ไหปีศาจ - บทที่ 999 การเจรจาล้มเหลว
บทที่ 999
การเจรจาล้มเหลว
ผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ยต่างก็เห็นความพิเศษของตราหยกนี้
ไม่มีคำอธิบายจากจูกู่เฉิง
เพราะนี่คือความลับของราชวังเป่ยหมิง
ลั่วอู๋รีบเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้เราต้องการระดับจักรพรรดิที่แท้จริงอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยมนุษย์สะกดนรกมนตรา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จบ”
“ไม่มีทาง” ใบหน้าของจูกู่เฉิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะร้ายแรงถึงเพียงนี้
พระราชวังเป่ยหมิงก่อตั้งขึ้นมาโดยผู้รอดชีวิตจากความหายนะในยุคมืด พวกเขายังคงมีความทรงจำของเหตุการณ์ ความโกลาหล และได้บันทึกไว้เป็นพิเศษเพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำ
ดังนั้นจูกู่เฉิงก็รู้เกี่ยวกับนรกมนตราด้วย
“เจ้าต้องการใช้พลังของคุน?” จูกู่เฉิงเข้าใจสิ่งที่ลั่วอู๋ อยากจะสื่อ
ลั่วอู๋พยักหน้า “เวลามันกระชั้นชิด ข้าจึงอยากลองก่อน”
ในใจของเขาราชินีภูตนั้นจัดการได้ยากมากกว่าคุน อย่างไรก็ตาม คุนก็ยังคงถูกผนึกไว้ อาจมีช่องให้ได้เจรจากัน
จูกู่เฉิงดูเคร่งเครียด “แม้ว่าคุนจะตกลง แต่ใครในพวกเจ้าจะรับรองได้ว่ามันจะไม่ขัดขืนอีก เจ้ารู้ไหม ความดุร้ายของคุนก็ไม่ใช่เล่น ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถ้าคุนจากไปวังเป่ยหมิงจะทำยังไง?”
ใช่แล้ว คุนเป็นเกาะนี้
เมื่อคุนจากไป วังเป่ยหมิงทั้งหมดก็จะจมลงไปในทะเล
ลั่วอู๋หยิบไหปีศาจออกมา มันส่งลมปราณที่เรียบง่ายและลึกลับออกมา “ถ้าคุนยอมตกลงด้วยจริง ๆ พวกเจ้าทั้งหมดสามารถอยู่ที่นี่ได้ ข้ายินดีที่จะปกป้องวังเป่ยหมิงตลอดไป จนกว่าเจ้าจะพบดินแดนบริสุทธิ์แห่งใหม่ให้เจ้าอาศัยอยู่”
“นี่มัน…”
ครั้งล่าสุดที่ลั่วอู๋ขอให้เขาไปที่อาณาจักรโบราณหมื่นอมตะ จูกู่เฉิงก็ได้เข้าสู่โลกไหด้วย
ในตอนนั้น มันวิเศษมากที่ลั่วอู๋เต็มใจที่จะเผยโลกใบ เล็ก ๆ ใบนี้ออกมาให้เห็น
จูกู่เฉิงยังคงลังเล
“อย่าคิดมาก ถ้านรกมนตราบุกเข้ามา วังเป่ยหมิงจะอยู่ตัวคนเดียวได้ไหม?” ลั่วอู๋เร่ง
ในที่สุดจูกู่เฉิงก็เห็นด้วย
ลั่วอู๋ผ่านอาณาเขตของวังเป่ยหมิงอย่างรวดเร็วและมายังโลกภายในของคุน
ที่นี่ยังคงมีความโกลาหลของดวงดาว ราวกับว่าจักรวาลเพิ่งเริ่มเปิดออก ดวงดาวที่อยู่ห่างไกลก็สว่างไสวและมืดมน ภาพลวงตาเกิดขึ้นและสลายไป ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตแสดงความลึกลับอันไร้ขอบเขต
ในใจกลางของจักรวาลที่วุ่นวายนี้ มีแอ่งน้ำสีทอง และในสระนั้นมีวาฬตัวน้อยที่เหมือนภาพลวงตาลอยอยู่บนน้ำ นอนเงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังหลับอยู่
ลั่วอู๋รู้ว่านี่คือคุน
เขาเคยพูดคุยกันมาแล้วในตอนแรก
แน่นอน เขาเกือบถูกอีกฝ่ายล่อลวง โชคดีที่ลั่วอู๋สังเหตุเห็นเป้าหมายของอีกฝ่ายได้ทันเวลา และเขายังเข้าใจถึงความดุร้ายของคุนอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
ไม่ว่าตำนานของสัตว์วิญญาณตัวนี้จะสวยงามเพียงใด ความดุร้ายก็ยังมีอยู่ในตัวสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่
ลั่วอู๋เห็นดาบ
ดาบเลือดเดือด
ในตอนแรก ลั่วอู๋เอาเงาดาบออกมาแล้วแทนที่ด้วยดาบเลือดเดือดเพื่อรักษาผนึก ดาบเลือดเดือดได้ดื่มเลือดของคุน ตอนนี้มันจึงฉายแสงสีเลือดออกมาอย่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
ดาบเลือดเดือดสามารถดูดเลือดได้
แต่สิ่งที่จะพัฒนาไปเป็นในท้ายที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของตัวมันเอง
แต่ดาบเลือดเดือดนี้เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ที่ไม่ดี
ถูกขังอยู่ในจักรวาลที่โกลาหลนี้ มีเพียงความตายและความมืด และไม่ได้ดูดเลือดตลอดเวลาอีกต่อไป ในตอนนี้ ดาบเลือดเดือดนี้เป็นเพียงอาวุธที่ดุร้าย
แน่นอนว่าระดับถึงระดับมนตราแล้ว
ลั่วอู๋ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เขารู้สึกถึงความน่าหวาดกลัวสุดขีดแพร่ออกมา สมองของเขาอดไม่ได้ที่จะทำให้เห็นภาพลวงตาของเลือด เขารีบหลบตากลับมาทันที
“มันช่างน่ากลัว”
ลั่วอู๋สูดหายใจเข้าลึก ๆ และดวงตาของเขาจดจ้อง
“แต่ข้าไม่มีเวลาต่อสู้กับดาบพัง ๆ หรอกนะ” ลั่วอู๋ค่อย ๆ หยิบดาบเทพพิทักษ์ออกมา ดาบเทพพิทักษ์รู้สึกถึงลมปราณอันดุเดือดของดาบนั้น และทันใดนั้นก็ส่งเสียงรุนแรงออกมา
จื่อซวนในชุดสีม่วงปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ และลอยอยู่ข้างหลังลั่วอู๋
“นายท่าน ท่านจะทำอะไร”
“ตอนนี้ข้าต้องการพลัง” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้าวางมันไว้ที่นี่เพื่อจะมาเอามันในภายหลัง ตอนนี้ได้เวลาแล้ว”
ลั่วอู๋พุ่งเข้าไปหาดาบอันดุร้าย ดาบสีดำขนาดมหึมาถูกฟันออกมา พายุกวาดไป ราวกับจะจุดชนวนการระเบิดของดวงดาวนับไม่ถ้วน ทำให้เกิดแรงสะเทือนอย่างมาก
ดาบอันดุร้ายสั่นสะท้าน และเปลวไฟสีแดงบนใบดาบดูเหมือนจะอยากต่อสู้มีคลื่นของพลังงานที่กดดัน
“จะยอมมอบตัวหรือตาย!” ลั่วอู๋คำราม
เขตแดนแห่งดาบกางออก เจตจำนงดาบสี่ประเภทก็ปะทุขึ้น ควบแน่นเป็นดาบที่น่ากลัวสี่เล่ม ลอยอยู่รอบดาบอันดุร้าย และพลังที่หาที่เปรียบไม่ได้ก็กลืนกินพลังอันดุร้ายของดาบอันดุร้ายอย่างบ้าคลั่ง
ดาบอันดุร้ายส่งเสียงร้องด้วยความโศกเศร้า
ไม่ว่าจะดุร้ายแค่ไหนมันก็ยังเป็นแค่อาวุธ
ลั่วอู๋เป็นมนุษย์ มีอาวุธมนตรา ดาบสี่เล่มแตกต่างกันแต่ก็ทรงพลังอย่างยิ่ง แน่นอน มันง่ายที่จะบอกว่าดาบอันดุร้ายนี้ถูกปราบลงแล้ว
แสงบนดาบอันดุร้ายค่อย ๆ มาบรรจบกันและแสดงให้เห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของมัน
ตัวดาบนั้นเป็นสีแดง สั้นเล็กน้อย แต่ทั้งเล่นเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ กระแสแรงกดดันยังคงรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ลิงดุร้ายตัวเล็กที่มีขนสีแดงปรากฏอยู่บนด้ามดาบ แยกเขี้ยวของมัน
นี่คือจิตวิญญาณของดาบอันดุร้าย
ตราบใดที่พวกมันได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จิตวิญญาณแห่งดาบก็จะถูกฝึกให้เชื่องได้ในไม่ช้าก็เร็ว
แต่ลั่วอู๋ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ในตอนนี้
“หลังจากฝึกแล้ว เจ้าจะถูกเรียกว่าดาบแห่งการสังหาร” ลั่วอู๋ให้ชื่อให้มัน “ตอนนี้ไปอยู่ในไหก่อน”
เขาเพียงแค่เก็บดาบไป
ผนึก 18 ดวงก็หายไป และวงล้อแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างช้า ๆ มันหมุนอย่างรวดเร็วและสว่างมาก เหมือนกับการรวมตัวของดวงดาวที่สลายไปแล้วไม่รู้จบ
แต่ก็แค่นั้น จักรวาลที่วุ่นวายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “อย่าซ่อนตัว ออกมาซะ”
ดังนั้นเสียงที่อ่อนแอและกดดันจึงดังขึ้น
“มนุษย์ เจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า”
แสงสว่างในจักรวาลโกลาหลค่อย ๆ หายไป และถูกแทนที่ด้วยเจตจำนงกดดันที่ไม่มีวันสิ้นสุด สมแล้วที่เป็นระดับจักรพรรดิ เพียงแค่ผนึกถูกเปิดออกเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถแสดงพลังดังกล่าวได้
และลั่วอู๋ก็สงบมากเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้
ในสภาพปัจจุบันของเขา ไม่กลัวว่าจะเผลอปลดผนึกคุนผู้ยิ่งใหญ่นี้เลย
เพราะยังไงก็จำเป็นต้องปลุกเจตจำนงของคุนเพื่อเอาดาบที่ผนึกไว้กลับคืนมา
“อย่าตะโกนแบบนั้นสิ พูดเบาข้าก็ได้ยินแล้ว” ลั่วอู๋พูด ช้า ๆ “ทำข้อตกลงกันเถอะ เจ้าถูกผนึกมานานแล้ว เจ้าคงต้องอยากได้อิสรภาพสินะ”
“เจ้าปลดผนึกก่อนสิ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก” ในสระสีทอง เงาที่ว่างเปล่าของปลาวาฬตัวน้อยกำลังริบหรี่
ลั่วอู๋เดาะลิ้น
“ข้าต้องการให้เจ้าทำสิ่งหนึ่งให้ข้า ตราบใดที่เจ้าสัญญาและทำสัญญาวิญญาณ…”
เพื่อรักษาเวลา ลั่วอู๋รีบพูดอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำราม
“ไปให้พ้น!”
จักรวาลที่วุ่นวายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
โลกที่ว่างเปล่าดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ
“ความเมตตาสูงสุดของข้าที่มีต่อเจ้าคือการไม่ฆ่าเจ้าเสียแต่ตอนนี้ เมื่อผนึกคลายออก ข้าจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยเลือดเพื่อขจัดความเกลียดชังของข้า”
ความเกลียดชังอันมหึมานั้นเกือบจะควบแน่นเป็นสสาร
ลั่วอู๋ทิ้งดาบเลือดเดือดอีกเล่มไว้ด้วยความอับอาย รักษาผนึกให้มั่นคงแล้วหนีออกมา