเต๋าถอนหายใจ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม หลี่หยิน ถึงได้รับการยอมรับจากฝันร้าย และทำไมความสามารถในการสังหารของนางจึงน่าทึ่งมาก
เพราะนางผ่านเรื่องร้าย ๆ มามากเกินไป
“มีอะไรเหรอ เจ้าเห็นอะไร?” หลี่หวู่หยวนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
นักฆ่าลัทธิเต๋าค่อย ๆ สำรอกออกมาสองสามคำ “สถานที่แห่งความตายที่มีแต่ซากศพของปีศาจ”
หลี่หวู่หยวน ตกตะลึงจากนั้นเขาก็เข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างทำให้ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม
ภาพลวงตานี้เป็นเพียงบททดสอบของหัวใจ
ตราบใดที่ยังสามารถรักษาจิตใจเอาไว้ได้จนผ่านพ้นภาพจำลองการบุกรุกของนรกมนตรา พวกเขาก็จะสามารถผ่านการตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า หลี่หยินผ่านมันมาด้วยการฆ่าปีศาจทั้งหมดในมิติเหนือเมฆเพียงลำพัง
“แต่นางก็ดูปกติดีนี่นา?” หลี่หวู่หยวน งงงวย
นักฆ่าลัทธิเต๋าพยักหน้า“ ข้าเองก็สงสัยเกี่ยวกับประเด็นนี้เช่นกัน คนที่มีประสบการณ์การฆาตกรรมมากมาย สามารถรักษาความบริสุทธิ์ดั้งเดิมและความตั้งใจเดิมถึงขนาดนางได้อย่างไร?
“เจ้ารู้เหตุผลแล้วรึ?”
“ถ้าให้ข้าเดาก็คงเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
“ลั่วอู๋?” หลี่หวู่หยวน เข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที
“ใช่แล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นคือประตูชีวิตของหลี่หยิน การมีอยู่ของเขาทำให้หลี่หยินสามารถระงับความปรารถนาที่จะฆ่า และลืมความทรงจำบางอย่างไปได้โดยไม่รู้ตัว”
“ลืมความทรงจำงั้นเหรอ?”
“ใช่ เจ้าจำสาวใช้ชื่อหงเฉา ขององค์หญิงเจียโรว ได้ใช่ไหม หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา นางก็ลืมความทรงจำที่ถูกทรมานไป นี่เป็นปรากฏการณ์ความจำเสื่อมโดยเลือกเฉพาะบางส่วน”
หลี่หวู่หยวนเข้าใจแล้ว มันไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่าทำไม จู่ ๆ ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของหลี่หยินถึงมากผิดปกติ
ด้วยการหายตัวไปของ ลั่วอู๋ ความปรารถนาที่จะแก้แค้นในใจของนางก็ได้ปะทุขึ้น ทำให้หลี่หยินฟื้นความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะแข็งแกร่งขึ้น
“ข้าจะออกไปดู” นักฆ่าลัทธิเต๋ากล่าวหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
หลี่หวู่หยวน ประหลาดใจ “จริงเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ฆ่าใคร” นักฆ่าลัทธิเต๋ากล่าวอย่างแผ่วเบา “การฆ่าแบบสมัยก่อนของข้า มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”
“ดีแล้ว” หลี่หวู่หยวน ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขายังคงจำความชั่วร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุดในอดีตของนักฆ่าลัทธิเต๋าได้ มันเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่จนเปลี่ยนทั้งแม่น้ำให้กลายเป็นเลือด
ในอดีตนั้นว่ากันว่า ราชสำนักได้ส่งผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรสิบเจ็ดคนออกไปตามล่า นักฆ่าลัทธิฆ่าเต๋า ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถปราบปรามนักฆ่าลัทธิเต๋าลงได้ ทำลายทะเลแก่นวิญญาณของเขาแล้วส่งไปรับโทษจากสวรรค์
แต่ในความเป็นจริงนั้น นักฆ่าลัทธิเต๋าไม่ได้ตายแต่อย่างใด เขาประสบความสำเร็จในก้าวข้ามสู่มิติวิญญาณระดับเพชร อย่างไรก็ตามเพื่อปกป้องเจ้านายของเขา เขาได้เลือกที่จะตาย
ทว่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้ง 17 คนนั้นกลับผิดคำพูดและได้สังหารเจ้านายของเขาลง ด้วยความแค้นที่มีต่อผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้ง 17 คน นักฆ่าลัทธิเต๋าจึงสังหารพวกเขาทุกคนทิ้ง แล้วมาอาศัยอยู่ที่สำนักเฉียนหลง กลายเป็นชายชราผู้ทำหน้าที่เฝ้าคฤหาสน์สุตรา
ส่วนสาเหตุที่นักฆ่าลัทธิเต๋าบอกว่าเขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์สังหารปรากฏขึ้นอีกนั้นไม่ใช่เพราะเขารู้สึกแย่เกี่ยวกับการสังหารหมู่
แต่เป็นเพราะตอนนี้โลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตของนรกมนตรา จึงไม่เหมาะที่จะปล่อยให้มีคนตายมากจนเกินไป
สำหรับผลพวงของวิกฤต
ไม่ว่าจะมีคนตายมากแค่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา
……
……
เซียวอวี้รับผิดชอบหน้าที่ในการตามล่าราชินีแห่งฝันร้าย
ทว่าเขากลับสูญเสียร่องรอยที่จะติดตามราชินีแห่งฝันร้ายไป ซึ่งทำให้เขาหดหู่และโกรธมาก แม้ว่าเขาจะกลายเป็นร่างผีดิบ เขาก็ยังโกรธได้อยู่ดี เพียงแต่เขาไม่สามารถแสดงมันออกมาบนใบหน้าได้เท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีผู้ใช้พลังวิญญาณหนุ่มสองคนเข้ามาขัดขวางเขาละก็ เขาน่าจะประสบความสำเร็จไปแล้ว
ชายหนุ่มสองคนนั้นเป็นเหมือนฝาแฝด
พวกเขามีหน้าตาเหมือนกันราวกับเมล็ดถั่วสองเมล็ด เพียงแต่ชายคนหนึ่งเข้าใจแก่นแท้ทักษะแห่งแสง ส่วนอีกคนเข้าใจแก่นแท้ทักษะแห่งความมืด เมื่อแก่นแท้ทักษะทั้งสองรวมพลังเข้าด้วยกัน พลังนั้นก็เกินกว่าที่ใครจะประเมินได้
โชคดีที่พวกเขามีกันแค่สองคน
ถ้ามีผู้ใช้พลังวิญญาณอันดับต้น ๆ ของโลกที่ต่อต้านองค์จักรพรรดิมากขึ้นมาอีกคนเขาคนจะลำบากมาก
ด้วยพลังของแก่นแท้ทักษะทั้งสองอย่างแสงและมืดผสานเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ดักจับเซียวอวี้ได้สำเร็จ จังหวะนั้นเองราชินีแห่งฝันร้ายก็สามารถหลบหนีออกไปได้ และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ชายหนุ่มทั้งสองคนเองก็หลบหนีออกไปได้เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะวางยาราชินีแห่งฝันร้ายได้ทัน แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เซียวอวี้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับนาง
ต่อหน้าพิษที่ทรงพลังถึงขนาดนั้น ทำไมราชินีแห่งฝันร้ายถึงยังมีชีวิตอยู่ได้? นางมีมิติวิญญาณเพียงระดับทองขั้นสูง ตามหลักแล้วนางไม่น่าจะสามารถต้านทานพิษของราชาผีดิบฮานได้ไม่ใช่เหรอ?
หลังจากนั้นเขาก็ได้พยายามตามหาร่องรอยของราชินีแห่งฝันร้าย แต่ก็ไม่พบ
จนกระทั่งวันนี้ที่เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณของราชินีแห่งฝันร้าย
“เจ้ากล้าปล่อยลมปราณออกมาอย่างนั้นเหรอ กำลังมองหาที่ตายรึไง?” เซียวอวี้หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วจึงพุ่งออกไป
จากนั้นเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทิศทางของลมปราณดูเหมือนจะอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
เขาเร่งเร้าเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อบินไปยังเมืองหลวง ทันทีที่เขาเข้าใกล้เมืองหลวง เขาก็เห็นผู้คนจำนวนมากวิ่งหนีตายออกมา
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ไม่มีทางเลยที่กลิ่นเลือดจะฟุ้งรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ หากไม่มีการฆ่าสังหารคนหลายร้อยหรือหลายพันคน
เซียวอวี้ตัวสั่นด้วยความโกรธ “เจ้ากล้าดียังไง!”
เขาบินอย่างบ้าคลั่ง ผ่านเลือดที่ไหลมาตามถนนจนกลายเป็นแม่น้ำ พุ่งไปอย่างรวดเร็วที่สุดจนร่างหายไปในอากาศ
เมื่อมองจากบนท้องฟ้า เซียวอวี้ก็เห็นว่าพื้นที่บางส่วนของเมืองหลวงดูเหมือนจะมีดอกไม้สีเลือดสดใสตั้งอยู่
แต่เมื่อมองดูชัด ๆ เขาก็เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน
มันคือศพนับไม่ถ้วน
มันไม่ได้มีเพียงแค่ศพของกองทหารองครักษ์ กองทัพต้องห้ามและกองทหารทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในชุดธรรมดาอีกด้วยที่จมอยู่ในกองซากศพเหล่านั้น
แม้ว่าราชินีแห่งฝันร้ายจะเป็นนักฆ่าที่เน้นการลอบสังหาร แต่นางก็มุ่งเป้าไปที่งานเลี้ยงต่าง ๆ ของ หลี่ซวนซงเท่านั้น นางไม่เคยลงมือกับผู้บริสุทธิ์มาก่อน
ทว่าฉากตรงหน้าเซียวอวี้ได้แสดงให้เขาเห็นแล้วว่า ตอนนี้ราชินีแห่งฝันร้ายนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เพราะนางเริ่มไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดและเริ่มที่จะลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์
แม้ว่าเซียวอวี้จะกลายเป็นผีดิบ แต่เขาก็ยังคงมีความคิดในฐานะของคนคนหนึ่งอยู่
เขาจึงรู้สึกโกรธจนตัวสั่น
ณ ใจกลางดอกไม้สีเลือดที่สร้างขึ้นมาจากซากศพ ราชินีแห่งฝันร้ายในชุดสีดำกำลังนั่งอยู่บนเนินศพอย่างปลอดภัย นางกำลังเช็ดมือของนางซึ่งกลายเป็นกรงเล็บ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่แยแสต่อสิ่งใดไร้ซึ่งความผันผวน
ช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาด
“เจ้า เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไปน่ะ!” เซียวอวี้โกรธจัด
ดูเหมือนว่านางจะเหนื่อยแล้ว ราชินีแห่งฝันร้ายจะไม่เลือกที่หลบหนีจากไป นางเพียงแต่มองไปที่เลือดบนพื้นแล้วพูดขึ้น
“พวกเขาไม่ควรเข้ามาขวางข้า”