お兄ちゃん大嫌い หนูเกลียดพี่ชายที่สุดเลย - ตอนที่ 2 หนึ่งวันของมาโมรุ
ณ หน้าประตูบ้านที่เด็กชายคุ้นเคย ขณะนี้เด็กชายที่อยู่หน้าประตูบ้าน รู้สึกไม่ดีมากนัก เนื่องจาก บรรยากาศรอบๆบ้านที่อึมครึม ในช่วงเวลาดึก
“แม่ครับ พ่อครับ ผมกลับมาแล้ว”
เด็กชายที่พึ่งกลับมาจากบ้านในช่วงเวลาดึกเพราะเล่นบอลกับเพื่อนจนลืมเวลา
ได้ยืนอยู่หน้าบ้าน รอพ่อแม่ของเขามาเปิดประตูให้ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆจากในบ้าน
เด็กชายจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในบ้าน ภาพที่เด็กชายเห็นคือ ภายในบ้านไม่มีแสงใดๆ บรรยากาศภายในบ้านที่เงียบงัน ทำให้มาโมรุรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“แม่ครับ พ่อครับ “
เด็กชายขานเรียกพ่อแม่ของเขาและหวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากพวกเขา
แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆเช่นเคย
เด็กชายจึงตัดสินใจเดินไปที่ห้องครัวของเขาเพื่อที่จะหาอาหารที่พ่อแม่ทำเผื่อไว้ให้
พอเด็กชายถึงห้องครัวและเปิดไฟ ภาพที่เขาเห็นไม่ใช่ภาพที่เขาเห็นเป็นประจำแต่เป็น…..
อยู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดลงมืดลงเรื่อยๆจนดำสนิท แล้วค่อยๆสว่างขึ้น
แสงจากยามสายที่ทะลุมายังห้องของมาโมรุ ส่องไปที่ที่เขากำลังนอนอยู่
สภาพของเขาตอนนี้ดูเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม ผมที่กระเซิง เสื้อผ้าที่ยับ เตียงที่ของกระจัดกระจาย
เหงื่อที่ท่วมเต็มตัว
“ฝันนั่น……อีกแล้วหรอ”
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เมื่อคืนมาโมรุกับยูกิก็ไม่ได้แก้ปัญหากับมาโมรุทำให้มาโมรุจมอยู่กับความรู้สึกผิด
มาโมรุค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ มองไปที่นาฬิกาแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลา9.00pm
นั่นเป็นเวลาที่คนปกติถือว่าเป็นการทำงานสาย แต่มาโมรุทำหน้าเหมือนไม่ได้ตกใจอะไร
ราวกับว่านี่เป็นเวลาประจำที่เขาตื่น
“อืม…..เวลาป่านนี้แล้วหรอ ต้องรีบแต่งตัวแล้วสิ”
มาโมรุลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปที่ห้องน้ำ
หลังจากที่มาโมรุอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็หยิบกระเป๋าที่วางอยู่ด้านข้างเตียงเดินออกจากห้อง
ภายในบ้านไม่มีไฟเปิดเลยซักดวง มีเพียงแสงจากยามสายที่ทะลุผ้าม่านเล็กน้อย
มาโมรุเดินผ่านหน้าห้องของน้องสาวและห้องของครอบครัว
ประตูของแต่ละห้องถูกปิดจนสนิทเหลือเพียงแค่ประตูหน้าบ้านเท่านั้น
เดาได้ว่าทุกคนได้ออกจากบ้านกันไปแล้ว
ถึงมาโมรุจะรู้สึกเหงาเล็กน้อยที่ไม่ได้กินนข้าวเช้ากับครอบครัว
มาโมรุจึงเดินไปที่หน้าประตูบ้าน หยิบรองเท้าที่อยู่ในที่วางชั้นมาใส่ และหยิบกุญแจที่อยู่บนที่วางชั้น เดินออกมาจากบ้าน และปิดประตูล็อค
มาโมรุเดินที่ข้างทางไปเรื่อยๆ ที่ข้างทางมีรถขับสัญจรไปมา ระหว่างที่มาโมรุเดิน
มาโมรุก็พยายามลืมเกี่ยวกับฝันและเรื่องเกี่ยวกับยูกิ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นปัญหากับการทำงานอีกครั้ง
และเดินไปเรื่อยๆจนถึงที่ทำงาน
มาโมรุที่ยืนนื่งอยู่ที่หน้าสำนักงานนักสืบเอกชน ตัวของมาโมรุตอนนี้กำลังเตรียมใจกับอะไรบางอย่างอยู่
จนผ่านไปซักพัก มาโมรุก็ตัดสินใจเข้าไปข้างในสำนักงาน
“มาโมรุ!!!! แกนะแก! นี่แกจะมาทำงานสายทุกวันไม่ได้นะ!!! “
“แหะๆ” มาโมรุไม่ได้ตอบกลับอะไรเพียงแต่ขำแห้งให้หัวหน้างานของเขา
“แก!!!! นี่แกมาสายทุกวันมาหลายเดือนแล้วนะ เดี๋ยวชั้นจะหักเงินแกซะหรอก!!”
อุซากิที่เห็นมาโมรุที่โดนหัวหน้าดุอยู่ก็ตรงเข้ามาหาเขาและเริ่มที่จะช่วยแก้ตัวให้มาโมรุ
“โถ่ไม่เอาสิหัวหน้า มาโมรุแค่มาสายนิดหน่อยเองนะคะ นอกจากนั้นเขาก็ทำงานดีมาโดยตลอดเลยนะคะ”
“ก็จริงของเธอ แต่ว่าเจ้าหมอนั่นมันชักจะมาสายบ่อยเกินไปซะแล้วสิ”
“เหยาๆให้เขาหน่อยเถอะน่า นะหัวหน้า”
“ก็ได้ๆ นี่เห็นเพราะแกทำงานออกมาดีหรอกนะ มาโมรุ”
“ขอบคุณครับ แหะๆ”
หลังจากที่ช่วยแก้ปัญหาจากหัวหน้าได้อุซากิก็พุ่งตรงเข้ามาหามาโมรุ
“นี่มาโมรุ นายน่ะไม่ไหวเลยนะ นายนี่มันคุณนักสืบจอมขี้เกียจจริงๆ”
“ขอโทษนะ แต่ช่วงนี้ผมตื่นเองไม่ค่อยจะได้”
“งั้นทำไมไม่ใช้นาฬิกาปลุกซะล่ะ”
“เพราะว่าน่าฬิกาปลุกยังทำให้ผมตื่นไม่ได้เลย แล้วก็มันเสียงดังด้วยผมกลัวว่าจะทำให้คนในบ้านตื่นน่ะ”
“อ๋อ งี้นี่เอง งั้น”
“ให้ชั้นไปปลุกถึงที่มั้ยหล่ะ ฮิฮิ”
“จะบ้าหรอ คนในบ้านเขาจะคิดว่าเป็นคนแปลกหน้ากันพอดี”
“ฮ่าๆๆ นั่นสิน้า” อุซากิหัวเราะที่ได้แกล้งมาโมรุ
มาโมรุที่เห็นอุซากิก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงหัวเราะกันนะ
“นี่มาโมรุ ปกตินายที่จะทำหน้านิ่งมาโดยตลอด ทำไมวันนี้ถึงทำหน้าเหมือนมีเรื่องอะไรหล่ะ”
“นี่เธอดูออกด้วยหรอ”
“ก็นายน่ะดูออกง่ายจะตายไป”
“งั้นหรอ แต่ตอนผมไม่ได้ทำอะไรให้ดูออกเลยนะ”
“ก็เพราะชั้นเป็นคนเดียวที่อ่านนายออกไงหล่ะ”
โดยปกติแล้วมาโมรุจะทำหน้านิ่งอยู่ตลอดและวันนี้ก็ทำหน้าแทบจะเหมือนเดิม แต่ อุซากิถึงสังเกตุถึงอารมณ์ของมาโมรุได้อย่างน่าแปลกใจ
“เอาเป็นว่า ผมไม่ได้มีอะไรหรอกครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
“หืม จริงหรอ”
“งั้นชั้นเชื่อก็ได้ ถ้ามีอะไรนายมาปรึกษาชั้นได้นะ คุณนักสืบจอมขี้เกียจ”
“หยุดเรียกผมแบบนั้นได้แล้วครับรุ่นพี่”
“แต่ชั้นชอบชื่อนี้นะ ฟังดูดีออก”
“ผมก็มีชื่อนะครับ ช่วยเรียกให้ถูกด้วยครับ”
“เห นี่นายจะให้ชั้นเรียกชื่อเลยหรอ ใจกล้าจังนะ เจ้ารุ่นน้องจอมมีดมน”
“รุ่นพี่นี่ชอบคิดชื่อแปลกๆให้ผมจริงๆ เดี๋ยวผมจะโกรธแล้วนะ”
“ฮ่าๆๆ ขอโทษๆ หลังจากนี้จะเรียกชื่อดีๆแล้ว สล็อตคุง”
“ผมไปทำงานแล้วครับ”
“อ้า—- กลับมาก่อนนน”
มาโมรุตรงไปที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงพัก ประตูห้องของมาโมรุก็ถูกเปิดเผยให้เห็นอุซากิที่ใส่แว่นดำกับหนวดปลอมพร้อมกับเสื้อโค้ทแบบมิดชิดเข้ามาในห้อง
“เฮ้ นายตรงนั้นหน่ะ สนใจไปกินข้าวพักด้วยกันไหม”
“นี่รุ่นพี่ ไม่ต้องปลอมตัวก็ได้นะ ผมไม่ได้โกรธรุ่นพี่เลยนะ”
“อ้าวหรอแต่นายบอกว่าจะโกรธนี่นา”
“ผมเอาคืนรุ่นพีไง”
“บ้าจริง นี่ชั้นโดนเอาคืนหรือเนี่ย”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่หัวหน้างานก็เข้ามาในห้องของมาโมรุแบบกะทันหัน
“เฮ้!! มาโมรุ เพื่อเป็นการชดใช้ที่แกมาสาย แกต้องไปกดตุ๊กตาให้ชั้นซะ!”
“เอาอีกแล้ว หัวหน้าใช้แรงงานมาโมรุอีกแล้ว”
“ทำไงได้หล่ะก็เจ้าหมอนี่น่ะ! เป็นคนเดียวมนสำนักงานที่กดตุ๊กตาได้แบบไม่เสียเยอะเลยนะ!”
“แต่มาโมรุต้องไปกินข้าวกับหนูนะคะหัวหน้า”
“ไม่ได้ เจ้าหมอนี่นะถือเป็นสมบัติของมนุษยชาติ! เจ้าหมอนี่น่ะต้องไปกับชั้น!”
“แต่หนูมาก่อนนะคะหัวหน้า”
“แต่ตุ๊กตาตัวนี้เป็นลิมิเต็ดนะ! ถ้าพลาดล่ะก็ชั้นต้องเสียใจทั้งชีวิตแน่!”
“หัวหน้านี่จะแซงคิวงั้นสินะ เดี๋ยวหนูหักเงินเดือนซะเลย”
“นั่นคำพูดชั้นเว้ย!!”
“เอ่ออ ทุกคน ทำไมเราไม่ลองทำทั้งสองอย่างพร้อมกันล่ะ”
“โห มาโมรุนายนี่หลายใจชะมัดเลย’
“จริงด้วย” หัวหน้างานพูด
“จะบ้าหรอ ผมว่านี่เป็นทางออกที่ดีเลยนะครับ ได้ออกไปกินข้างนอกด้วยแล้วก็ได้เล่นเกมเซนด้วย”
“นั่นสินะ นายนี่อัจฉริยะจริงๆ เจ้ารุ่นน้องจอมมืดมน”
“มาโมรุ จงเจริญ!”
เมื่อทุกคนตกลงกันได้แล้วก็ตัดสินใจลางานไปที่เกมเซนเตอร์กัน
ที่เกมเซนเตอร์ ที่ปกติจะมีคนอยู่เต็มไปหมด ในตอนนี้มีคนอยู่เพียงเล็กน้อยเนื่องจากเมืองนี้ มีการบุกรุกจากแก็งค์อันธพาลอยู่ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีโอกาสเกิดเหตุการ์ณร้ายๆเกิดขึ้นได้ผู้คนจึงเลือกที่จะอยู่บ้านกัน มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่จะมาเที่ยวกันแบบพวกเขาทั้งสาม
“ที่นี่ คนน้อยลงเยอะเลยนะ “
“นั่นสิครับ”
เมื่อพวกเขามาถึงกัน ก็ยืนดูอยู่ข้างหน้ากันซักพัก ค่อยเข้าไปข้างใน
พวกเขาตรงไปยังร้านอาหาร แวะซื้ออาหารและนั่งพักกินอาหารเที่ยงกัน
“ช่วงเวลาที่สงบสุขแบบนี้ถ้ามีต่อไปเรื่อยๆคงดีสินะ หัวหน้าพูดขึ้น”
มาโมรุและอุซากิที่กำลังกินอยู่ก็หันมามองหน้าของหัวหน้า
ใบหน้าของหัวหน้าแสดงถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นสินะครับ”
บรรยากาศถูกทำให้เงียบลง อุซากิที่เห้นแบบนั้น ก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“จริงสิมาโมรุ ชั้นป้อนให้เอามั้ย”
“แกอย่ามาหวานกันต่อหน้าชั้นนะ!! เห็นแล้วมันเจ็บใจ!!!”
“ผมกับรุ่นพี่ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นกันนะครับ รุ่นพี่คงคิดจะแกล้งผมเหมือนเดิมแน่ๆ”
“อะไรกัน ความแตกซะแล้ว…..ว่าแต่หัวหน้านี่ไปนัดบอดตั้งหลายครั้งแต่ไม่เคยไปได้ดีซักครั้งเลยนะไม่ได้เรื่องเลยนะหัวหน้าเนี่ย”
“ชั้นจะหักเงินเดือนแกอุซากิ”
“อะไรกัน ไม่จริงง”
หลังจากที่ทุกคนกินกันเสร็จ ก็พากันไปที่ศูนย์คีบตุ๊กตา
ที่นั่นเต็มไปด้วยตู้กระจกที่บรรจุตุ๊กตาคละแบบอยู่ข้างใน
ตุ๊กตาแต่ละตัวดูมีเอกลักษณ์ที่ทำให้ตุ๊กตาแต่ละตัวดูแตกต่าง
แต่บางตู้ตุ๊กตาในตู้แทบจะเหมือนกัน
หัวหน้าเดินนำพวกเขาไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่หน้าเครื่องๆหนึ่ง
หัวหน้าชี้ตุ๊กตาแพนกวิ้นที่ใส่แว่นดำพร้อมกับหมวกสุดจะเท่
“วันนี้ชั้นขอรับแกไปล่ะนะ! เจ้าแพนกวิ้นบอย”
“หัวหน้านี่เป็นจูนิเบียวสินะ”
“นั่นสินะ”
“เจ้าพวกนี้! เดี๋ยวชั้นจะหักคอพวกแกซะหรอก! เอ้าเอาเงินชั้นไปใช้สิ หลังจากกดเจ้าตัวนั้นให้ชั้นได้ก็เอาไปใช้เล่นอะไรก็ได้”
“หัวหน้านี่ใจบุญเกินคาดแฮะ”
“เห็นด้วยครับ”
พวกเขาใช้เวลากันในเกมเซนเตอร์จนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงพวกเขาก็เล่นกันจนพอใจเป็นช่วงเวลาที่สนุกจริงๆสำหรับพวกเขาทั้งสาม
หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันกลับบ้านมาโมรุก็เดินไปตามเส้นทางที่เดินเป็นประจำ
แต่รอบนี้มาโมรุรู้สึกแปลกไป ทำให้มาโมรุชลอความเร็วลง
-แกร๊บ-
เสียงไม้ที่ถูกเหยียบดังมาจากข้างหลังมาโมรุ ทันทีที่มาโมรุได้ยินเขาก็หันกลับไปที่ต้นตอของเสียงทันที แต่กลับมีแค่เพียงทางที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกระจัดกระจายอยู่ข้างทาง
มาโมรุที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ และเริ่มเดินทางกลับบ้าน
‘คิดไปเองงั้นหรอ’