ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 274 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-1
บทที่ 274 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-1
“กินอิ่มหรือยัง”
หลิวรุ่ยอิ่งมองจานเปล่าห้าหกใบตรงหน้า
ในหนึ่งวันเขายังกินไม่ได้มากเท่านี้เลย
“กินอิ่มแล้ว…”
หวาหนงเองก็ค่อนข้างเคอะเขินอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงยังกินลงก็จะกินไปเรื่อยๆ
กินมากขึ้นอีกคำก็จะเติมท้องให้อิ่มได้ชั่วเวลาหนึ่ง
เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าอาหารมื้อต่อไปจะเป็นเมื่อใด
แม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว
แต่ความเคยชินที่มีมานานปี ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ทันที
“พวกเราออกเดินทางกันเถิด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เหตุใดต้องรีบร้อนเพียงนี้”
หวาหนงถาม
เขานึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะค้างแรมในเมืองนี้สักคืน
ยิ่งไปกว่านั้น ตนยังไม่ได้แจกจ่ายเม็ดทองคำออกไปเลย
“เจ้าชอบความครึกครื้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“สิ่งใดคือความครึกครื้น”
หลิวรุ่ยอิ่งหมดคำพูด
เพราะนิยามของคำว่าครึกครื้นกว้างเกินไป
เสียงแมลงร่ำนกร้องในป่าเขาก็นับว่าครึกครื้นได้
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนในตลาดก็นับว่าครึกครื้นได้
คำถามนี้ตอบยากจริงๆ
“ข้าไม่ชอบความครึกครื้น เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด”
นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงลุกขึ้นพลางเอ่ย
แต่มีเสียงล้มลงกับพื้นดัง ‘ตึงๆๆ’ มาจากข้างหลัง
พอเขาหันมาไปมอง
ก็พบว่าทหารองครักษ์ของเจิ้นเป่ยอ๋องที่เข้ามาเมื่อครู่ล้มนอนระเกะระกะอยู่บนพื้นทุกคน
มีเพียงนายทหารเหมือนว่าจะเป็นนายกองที่ชักดาบออกมายันพื้นประคองตัวไว้
เมื่อมองไปรอบทิศ
เสี่ยวเอ้อร์และเถ้าแก่ร้านหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งนานแล้ว
ในเหลาสุรานอกจากตนกับหวาหนงก็เหลือเพียงเหล่าทหารที่ล้มนอนอยู่เต็มพื้นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าจะหลีกหนีความครึกครื้นครั้งนี้ไม่ได้เสียแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำกับตนเอง
หวาหนงก็ลุกขึ้นยืน และมองภาพตรงหน้าด้วยความใคร่รู้
“พวกเขาตายแล้วหรือ”
หวาหนงถาม
ทว่าภาพตรงหน้า เห็นชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้หลับ เช่นนั้นก็ต้องตายแล้ว
“ยัง พวกเขายังไม่ตายแต่คาดว่าคงใกล้แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาดื่มสุราที่เหลืออยู่ในกาจนหมดในรวดเดียว
รสสัมผัสเย็นๆ ในปากทำให้ฟันเขาสั่นเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มน้ำสุราที่เย็นเพียงนี้
เหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่น้ำสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปช้าๆ
นายกองผู้นั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งก็ชี้ดาบมาที่เขาทันที
“ข้าคือนายกองกองสัคคะเนตรแห่งกรมสอบสวนกลาง!”
หลิวรุ่ยอิ่งแจ้งฐานะของตน
พอนายกองผู้นั้นได้ยินคำว่ากรมสอบสวนก็วางดาบลงทันที
“ท่านนายกอง ชะ…ช่วยข้าด้วย!”
พูดจบเขาก็ล้มลงกับพื้น หมดสติไป
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสน้ำสุราบนโต๊ะ
มันกลับอุ่น
ดูเหมือนว่าจะถูกวางยา
เมื่อผสมผงยาในสุรา ย่อมมีรสที่แตกต่างออกไป
แต่หากนำสุราไปต้มก่อน คนทั่วไปก็จะแยกรสสัมผัสที่แตกต่างไปเพียงเล็กน้อยนี้ไม่ได้
“ฮ่าๆๆ! นายกองหลิว!”
ประตูห้องส่วนตัวชั้นบนเปิดออก
ตัวคนยังไม่ทันเดินลงบันไดมา เสียงก็ดังออกมาก่อนแล้ว
เมื่อเห็นคนเหล่านี้อีกครั้ง ก็ไม่เห็นเครื่องแบบของกรมสอบสวนบนตัวพวกเขาแล้ว
ทั้งหมดล้วนอยู่ในชุดลำลอง ในมือถือดาบยาวแวววาว
“พวกเจ้าไปเอาเครื่องแบบกรมสอบสวนมาจากที่ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เรื่องที่เกิดในแดนของเจิ้นเป่ยอ๋องไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แต่คนเหล่านี้กลับกล้าแอบอ้างเป็นคนของกรมสอบสวน หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่เกี่ยวไม่ได้
“กรมสอบสวนกลางชื่อใหญ่โตเพียงนี้! พวกเราพี่น้องแค่ยืมมาใช้ก็เท่านั้น”
คนที่แอบอ้างว่าเป็นผู้สั่งการกองก่อนหน้านี้กล่าว
เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้
“ตำแหน่งผู้สั่งการกองย่อมใช้ไม่ดีเท่าตำแหน่งนายกองเป็นแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ผิด ฉะนั้นข้าน้อยจึงอยากยืมของสิ่งหนึ่งจากนายกองหลิว”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
“ยืมสิ่งใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพียงแต่ของสิ่งนี้เมื่อข้ายืมมาแล้วก็จะไม่มีทางคืนให้ได้”
คนเป็นหัวหน้ายังไม่ได้ตอบคำถามของหลิวรุ่ยอิ่งแต่กลับพูดมาเช่นนี้
“คิดไม่ถึงว่าเนื้อหนังของข้าจะมีราคายิ่ง…ต้องรู้ด้วยว่าข้าไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะพลางเอ่ย
“เมื่อมีชื่อเจ้าแห่งกรมสอบสวน ใต้หล้านี้กว้างใหญ่ พวกข้าพี่น้องจะไปที่ใดก็ได้ทั้งสิ้น”
คนเป็นหัวหน้าบอก
“เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงเท่านี้กระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ว่ากันว่าอ่านหนังสือหมื่นม้วน เดินทางหมื่นลี้ พวกเราพี่น้องล้วนไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ แต่เดินทางหมื่นลี้ก็ต้องมีเงินทุน”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
“เห็นทีสิ่งที่ทหารแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเหล่านี้คุ้มกันมาก็คือเงินทุนของพวกเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ผิด! ยิ่งไปกว่านั้นมันคือเงินสดสี่ล้านตำลึงถ้วนทีเดียว!”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
น้ำเสียงเขาสั่นเครือ
สะกดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
สี่ล้านตำลึง!
คิดว่าคงเป็นเบี้ยหวัดที่แดนเจิ้นเป่ยอ๋องจะนำไปส่งให้กองทัพใหญ่ที่ชายแดนเพื่อใช้สกัดกองกำลังราชสำนักทุ่งหญ้าเป็นแน่
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มสงสัยคนที่อยู่ตรงหน้า
ที่แท้แล้วเป็นคนประเภทใดกันถึงได้เหิมเกริมเพียงนี้ ถึงกับแอบอ้างเป็นคนของกรมสอบสวนเพื่อมาปล้นเงินเบี้ยหวัด?
“เจ้าชื่อว่าตงอี้จริงๆ รึ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าของเสื้อผ้าชุดนั้นชื่อว่าตงอี้”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
จากนั้นก็โยนป้ายประจำตำแหน่งที่อาบด้วยเลือดสดไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดออกดู
บนนั้นเขียนว่า ‘ตงอี้ ผู้สั่งการกองสัคคะเนตร กรมสอบสวนกลาง’
หลังจากดูแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็เก็บป้ายประจำตำแหน่งนี้ไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นหลับตาลง
ยกกาสุรากาหนึ่งบนโต๊ะของทหารเจิ้นเป่ยอ๋องขึ้นมาแล้วเทลงบนพื้น
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่รู้จักผู้สั่งการกองที่มีนามว่าตงอี้ผู้นี้
แต่จะอย่างไรก็สังกัดอยู่ในกรมสอบสวนกลางเช่นเดียวกับเขา
จึงนับได้ว่าเป็นคนรู้จัก
สุรารดลงพื้น
ถือเป็นการคารวะเซ่นไหว้
มือของหลิวรุ่ยอิ่งกุมที่ด้ามกระบี่
ธรรมลักษณ์บรมครูในกายมีกำลังวังชาขึ้นมาในพริบตา
พลันขึ้นมายืนอยู่บนแท่นสวรรค์ภายในกายเขา
พร้อมเข้าโรมรันอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว
คนเป็นหัวหน้าเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งเตรียมจะชักกระบี่
ก็เพียงยิ้มหยันหนึ่งที
ก่อนยกดาบในมือขึ้น
พริบตานั้นคมดาบส่องแสงแวววาวหลายครั้ง
กาสุราตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งก็ถูกตัดออกเป็นสามท่อนเสมอกัน
“หวาหนง!”
หลิวรุ่ยอิ่งร้องเรียก
หวาหนงเดินมาข้างหน้าตามคำเรียก
แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“เจ้าเห็นสิ่งใดจากแววตาเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
หวาหนงพลันตั้งใจมองขึ้นมา
ตั้งใจกระทั่งคนเป็นหัวหน้าถูกจ้องจนรู้สึกขนลุกจำต้องหลบสายตา
“ข้ามองออกว่าเขาอยากเดิมพันสักตั้ง”
หวาหนงกล่าว
“เขาอยากเดิมพันสิ่งใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่รู้ แต่ข้ามองออกว่าเขาอยากเดิมพัน”
หวาหนงกล่าวพลางส่ายหัว
“เขากำลังเดิมพันชีวิต”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางส่ายหัว
“ชีวิตของผู้ใด”
หวาหนงถาม
“ของเจ้ากับข้า และคนทั้งกลุ่มข้างหลังเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่ในเมื่ออยากเดิมพันก็ต้องมีพยานบุคคลสักหน่อย ไม่เช่นนั้นจะตัดสินแพ้และชนะอย่างไร กลัวก็แต่เหล่าพยานที่มีเพียงหนึ่งเดียว เวลานี้กลับลืมตาไม่ขึ้นแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางมองไปยังทหารอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องที่นอนแผ่อยู่บนพื้น
“ไม่จำเป็นต้องมีพยาน ผู้ใดสามารถเดินออกไปจากประตูเหลาสุราแห่งนี้ได้ ผู้นั้นย่อมชนะเดิมพัน”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
เมื่อพูดประโยคนี้จบ
ภายในเหลาสุราก็เงียบงันจนน่าประหลาด
กระทั่งเสียงเอะอะข้างนอกประตูก็ยังไม่ได้ยิน
“พวกเจ้าวางแผนใหญ่โตนัก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างหนหนึ่ง
“แต่ไรมาข้าไม่เคยเชื่อคำว่าจับเสือมือเปล่าอะไรนั่น การค้าที่ไม่มีต้นทุน ได้รับก็สาแก่ใจ เสียหายไปก็สาแก่ใจอยู่ดี”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
“ดังนั้นเจ้าไม่กังวลว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดจึงจัดฉากทั้งเมืองไว้เรียบร้อยแล้วงั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“รวมทั้งขอทานน้อยที่เก็บห่อเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เจ้าทิ้งออกนอกหน้าต่างเมื่อครู่นี้ด้วย”
คนเป็นหัวหน้ากล่าว
“น่าเสียดาย…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เสียดายสิ่งใด”
คนเป็นหัวหน้าถาม
“เสียดายเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เหลือกว่าครึ่งห่อของข้า…เดิมทีนึกว่าจะทำให้ขอทานน้อยนั่นดีใจสักครึ่งวันได้จริงๆ แต่คาดว่าพอเขาเข้าไปในตรอกก็คงจะเอาไปโยนทิ้งเสียแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหัวพลางเอ่ยทอดอาลัย
“เจ้าสามารถเลือกวิธีตายที่มีเกียรติวิธีหนึ่ง”
คนเป็นหัวหน้าบอก
“วิธีตายที่มีเกียรติ? ในเมื่อเป็นการตายไหนเลยจะมีเกียรติ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ดาบของเจ้าจะรวดเร็ว แต่มีปัญญาแค่ตัดกาสุรา ยังไม่พอให้ข้ายื่นคอรอให้ตัด[1]ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ
“ดาบของเขารวดเร็วหรือ”
หวาหนงพลันถามขึ้นมา
“เจ้าดูสิ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางชี้ไปยังกาสุราบนโต๊ะที่ถูกตัดเป็นสามท่อน
………………………………………
[1] ยื่นคอรอให้ตัด หมายถึง หวาดกลัว ตื่นตระหนก