ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 10 วางดาบใช้กระบี่
บทที่ 10 วางดาบใช้กระบี่
วันที่สิบห้าเดือนสาม
ควรปัดกวาด อาบน้ำ หาหมอ รักษาโรค
เลี่ยงแต่งงาน ค้าขาย เปิดกิจการ ฝังศพ
เป็นวันที่ ‘มหัพภาคติ้งซี’ ปล่อยออกมาหนึ่งครั้งต่อปี
ลานลับแห่งหนึ่งบริเวณพรมแดมสองรัฐติงและเหิง
พิราบส่งสารตัวหนึ่งบินลงบนสันหลังคา
“ห่วงข้อเท้าหยกเคลือบ เป็นจดหมายของคุณชาย”
หลายคนได้ยินเสียงจึงเดินออกมาจากในบ้าน แล้วหยิบเอากระดาษจดหมายบนตัวนกพิราบ
“ห้าเมืองชายแดนรัฐติงกลายเป็นเขตสงครามแล้ว ทหารหมาป่าทุ่งหญ้ากรูเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม เฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองรัฐติงนำทัพใหญ่ต้านทานอย่างยากลำบากแต่ยังคงแพ้ถอยร่นต่อเนื่อง ทหารหมาป่าบุกเข้าเมืองจี๋อิง เหิมเกริมสังหารผู้คน มันถูกชาวเมืองสองคนหยุดยั้งไว้ ยามนี้ยอดฝีมือผู้ซ่อนตัวทั้งสองกำลังพักรักษาอยู่ในจุดพักม้าทางการรัฐติง เตรียมมุ่งหน้าไปรบที่พรมแดนเพื่อตั้งมั่นรักษาเขตชายแดนอยู่ทุกเมื่อ
นอกจากนั้น เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนติ้งซีเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง ยอดฝีมือหลายท่านในยุทธภพก็ได้มาถึงรัฐติงอย่างลับๆ หนึ่งในนั้นฝึกกระบี่บนพื้นหิมะใต้ดวงจันทร์ นั่นคือกระบี่พิชิตแปดทิศ เป็นยอดฝีมือผู้ใช้กระบี่บรมภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาผู้นั้นก็ถือโอกาสที่ ‘มหัพภาคติ้งซี’ ข้าเผยแพร่ ขอประกาศไปยังมือกระบี่ทั่วหล้าว่า ‘เป็นดังว่าหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ไม่อาจนับเป็นวีรบุรุษ มาดูกันในสมรภูมิทุ่งหญ้าชายแดนนี้ใครจึงจะเป็นยอดกระบี่ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า ใครจะคว้าสมญาผู้ใช้กระบี่บรมภูมิสุดแกร่งนี้ไปได้!’
มหัพภาคติ้งซี
วารสารที่มีจำนวนการตีพิมพ์มากที่สุดในอาณาเขตติ้งซีอ๋อง
วันที่สิบห้าเดือนสามของทุกปี ร้านสุราและโรงเตี๊ยมใหญ่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งในหาบของพ่อค้าหาบเร่ข้างถนนล้วนวางมันไว้ปึกหนึ่ง
มหัพภาคนี้ไม่ตั้งราคา อาศัยความถูกชะตาของผู้อ่านล้วนๆ
สนุกแล้วให้เงินเพิ่มสักสองสามแดง ไม่สนุกแล้วหยิบไปเปล่าๆ ก็ไม่มีใครว่าเจ้า
ประวัติศาสตร์ของมันไม่ยาวนานนัก มีมาประมาณสิบกว่าปีเท่านั้นเอง
มหัพภาคแบ่งเป็นบนล่างสองส่วน ครึ่งส่วนบนกล่าวถึงเรื่องราว สรุปรวมเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญและเรื่องพิเศษของห้ารัฐใต้บังคับบัญชาติ้งซีอ๋องในหนึ่งปีมานี้ ครึ่งส่วนล่างเล่าถึงบุคคล กล่าวโดยละเอียดว่าในหนึ่งปีนี้เหล่าบุคคลมีชื่อผู้เข้ามาอยู่ในปกครองติ้งซีอ๋องนั้นได้ทำผลงานอะไรออกมาบ้าง
ดังนั้นเมื่อถึงวันนี้ แทบทุกคนล้วนออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ นัดรวมกลุ่มกันไปซื้อมหัพภาคติ้งซีที่เพิ่งออกสดใหม่จากเตามาอ่าน
เพียงแต่มหัพภาคของปีนี้ไม่ได้ออกตรงเวลาเช่นปีก่อน กลุ่มคนต่อแถวยาวเหยียดรออย่างลำบากจนถึงยามไฮ่[1]
มหัพภาคในปีนี้มีเพียงหนึ่งหน้าครึ่งบางๆ
หน้าหนึ่งกล่าวถึงเรื่องราว อีกครึ่งหน้าเล่าถึงบุคคล
………………
ในวังติ้งซีอ๋อง
ในมือของฮั่ววั่งก็ถือมหัพภาคติ้งซีอยู่ฉบับหนึ่งเช่นกัน
เขาสนใจวารสารฉบับนี้มากนับตั้งแต่ออกเผยแพร่เป็นวันแรก
อย่างไรสิ่งที่เล่าก็เป็นเรื่องราวและบุคคลในอาณาเขตเขา เขาก็อยากอ่านดูว่าสิ่งที่เขียนในมหัพภาคนั้นแตกต่างกับสิ่งที่ตนรู้หรือไม่
แม้ฮั่ววั่งจะไม่ยี่หระเนื้อหาในนั้นมาโดยตลอด ทำเหมือนอ่านเรื่องสนุกสนานเท่านั้น แต่มหัพภาคในวันนี้กลับทำให้เขาต้องอ่านมันอย่างจริงจัง
“ในที่ว่าการห้ารัฐนอกจากเจ้าฮุยฮั่นผู้ควบคุมรัฐเยวี่ยกับศิษย์ผู้ตรวจการรัฐสองคนของเขาแล้ว ก็ไม่มียอดฝีมือผู้ใช้กระบี่อะไรอีก ส่วนคนในยุทธภพ…”
ใช่ว่าฮั่ววั่งไม่เคยตรวจสอบพื้นเพของมหัพภาคติ้งซี แต่สืบไปสืบมารู้เพียงว่าบุคคลที่รับผิดชอบเรียบเรียงเผยแพร่นั้นคือโรงเรืองขวัญซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้ทางการมากนัก
โรงเรืองขวัญดำเนินการอย่างลับๆ ยามปกติสมาชิกแต่ละคนล้วนมีอาชีพหลัก พวกเขารวมตัวกันแค่ช่วงปลายเดือนสองและใช้เวลาครึ่งเดือนเรียบเรียงตีพิมพ์ พวกเขาล้วนมีร่องรอยการเคลื่อนไหวในห้ารัฐแห่งติ้งซี คนในโรงเรียกเจ้าของโรงว่าคุณชาย แม้แผ่นดินติ้งซีไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเท่าพื้นที่แถบใจกลางอาคเนย์ แต่ผู้ที่ถูกเรียกด้วยคำว่าคุณชายนั้นไม่มากกว่าหมื่นก็ไม่ต่ำกว่าหมื่น
เวลานานเข้า ฮั่ววั่งก็ปล่อยให้มันดำเนินไป
การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติของกระบี่วงแหวนดาราเมื่อวานนี้ยังคงทำให้เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ วันนี้ในมหัพภาคยังบอกว่ามียอดฝีมือวิชากระบี่เลิศล้ำเหนือปฐพีคนหนึ่งท้ารบมือกระบี่ทั่วหล้า นี่ทำให้ฮั่ววั่งรู้สึกคันยุบยิบในใจไปพร้อมกับที่ไม่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลัง อย่าคิดว่าติ้งซีอ๋องผู้สูงศักดิ์ท่านนี้จะไม่สนใจเรื่องใกล้ชิดอิสตรี ทว่ากระบี่และวิชากระบี่ก็คือหญิงงามอันดับหนึ่งในสายตาเขา
หินก้อนเดียวก่อเกิดคลื่นนับพัน
เมื่อคำประกาศของมือกระบี่ท่านนั้นในมหัพภาคติ้งซีแพร่ออกไป ยุทธภพแห่งติ้งซีพลันวุ่นวายไม่สิ้นสุด
โดยเฉพาะหนุ่มสาวบางคนผู้เร่งร้อนอยากพิสูจน์ตนเอง อยากออกไปสร้างสมญาและไม่รู้จักขอบเขตจึงรีบเร่งม้าเต็มเหยียดมุ่งไปรัฐติงโดยไม่หยุดพักรั้งรอ แม้แต่ยอดคนวิถีกระบี่ผู้หลีกเร้นไม่สนใจเรื่องทางโลกไปนานแล้วยังทยอยออกจากภูเขา อยากเห็นนักว่าใครกันที่มีคำพูดอาจหาญเช่นนี้ อยากจะคว้าตำแหน่งผู้ใช้กระบี่บรมภูมิแห่งใต้หล้าในคราวเดียว
………………………..
“คุณชาย เช่นนี้ดีจริงหรือขอรับ”
“ยุครุ่งเรืองสงบสุขย่อมเป็นช่วงเวลาที่ดีในการอยู่อย่างเป็นสุข แต่กลับไม่ใช่จังหวะที่ข้าต้องการ นับแต่โบราณผู้มีความสามารถปรากฏในยุคโกลาหล แม้ข้าไม่ได้อยากเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอะไร แต่ยิ่งโกลาหลข้ายิ่งปลอดภัย การสร้างคำลวงโลกแผ่นหนึ่งให้รัฐติงนี้ แม้จะทำลายความงดงามของผืนแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ แต่กลับแลกความสงบร่มเย็นยี่สิบปีของข้าได้ ย่อมคุ้มค่า”
“คุณชายยังต้องกล้ำกลืนอีกยี่สิบปี?”
“ทหารหมาป่านี้ไม่สูญสิ้นวันหนึ่ง รัฐติงจึงอยู่ได้วันหนึ่ง หากทหารหมาป่าถูกล้างบาง เช่นนั้นติ้งซีอ๋องย่อมไม่เหลือตำแหน่งใดจะมอบและไม่เหลือบำเหน็จใดจะให้รัฐติงแล้ว เรื่องที่เป็นคุณใหญ่หลวงต่อใต้หล้าเยี่ยงนี้ จะทำได้อย่างไรเล่า หวังให้หมิงเย่าหลางอ๋องใจสู้สักหน่อย ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นนี้ต่อไปเป็นดี ยิ่งกว่านั้นเดิมทีข้าคิดว่าพอปกครองทหารหัวเมืองรัฐติงแล้วจะควบคุมสถานการณ์ของด่านชายแดนได้ แล้วก็เป็นจังหวะข้าออกมารับตำแหน่ง บัดนี้ดูท่าคงผิดมหันต์…ฮั่ววั่งไม่ใช่ทหารกล้าคนหนึ่ง กลับกัน จิตใจของเขาเล็กบางกว่าเข็มปักผ้านั่นเสียอีก”
………………………..
เมืองจี๋อิง โรงเตี๊ยมพูนโชค
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าโถงใหญ่พลันอดรู้สึกงุนงงไม่ได้
ในโถงใหญ่ว่างเปล่า ไม่เห็นกลุ่มคนดื่มสุราหาความสำราญ
บนเวทีว่างโล่ง ไม่เห็นนักแสดงขับร้องออกสำเนียง
เสี่ยวเอ้อร์ก็ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะคิดเงินอย่างหมดอาลัยตายอยาก เห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้ามาเพียงยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย และหามีท่าทีกระตือรือร้นเช่นก่อนหน้านี้สักนิดไม่
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ ขออภัยที่ทางร้านไม่อาจรับรองท่านได้ เมื่อมีคำสั่งถอนกำลัง คนหลายร้อยลี้โดยรอบล้วนไปกันหมด กองบัญชาการของใต้เท้าผู้สั่งการหัวเมืองก็ตั่งมั่นอยู่เมืองนี้ อาหารและสุราสำรองของทางร้านถูกเจ้าหน้าที่เสบียงของกองบัญชาการซื้อไปหมดแล้วขอรับ”
เจ้าของร้านเดินออกมากล่าวจากด้านหลัง
เขาไม่ได้ตำหนิความเฉื่อยชาของเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเลยสักนิด แม้ผู้มาเยือนจะเป็นผู้แทนการตรวจสอบจากเมืองหลวงก็ตาม
“แล้วเหตุใดพวกท่านยังอยู่ที่นี่”
เจ้าของร้านยิ้มไม่ได้ตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งตระหนักได้ว่าตนถามคำถามที่โง่เง่ามาก
กระทั่งในกรมสอบสวนกลางชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมพูนโชคก็ดังก้องหูดุจอสนีบาต หากต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่กรมสอบสวนพบเจอมีความเชื่อมโยงใดๆ กับโรงเตี๊ยมพูนโชคล้วนต้องรายงานขึ้นไปทีละขั้นตามกฎหมาย จากนั้นมอบให้ใต้เท้าผู้ตรวจการกองขุนนางสูงสุดของแต่ละกองมาตัดสินคดีด้วยตนเอง
แม้หลิวรุ่ยอิ่งเป็นถึงผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ระดับของเขายังห่างไกลมากนัก เจ้าของร้านก็ย่อมไม่จำเป็นต้องอธิบาย
“สถานการณ์ติ้งซีเปลี่ยนกะทันหัน ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบต้องกระทำการอย่างระมัดระวังจึงจะดี”
หลิวรุ่ยอิ่งหยัดกายหมายจะไป เจ้าของร้านกลับโพล่งมาประโยคหนึ่งอย่างฉับพลัน
………………
เมืองจี๋อิง กองบัญชาการทัพกลาง
หลังจากนายทหารผู้ปฏิบัติการลาดตระเวนอยู่ตรงทางเข้าแจ้งตัวตนแล้ว เฮ่อโหย่วเจี้ยนพร้อมกับผู้สั่งการหัวเมืองทั้งสองมาถึงทางเข้ากองบัญชาการและต้อนรับหลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปด้วยตนเอง
คนทั้งหลายคุยเป็นพิธีรอบหนึ่งแล้วแยกย้ายกันนั่งลงตามฐานะแขกประธาน
หลิวรุ่ยอิ่งถามถึงสถานการณ์รบในปัจจุบัน เฮ่อโหย่วเจี้ยนพูดทุกสิ่งที่รู้ พูดชนิดหมดเปลือก ตอนแรกหลิวรุ่ยอิ่งยังแปลกใจอยู่บ้าง เขาเตรียมตัวถูกแกล้งให้ลำบากใจไว้แล้ว คาดไม่ถึงกลับราบรื่นเช่นนี้ เขาแอบรู้สึกโล่งอกในใจ
แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่เฮ่อโหย่วเจี้ยนบอกนั้นไม่มีข้อมูลสำคัญใดๆ กับบางเรื่องที่หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถึงซึ่งออกจะเป็นความลับสำคัญ เฮ่อโหย่วเจี้ยนล้วนปิดบังไว้ได้อย่างเฉียบแหลม
“ตามที่ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อกล่าว ทหารหมาป่ารุกรานพรมแดนครั้งนี้ส่งผลกระทบมากเพียงนี้จริงหรือ”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบอยู่ในเมืองหลวงมานาน คงไม่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนมากนัก ทหารหมาป่าทุ่งหญ้าไม่ได้มองพวกเราเป็นคนโดยสิ้นเชิง เห็นเป็นเพียงอาหารของหมาป่าที่พวกเขาขี่ จึงได้โหดเหี้ยมอย่างที่สุด ในเมื่อใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบเคยมาเมืองจี๋อิงก่อนหน้านี้ คงต้องได้เห็นหินพักม้าเสานั้นตรงทางเข้าโรงเตี๊ยมพูนโชคแล้วกระมัง เฮ้อ…การรุกรานพรมแดนครานั้นก็เป็นเพราะพวกเราประมาทข้าศึก ทำให้ประชาชนมากมายถูกบั่นศีรษะ ห้าเมืองชายแดนนี้โลหิตไหลเป็นแม่น้ำ ผู้ควบคุมรัฐทังเป็นขุนนางดีอีกท่านที่รักชาวบ้านเหมือนลูกตนเอง ดังนั้นพอหนนี้แค่มีลมพัดหญ้าไหว[2]ก็ถ่ายทอดคำสั่งถอนกำลังทันที ประชาชนอพยพแล้วก็จริง แต่บัดนี้กำลังหลักทัพใหญ่ของกองกำลังฝ่ายซ้ายขวารวมตัวกันอยู่นอกชายแดนรวมแล้วมีทหารม้านับล้าน ทางข้ามีแค่แสนกว่าคนทำอย่างไรก็ต้านมันไว้ไม่ได้เลย!”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนกำหมัดทุบโต๊ะ กล่าวอย่างเจ็บแค้นหาใดเปรียบ
“แต่ตราบใดที่รัฐติงยังมีผู้ที่รบได้ กองบัญชาการข้าก็ไม่ยอมถอยแม้สักชุ่น ปักอยู่ตรงนี้อย่างมั่นคงเช่นดอกตะปู ต่อให้ปลาตายแหชำรุด[3]ก็ไม่อาจปล่อยให้ทหารหมาป่าบุกทะลวงห้าเมืองชายแดนนี้แม้เพียงก้าวเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสะเทือนใจกับคำสมัยเก่าอันปลุกใจให้ฮึกเหิมของเฮ่อโหย่วเจี้ยนจนสะอื้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากดื่มกับขุนพลทั้งสามไปหลายจอกจนสำราญใจแล้วก็กลับมาพักผ่อนในกระโจมค่าย เขาต้องนำเรื่องที่พบในวันนี้ไปรายงานกองสัคคะเนตรกรมสอบสวนกลาง
“ไปเรียนคุณชาย ทุกอย่างล้วนมิดชิด ป้องกันเหนียวแน่น”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนสั่งผู้ติดตาม
………………………..
วังติ้งซีอ๋อง
ฮั่ววั่งไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของโถงหลัก แต่อยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งใต้วังอ๋อง นั่นคือห้องใต้ดินวังอ๋อง
“อ่านมหัพภาคติ้งซีฉบับของปีนี้ให้ละเอียด ผู้ใช้กระบี่บรมภูมิที่อธิบายในนั้นพวกเจ้ามีภาพจำอะไรบ้างหรือไม่”
ฮั่ววั่งยืนอยู่กลางระเบียงทางเดินอันมืดมิดสายหนึ่ง ด้านหน้าและหลังล้วนเป็นคุกที่หลอมสร้างด้วยเหล็กกล้าชั้นดีเรียงรายอยู่ ทุกห้องล้วนขังไว้หนึ่งคน
พวกเขาทั้งหลายคือยอดฝีมือแห่งยุทธภพผู้ทรงอิทธิพลในอาณาเขตเขาหลายปีมานี้ มีตั้งแต่ปรมบุคคลจนถึงบรมภูมิไม่ขาดตก ทุกผู้คนที่ฮั่ววั่งคิดว่ามีภัยคุกคามต่อตนเองล้วนตกอยู่ในสภาพนักโทษ
“เฮอะๆ เจ้าคนสกุลฮั่ว เหตุใดเด็กเหลือขอที่ออกบวชกลางทาง[4]เช่นเจ้าถึงกลัวแล้วเล่า”
คนหนึ่งในนั้นยิ้มเย็นเอ่ย
“ฮ่าๆ ฮั่ววั่ง! ตอนแรกเจ้าส่งคนมาโจมตีไล่สังหารข้าและคนอื่นทั้งวันทั้งคืน ก็เพียงเพื่อคลำหากระบวนท่าฝึกยุทธ์ของพวกเราให้รู้แจ้ง แต่เจ้านั่งนิ่งบนแท่นตกปลา[5]เฝ้าตอรอกระต่าย[6] รอซ้ำยามเปลี้ย[7] เจ้าไม่คู่ควรใช้กระบี่เลยสักนิด!”
มีคนเอ่ยด่าซ้ำอีก
“มือกระบี่คนนี้พวกเจ้ามีภาพจำอะไรหรือไม่”
ฮั่ววั่งขบขากรรไกรแน่น หลังพยายามทำให้อารมณ์ของตนสงบลงแล้วก็เอ่ยถามอีกรอบ
“จำไม่ได้ๆ! ต่อให้จำได้เจ้าคิดว่าพวกเราจะบอกเจ้ารึ สำหรับภายนอกมีชื่อเสียงน่าฟังว่าเจ้าใช้กระบี่ล้มยอดฝีมือในติ้งซีจนหมด แท้จริงกลับเป็นคนไร้ยางอายที่ใช้กลอุบายทุกชนิดเพื่อให้ได้นั่งลงบัลลังก์คนหนึ่ง!”
“ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนสามารถเอาชนะเจ้าได้ด้วยกระบี่ นี่เรียกว่าสวรรค์ดลบันดาล วิถีกระบี่แจ่มชัด! คนนิสัยเช่นเจ้าถูกลิขิตให้ไม่อาจขึ้นถึงจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่!”
ฮั่ววั่งหัวเราะเบาๆ หมุนกายออกจากห้องใต้ดิน ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร การพร่ำกล่าวโทษของผู้แพ้กลุ่มหนึ่งมีอะไรให้โมโหเล่า
กลับถึงพื้นดิน ฮั่ววั่งกระโดดลอยขึ้นไปบนสันหลังคาของตำหนักกลาง
เขาชักกระบี่วงแหวนดาราออกมาและฟันไปยังทิศทางรัฐติงโดยไม่ยั้งคิด
………………………..
ในพื้นที่รกร้างแทบไร้ผู้คนผืนหนึ่งห่างออกไปจากเมืองอ๋องหลายร้อยลี้
คนเดินเท้าผู้โชคร้ายสองคนพลันรู้สึกทิวทัศน์ภูเขาหม่นหมอง พริบตานั้นตะวันมืดฟ้าครึ้ม เสียงฟ้าร้องโกรธเกรี้ยวทอดมาข้างใบหู ตรงหน้าคล้ายคลื่นแม่น้ำและทะเลรวมกัน…
หากไม่ใช่ฮั่ววั่งจงใจควบคุม กระบี่นี้ต้องสำแดงอานุภาพทั่วรัฐติงแน่!
“จริงสิ ส่งดาบนี้กลับไปในที่ว่าการเถอะ แต่ลูกปัดหยกด้านบนพวกนี้ไม่ต้องเอาออก นับแต่วันนี้ ข้าวางดาบใช้กระบี่”
“ขอรับ คุณชาย”
……………………………………..
[1] ยามไฮ่ ช่วงเวลา 21.00-23.00 น.
[2] ลมพัดหญ้าไหว หมายถึงความเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
[3]ปลาตายแหชำรุด หมายถึงต่อสู้กันจนเสียหายหนักทั้งสองฝ่าย
[4] ออกบวชกลางทาง หมายถึงเพิ่งเข้าวงการใดๆ ในภายหลัง ไม่ได้เริ่มมาทางนี้ตั้งแต่ต้น
[5] นั่งนิ่งบนแท่นตกปลา หมายถึงไม่ว่าภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงใดก็กระทำการด้วยวิถีเดิม นั่งใจเย็นอยู่บนตำแหน่งของตนเอง
[6] เฝ้าตอรอกระต่าย หมายถึงคนที่ไม่คิดลงแรงพยายามทำอะไรเลย แต่กลับหวังได้ผลดี
[7] รอซ้ำยามเปลี้ย เป็นกลศึกในสามก๊ก คือรอคอยอยู่นิ่งๆ ให้ระยะเวลาบั่นทอนกำลังข้าศึกแล้วจึงโจมตี