ไหปีศาจ - บทที่ 961 ค้ำประกัน
บทที่ 961
ค้ำประกัน
อย่างที่ทุกคนรู้
สิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิ ที่สามารถรวบรวมโลกและเรียกตัวเองว่าสวรรค์และโลกได้ ก็คือสามารถสร้างมิติย่อยได้
ท้ายที่สุดแล้วมิติที่เปิดออกมาเป็นเพียงแค่ช่องว่าง แต่มิติย่อยนั้นแตกต่างออกไป มิติย่อยมีกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์และสามารถให้กำเนิดชีวิตได้
ลั่วอู๋ได้เห็นมิติย่อยของคุนมาแล้ว มันเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่
และเขาก็ได้เห็นทะเลแห่งดาบซึ่งเป็นมิติย่อยที่จักรพรรดิดาบทิ้งไว้หลังจากที่เขาเสียชีวิตไป มันสามารถแพร่พันธุ์วิญญาณดาบและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้
เห็นได้ชัดว่ามิติย่อยของทะเลแห่งดาบได้ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
หลักของการสร้างมิติย่อยคือการควบคุมแก่นแท้ระดับถือครองเต๋าให้ได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสมมติฐาน ไม่ได้หมายความว่าการเข้าใจแก่นแท้ระดับถือครองเต๋าก็เพียงพอแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ก็สามารถเห็นพลังของการเข้าใจแก่นแท้ระดับถือครองเต๋าได้บ้าง
การเข้าใจแก่นแท้ระดับถือครองเต๋าได้กับไม่ได้ต่างกันสองระดับมิติวิญาณ
การพัฒนาของต้าหวงจะเพิ่มความแข็งแกร่งของลั่วอู๋ อย่างน้อย 30%
ลั่วอู๋จะไม่มีความสุขได้ยังไง
“ไปหาทุกคนกันเถอะ” ลั่วอู๋ ต้าหวง และหลี่หยิน กลับอยู่ตรงหน้าฝูงชน
หลินยูหลันพูดอย่างสงสัย “เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น มันมืดจนเกือบจะแตกตื่นกันหมดเลย”
ในนั้นตอน คนทั้งโลกไหก็ตกตะลึงเช่นกัน
โชคดีที่ช่วงเวลาความมืดนั้นค่อนข้างสั้น
มิฉะนั้น เกรงว่าลั่วอู๋จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อคลายความสับสน
“แค่มองอะไรไม่เห็นนิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอก” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นแค่อุบัติเหตุ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ฝูงชนพยักหน้า
หยู่เฮามองไปที่ต้าหวงและถามว่า “วิวัฒนาการสำเร็จรึเปล่า? ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แน่นอนมันสำเร็จสิ” ลั่วอู๋อดหัวเราะไม่ได้
ต่อมา ต้าหวงแสดงผลการวิวัฒนาการของมันเล็กน้อย ซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ
เราทุกคนรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะเชี่ยวชาญการเข้าใจแก่นแท้ระดับถือครองเต๋า
ในหมู่พวกเขา ผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ได้มากที่สุดเพียงคนเดียวคือหลี่หยิน ซึ่งอยู่ในสถานะที่ไม่รู้ตัวในตอนแรก ด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง นางจึงสังหารผู้คนไปเป็นแสนแล้วจึงเชี่ยวชาญแก่นแท้แห่งการฆ่า
เมื่อหลี่หยินฟื้นคืนสภาพ แก่นแท้แห่งการฆ่าก็ไม่ค่อยได้ใช้
เพราะในสภาวะปกติ มันไม่ง่ายที่จะควบคุม และมันยากที่จะดึงพลังที่แท้จริงออกมา
ทุกคนแสดงความยินดีกับลั่วอู๋
เฉพาะเหวินเสี่ยวด้านมืดที่คิดว่า “แก่นแท้ระดับถือครองเต๋ามีพลังมากขนาดนั้นเลยรึ? ดูเหมือนว่าข้าต้องหาทางเข้าถึงบ้างแล้ว ด้วยวิธีนี้เท่านั้นข้าก็จะได้…”
เขามองไปที่เหวินเสี่ยวด้านสว่าง
ทุกคนรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
เหวินเสี่ยวด้านสว่างก็รู้เช่นกันว่าเขาพูดอย่างสงบว่า “ไม่ต้องห่วง ตอนที่เจ้าเข้าถึงแก่นแท้แห่งความมืด ข้าก็จะเข้าถึงแก่นแท้แห่งแสงสว่างได้อย่างแน่นอน”
“เหอะทำเป็นพูดไป อย่างเจ้าจะทำได้รึ?” เหวินเสี่ยวด้านมืดดูถูก
ทุกมองเขาอย่างเหนื่อยใจ
เจ้าคือเขา เขาก็คือเจ้า
หากดูถูกความสามารถในการเข้าใจแก่นแท้ของเขา เท่ากับเจ้าดูถูกตัวเอง
เมื่อการวิวัฒนาการสิ้นสุดลง ในที่สุดลั่วอู๋ก็สามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย
หลังจากเดินทางอย่างรวดเร็ว เขาก็ไปที่ภูเขาเสาผนึกมนตราอีกครั้ง
ลั่วอู๋เล่าให้เจ้าสำนักฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อเห็นลั่วอู๋กลับมาอย่างปลอดภัย เจ้าสำนักก็มีความสุขมาก เขาไม่คิดเลยว่าลั่วอู๋จะประสบความสำเร็จจริง ๆ และนำขนของกระต่ายมนตรากลับมาได้โดยไม่ได้รับอันตราย
แต่หลังจากได้ยินเรื่องภูตไหแล้ว เจ้าสำนักก็เงียบไป
เขารู้จักภูตไห เป็นคนแปลก ๆ ที่มีความสามารถพิเศษ และเขาก็เป็นเพื่อนกับเขาด้วย
แต่เขาไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังยุคมืด
ถ้าเขารู้เรื่องนี้ เขาคงจะฆ่าภูตไห และคงจะไม่มีอะไรต่อกันมากมาย เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าสำนักจะไม่โกรธได้ยังไง
“หากเจ้าเจอเขาอีกในอนาคต เจ้าจะต้องฆ่าเขา จะต้องไม่มีความเมตตา” เจ้าสำนักกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ลั่วอู๋พยักหน้า “แน่นอน”
“ข้าต้องการความมั่นใจของเจ้า” เจ้าสำนักกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ถึงแม้เจ้าต้องสังเวยชีวิตผู้คนนับล้าน เจ้าก็ต้องทำ!”
ลั่วอู๋ประหลาดใจ “ต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ถ้ามันจำเป็นก็ต้องทำ”
แม้ว่าลั่วอู๋จะเกลียดพฤติกรรมของภูตไหก็ตาม เขาไม่ได้คิดจะสังเวยโลกนี้เพราะความแค้นส่วนตัวของเขา
ตอนนี้เจ้าสำนักกำลังเตือนเขา
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความแค้นส่วนตัวแล้ว
มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนจำนวนมาก
“ข้าสัญญา” ลั่วอู๋ได้ให้คำมั่นสัญญาตามคำขอของเจ้าสำนัก
เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบมากขึ้น
หลังจากกล่าวคำอำลากับเจ้าสำนักแล้ว ลั่วอู๋ก็กลับไปหาชาวแซค
“จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนรกมนตรา เจ้าควรจะไปอยู่ที่อื่นดีกว่า” ลั่วอู๋กล่าว
แม้ว่าจะลังเลมาก แต่ชาวแซคก็ไม่ได้โง่ เมื่อรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในนรกมนตรา การซ่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
พวกเขาต้องยอมสละพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่
ชาวแซคเก็บข้าวของทุกอย่าง และออกจากที่นี่ไปกับลั่วอู๋ ลั่วอู๋ก็พาพวกเขาไปที่ทางเข้าของช่องมิติ
เพื่อป้องกันการถูกปีศาจพบตัว จึงเลือกทางเข้าช่องมิติที่ห่างไกลอย่างยิ่งของนรกมนตรา แสงสลัวและไม่มีปีศาจอยู่
แน่นอน แค่อยู่ใกล้ ๆ ทางออกแค่เอื้อม
แต่ลั่วอู๋ไม่ได้บอกแซคเกี่ยวกับทางออกที่แท้จริง
“ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า ข้าจะเปิดช่องมิติใหม่ให้เจ้า จะไม่มีการขาดแคลนอาหาร หินเหล็กไฟ และสิ่งอื่น ๆ ในอนาคต” ลั่วอู๋กล่าว
หัวหน้าใหญ่พยักหน้า “ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดี”
หลังจากคบค้ากันมานานก็พวกเขาก็รู้จักกันเป็นอย่างดี
ลั่วอู๋ก็ยังไว้วางใจชาวแซค
ชาวแซครู้สึกขอบคุณมากสำหรับการดูแลของลั่วอู๋ ท้ายที่สุดแล้วชีวิตของพวกเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายพันเท่า
พวกเขาอยากตอบแทนบุญคุณที่ช่วยพวกเขาจากชีวิตที่ยากลำบาก
แต่ลั่วอู๋ไม่ต้องการให้พวกเขาทำอะไร
หลังจากทั้งหมดนี้ ลั่วอู๋เลือกที่จะจากไป
ผู้เฒ่ามองไปที่นรกมนตราอันมืดมิดและให้กำลังใจทุกคน “มาเถอะ สร้างบ้านใหม่ของเรากัน แม้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะเลวร้ายกว่า แต่ก็ไม่มีปีศาจมารบกวน เราสามารถมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ได้”
ความมั่นคงคือขุมทรัพย์ของนรกมนตรา
แต่โชคดีที่พวกเขาได้รับมัน
ไม่มีใครบ่น ทุกคนมีความกระตือรือร้นและเริ่มสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
หมู่บ้านใหม่ถูกสร้างขึ้นในไม่ช้า
ท้ายที่สุด ก็มีหินมากมายในนรกมนตราและชาวแซคไม่ใช่คนแบบที่พวกเขาเคยเป็น มีนักรบระดับทองมากกว่าสิบคนในชนเผ่าแซค มันง่ายมากที่จะสร้างที่อยู่อาศัย
ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างคลังเก็บของและโรงตีเหล็ก
“ดีมาก” ผู้เฒ่ามองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขารู้สึกว่าเขามีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อความคล่องตัวของเผ่าเหล่านั้นแล้ว
แต่ชนเผ่าแซคไม่มีใครสังเกตว่ามีอีกาดำบินโฉบอยู่บนท้องฟ้า และดวงตาสีเทาก็มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้
มันโบยบินไปบนท้องฟ้า ราวกับสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่มีลมหายใจและความรู้สึกใด ๆ และไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่งมันก็หันหลังและบินหนีไป
ทิศทางที่จะบินไปคือถิ่นที่อยู่ของปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง หนึ่งในเก้าปรมาจารย์ปีศาจ