ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 103 อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น-1
บทที่ 103 อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น-1
เมืองติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางเคยดื่มชาในโรงน้ำชา
มีอยู่คนหนึ่งผ่านไปทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนจะต้องมาสักครั้งหนึ่ง
ครั้นนับวัน หลายวันก่อนที่เขาจะมาถึง โรงน้ำชาแน่นขนัดทุกวัน หาที่นั่งยากเย็น ต่อให้แบ่งโต๊ะกันนั่งก็เป็นไปไม่ได้
แต่วันนี้กลับไม่ใช่
เขาไม่ได้มาครึ่งเดือนแล้ว
พิจารณาอาภรณ์ที่เขาสวมใส่ก็ตามสบายเช่นกัน กระทั่งแย่กว่าบัณฑิตจางด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นเขาราวกับพบเจอเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งเสียอย่างนั้น อดพยักหน้ายิ้มไม่ได้
เขาไม่ใช่เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง
แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งนั่งอยู่ในโรงน้ำชาแย้มยิ้มและใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้
รูปร่างไม่สูง หน้าตาอ่อนเยาว์
โดยเฉพาะลูกตาดำคู่นั้นคอยหลุกหลิกอยู่ตลอด
ผู้คนเรียกเขาว่าเสี่ยวจีหลิง[1] วันเวลาผ่านไป กลับจำชื่อเดิมของเขาไม่ได้แล้ว
และไม่รู้ว่าเสี่ยวจีหลิงเป็นคนที่ใด เพียงอ้าปากก็จะเอ่ยด้วยสำเนียงทางใต้ บางครั้งคำศัพท์หลายคำยังกล่าวไม่ชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับเสียงปรบมือโห่ร้องมากมาย
โรงน้ำชาแห่งนี้ดั้งเดิมมาก
ไม่มีดนตรีพื้นบ้านให้ฟัง
ดื่มชาก็คือดื่มชา พูดคุยก็คือพูดคุย
มีเพียงยามที่เขามาทุกคนจึงจะคึกคักอยู่ช่วงหนึ่ง
ว่ากันว่าเขาฉลาดก็เพราะเขาสามารถกินอาหารราคาแพงดื่มน้ำแกงดื่มชาล้ำค่าได้ทุกชนิดโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง
โรงน้ำชาก็ขายสุรา เพียงแต่สุราราคาแพงยิ่งกว่าน้ำชา
คนที่ดื่มชาใช่ว่าจะซื้อสุราไหว
และคนที่ซื้อสุราใช่ว่าจะอยากดื่มสุราเสมอไป
แต่วันนี้กลับต่างออกไป
ทันทีที่เสี่ยวจีหลิงเข้าไปในโรงน้ำชาก็ตะโกนลั่น “ต้องขอบอกกล่าวกับทุกท่านก่อน! วันนี้ไร้สุรางดพูดคุย!”
เดิมทีเห็นเขาเข้ามา ในโรงน้ำชาก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง
เสียงตะโกนของเขายิ่งทำให้โรงน้ำชาเงียบลงอย่างน่าประหลาดใจ
แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์รับลูกค้าหน้าประตูยังไม่เคยเห็นบรรยากาศเงียบสงบตอนโรงน้ำชาเปิดเช่นนี้มาก่อน
เถ้าแก่โรงน้ำชาแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นบุคคลมีหน้ามีตาสำคัญในเมืองติ้งซีอ๋องเช่นกัน
ทันทีที่สิ้นเสียงเสี่ยวจีหลิง เขาพลันกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “ยกสุรามา ยกสุราดีมา! ข้าเลี้ยงเอง!”
สมแล้วที่เถ้าแก่เป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและฉลาดไม่ธรรมดาจริงๆ!
โรงน้ำชาแห่งนี้ บัณฑิตก็มา ผู้ฝึกยุทธ์ก็มาเช่นกัน
ตราบใดที่เป็นมนุษย์ จำเป็นต้องสื่อสารพูดคุยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นนิ้วที่เฉียบแหลมหรืออักษรที่ตื่นเต้นเร้าใจ ล้วนจำเป็นต้องกล่าววาจา
คนคนหนึ่ง เจ้าอาจจะไม่ให้เขาทานอาหาร แต่ไม่ให้เขาพูดคุยช่างยากจริงๆ
อ้าปากพูดคือวิชา ปิดปากก็คือวิชาเช่นกัน
ท่ามกลางการอ้าๆ หุบๆ นี้ เป็นเพียงสภาวะต่างๆ ในโลกและความอบอุ่นของความสัมพันธ์มนุษย์ไม่ใช่หรือ
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้ามีเรื่องพูดก็จำเป็นต้องมีพื้นที่ให้พูด
โรงน้ำชา เหลาสุรา
เลือกได้ตามอำเภอใจ
ชาช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ลดอาการหงุดหงิดคลายความเศร้า ใช้ประกอบการสนทนาย่อมทรงพลัง
สุราแสบร้อนตกแต่งหรูหรา ร้อนท้องอบอุ่นหัวใจ ใช้เพื่อรองรับภาษา แน่นอนว่ากระตุ้นอักษรได้
ด้วยเหตุผลนี้เถ้าแก่จึงประกอบกิจการนี้
เขาไม่ใช่คนช่างพูด
แต่เขาชอบฟังคนอื่นพูดมากที่สุด โดยเฉพาะฟังเสี่ยวจีหลิงพูดคุย
ฉะนั้นจะมอบสุราให้อย่างไรเสียก็ไม่ขาดทุน
ไม่เพียงสนองความใคร่รู้ของพวกชายชราชายหนุ่มเหล่านั้นในโรงน้ำชา แต่ยังสนองความใคร่รู้ของตนด้วยเช่นกัน
ทำทีเดียวได้ประโยชน์สองอย่าง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไยจะไม่ทำเล่า
ครั้นกล่าวว่าเถ้าแก่ฉลาด อันที่จริงไม่เพียงเท่านี้
ตอนที่เสี่ยวจีหลิงมาเป็นครั้งแรก เสี่ยวเอ้อร์เกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปเหมือนเห็นเป็นคนหลอกกินฟรี
ทว่าเสี่ยวจีหลิงกลับบอกว่าตนมาตามหาสหาย
ลูกค้ามีคำกล่าวอ้างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าคงไม่อาจขับไล่คนออกไปกระมัง
เถ้าแก่จับจ้องเสี่ยวจีหลิง อยากจะดูว่าสหายของเขานั้นคือใคร
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจีหลิงจะปรี่ไปนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มพูดคุยอย่างสนุกสนาน
แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่ใช่คนช่างพูด แต่ในชีวิตของเขา เขาชื่นชมคนช่างพูดเป็นที่สุด
ตอนยังเด็กมารดาเขาบอกเขาว่า การพูดจาเก่งนั้นเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม!
โต๊ะที่เสี่ยวจีหลิงนั่งลงครั้งแรกนั้น เป็นโต๊ะลูกค้าคนสนิทของเถ้าแก่
เถ้าแก่รู้จักพวกเขาดียิ่งและพวกเขาก็ใจกว้างเป็นพิเศษ มักจะจ่ายค่าดื่มชาล่วงหน้าก่อนหนึ่งปีเสมอ
อีกทั้งผู้มั่งคั่งร่ำรวยหลายคนยังชอบความกว้างขวางและครึกครื้น
ไม่เคยขึ้นไปห้องส่วนตัวชั้นสองสักครั้ง นั่งแค่ที่โต๊ะรวมโถงใหญ่เท่านั้น ทั้งไม่ต้องเลือกที่นั่ง ที่ใดว่างก็นั่งได้ทั้งสิ้น!
ลูกค้าร่ำรวยปรนนิบัติง่ายเช่นนี้ เกรงว่าแม้จะตั้งใจมองหาก็หาไม่พบ
แต่เถ้าแก่ก็ให้เสี่ยวจีหลิงขึ้นไปด้วยความสบายใจ
โรงน้ำชาอันเงียบสงบ ครึกครื้นขึ้นมาทันใด
อันดับแรกผู้คนที่หลายโต๊ะติดกัน ตามด้วยทั่วทั้งโถง สุดท้ายลามไปถึงผู้คนในห้องส่วนตัวชั้นสองต่างเงยหน้าเงี่ยหูฟัง
สุดท้าย ผู้ใดก็บอกไม่ได้ว่าสหายของเสี่ยวจีหลิงคือผู้ใด
เขาดื่มชั้นหนึ่งเสร็จไปชั้นสองต่อ กินโต๊ะรวมเสร็จต่อห้องส่วนตัว
อยู่รวมทั้งหมดไม่ถึงสองยาม แต่กลับเข้าใจเส้นสายน้ำใจทั้งหมดที่เถ้าแก่สั่งสมจากการทำงานหนักมาตลอดสิบปีอย่างถ่องแท้
ครั้นเถ้าแก่เห็นเช่นนี้แทนที่จะโมโหแต่กลับเห็นชอบ เชิญชวนเขาให้มาบ่อยๆ เมื่อมีเวลา
แต่เสี่ยวจีหลิงก็มีขอบเขตเช่นกัน ไม่เคยกระทำเรื่องที่ออกนอกกรอบ
เช่นเดียวกับวันนี้ อ้าปากขอสุราทันทีที่เข้าประตู แต่นี่ก็เป็นครั้งแรก
ทันทีที่เถ้าแก่บอกให้ส่งสุรา ทั้งโรงน้ำชาก็ดูเหมือนจะระเบิด ทุกคนพานอยากให้ยกสุรามาขึ้นโต๊ะ
เหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ได้ยินเสี่ยวจีหลิงกล่าวหรือว่า ‘ไร้สุรางดพูดคุย’
สุราผู้ใดมาก สุราผู้ใดดี ยิ่งมีโอกาสรั้งเสี่ยวจีหลิงไว้ได้มากเท่าใด ก็ยิ่งอยู่ได้เป็นเวลานานเท่านั้น
เสี่ยวจีหลิงโบกมือ ทุกคนก็ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร เพียงหลีกทางให้เขาพร้อมกับที่นั่งด้านหน้า
เขาเปิดผนึกดินสุราที่เถ้าแก่มอบให้และจิบมันบางๆ
“เสี่ยวจีหลิง! ไปทำสิ่งใดมาตั้งนานเพียงนี้”
ทันใดนั้นมีคนหนึ่งถามขึ้น
“ใช่ๆ ตั้งนานแล้วทำไมไม่มาเลยเล่า”
ผู้คนเริ่มแย่งกันยิงคำถามรัวใส่ทันที โรงน้ำชาที่เงียบสงบก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เถ้าแก่กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ด้วยท่าทีคลุมเครือและส่งรายชื่อให้เขาพลางกล่าว “เรียงตามรายชื่อนี้ ทุกบ้านในเมืองจะต้องไปให้ถึง รีบหน่อย! บอกว่าเสี่ยวจีหลิงมาแล้ว!”
มองดูร่างของเสี่ยวเอ้อร์ หนึ่งคนเพิ่มเป็นสองวิ่งแน่บออกไป ตัวเขาเองก็หยิบผ้าขนหนูสีขาวดุจหิมะออกมาวางบนแขนแล้วก้าวไปสนับสนุนข้างหน้า
“เฮ้อ…”
เสี่ยวจีหลิงฟังคำถามเหล่านี้และไม่ตอบคำใด เพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจิบสุราบางๆ
“แค่กๆ…”
คิดไม่ถึงว่าคำนี้จะทำเอาสำลักเข้าจริงๆ
“ฮ่าๆๆ ดูขนเสี่ยวจีหลิงโตจนหมดแล้วไม่ใช่หนุ่มวัยเยาว์แล้ว เหตุใดยังดื่มสุราราวกับเด็กน้อยเล่า”
มีคนเห็นเขาสำลักขณะดื่มสุรา จึงกล่าวล้อเลียนทันที
“เฮ้อ…”
เสี่ยวจีหลิงก็ยังไม่กล่าวคำใด
เพียงวางสุราลง ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปากและกระแอม
“เกิดสิ่งใดขึ้นเล่า อย่ายึกยักหน่อยเลย!”
ผู้คนพากันกล่าว
แต่ไม่ว่าผู้คนจะพูดอย่างไร ถามอย่างไร เขาก็ไม่เอ่ยคำใด
เถ้าแก่หัวเราะและมอบผลไม้รสหวานให้แต่ละโต๊ะให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ อย่างไรเสียทุกครั้งเสี่ยวจีหลิงก็ไม่เคยทำให้ทุกคนผิดหวัง
แต่เถ้าแก่รู้อยู่แก่ใจ
เสี่ยวจีหลิงให้เกียรติไว้หน้าตน
เขาย่อมมองเห็นตนส่งเสี่ยวเอ้อร์ไปส่งข่าว
เช่นนั้นเขาก็ย่อมเดาออกว่าตนกำลังมองหาลูกค้าประจำที่ไม่ได้มาในวันนี้เหล่านั้น
ทั้งสองเข้าใจกันและกันไปโดยปริยาย
………………………..
ในที่สุด คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในโรงน้ำชาไม่ขาดสาย
เสี่ยวจีหลิงมองแวบแรกล้วนเป็นหน้าเก่าแสนคุ้นเคย
เถ้าแก่มองปราดเดียวก็พบว่าล้วนเป็นลูกค้าประจำที่มั่งคั่งเหล่านั้น เขาตบบ่าเสี่ยวเอ้อร์หลายคน บอกเป็นนัยว่าพวกเขาทำได้ยอดเยี่ยม!
เสี่ยวจีหลิงลุกขึ้นยืนและกล่าว
“ไม่กี่วันก่อนข้าออกเดินทางไกลมาน่ะ”
“ไปที่ใด ผ่านไปหนึ่งเดือนก็ยังไม่มา พวกเราพี่น้องเบื่อหน่ายขั้นสุดจริงๆ!”
ลูกค้าประจำที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าว
“ข้าไปหอทรงปัญญามาน่ะ”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“หอทรงปัญญาหรือ ไปทำสิ่งใดที่นั่นเล่า หรือว่าเสี่ยวจีหลิงคิดอยากร่ำเรียนขึ้นมากะทันหัน”
“ฮ่าๆๆ อย่าเอ็ดไป มุ่งเน้นไปที่ความฉลาดเฉลียวของเสี่ยวจีหลิง จะเป็นบัณฑิตก็ไม่มีปัญหาใดๆ!”
“ถูกต้อง การร่ำเรียนนี้มีเพียงฟังหลักการ เขียนความใจในมนุษย์เท่านั้น เสี่ยวจีหลิงเข้าใจหลักการ ทั้งยังเห็นอกเห็นใจมนุษย์ ร่ำเรียนหนังสือก็อ่านได้รวดเร็ว ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่หรือ”
ครั้นทุกคนได้ยินว่าเสี่ยวจีหลิงไปที่หอทรงปัญญา จิตใจพลันกระตือรือร้นมากขึ้นทันที
“ร่ำเรียนรึ ไม่โชคดีเพียงนั้น”
เสี่ยวจีหลิงหัวเราะกล่าวพลางส่ายศีรษะ
“ข้าไปตามหาคน”
“ตามหาคนรึ เจ้ามีคนรู้จักอยู่หอทรงปัญญาด้วยหรือนี่”
ทุกคนกล่าวถาม
“ไม่มีคนรู้จัก เพียงอยากไปเที่ยวชมน่ะ คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้ยินอยู่เรื่องหนึ่งและได้เห็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวอย่างยึกยักลีลา
“เฮ้! ข้ารู้อยู่แล้วว่าทุกครั้งที่เจ้าหนูนี่ไปไม่เคยเสียเปล่า! บอกหน่อยสิ ได้ยินและได้เห็นสิ่งใดมา”
“ใช่แล้ว ทันทีที่เจ้าจากไปก็ไม่ได้มาถึงสามครั้ง อย่างไรก็ต้องมีเรื่องสดใหม่และน่าตื่นเต้นยิ่งกว่ากระมัง”
ทุกคนกล่าว
เสี่ยวจีหลิงสนุกกับกระบวนการนี้ยิ่งนัก สนุกกับช่วงเวลาที่กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคน
“พวกเจ้ารู้จักเบญจลักขีผู้คุ้มกันข้างกายตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญาหรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ย่อมรู้แน่นอน! เบญจลักขี! พี่น้องทั้งห้าคน เชี่ยวชาญสายหมากล้อม ขณะเดียวกันขั้นฝึกตนสายบุ๋นและสายบู๊สูงยิ่ง!”
มีคนกล่าว
“เบญจลักขี ตอนนี้เหลือเพียงจตุรลักขีแล้ว…”
เสี่ยวจีหลิงเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวอย่างเซื่องซึมเล็กน้อย
ครั้นทุกคนได้ยินกลับเงียบจนผิดแปลก
เงียบยิ่งกว่าตอนที่เสี่ยวจีหลิงเพิ่งเข้าไปในโรงน้ำชาเสียอีก
“เบญจลักขี…ตายไปคนหนึ่งหรือ”
ในบรรดากลุ่มคน มีคนหัวไวคนหนึ่งกล่าวขึ้น
ทุกคนพลันกระจ่าง
เพียงประโยคเดียวกลับเทียบเท่าเสี่ยวจีหลิงมาที่นี่สามหรือห้าครั้งก็เกินพอแล้ว
บางเรื่องทั้งยาวทั้งซับซ้อนแต่ก็ไม่ต่างกันทั้งนั้น
กล่าวไปกล่าวมาก็รัก ชัง ผูกพัน แค้นสี่คำนี้
แต่บางเรื่องก็สะเทือนเลือนลั่นถึงเพียงนี้!
แม้ว่าจะหนีไม่พ้นรัก ชัง ผูกพัน แค้นนี้ แต่มันไม่ใช่รัก ชัง ผูกพัน แค้นที่ธรรมดาจริงๆ
“ถูกต้อง พี่ใหญ่ในเบญจลักขี เหลี่ยงเฟินตายแล้ว”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เหลี่ยงเฟินรึ เขาตายได้อย่างไร”
ทุกคนเอ่ยถาม
แม้เสี่ยวจีหลิงจะกล่าวว่าเบญจลักขีกลายเป็นจตุรลักขีแล้วก็ตาม นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าในเบญจลักขีขาดไปหนึ่งคน
แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าคนที่ตายจะเป็นเหลี่ยงเฟิน
“ไม่รู้…แต่สภาพการตายน่าสังเวชยิ่ง ศีรษะถูกตัดขาดเหลือเพียงเส้นเอ็นติดอยู่ที่คอเล็กน้อยเท่านั้น”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
ทุกคนที่ชื่อเสียงเลื่องลือหาใช่เรื่องบังเอิญไม่
แม้ว่าเหลี่ยงเฟินจะตายไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ไว้ทุกข์ ยิ่งไม่มีคนภายนอกคนใดบอกสถานการณ์การเสียชีวิตของเขาได้อย่างแม่นยำเช่นนี้
เสี่ยวจีหลิงบรรยายมันอย่างละเอียดยิ่งนัก ราวกับว่าเขาผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยตนเองอย่างไรอย่างนั้น
“ทว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เขามีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องยิ่งนัก
บางคนมีการศึกษาสูง แต่เรื่องราวที่พวกเขาเล่านั้นน่าเบื่อ เหมือนเคี้ยวขี้ผึ้งไร้รสชาติ
บางครั้งก็เหมือนซี่โครงไก่ ฟังแล้วไร้รสชาติ ไม่ฟังก็เสียดาย
ทว่าเรื่องเล่าของเสี่ยวจีหลิงไม่มีจังหวะสัมผัสและไม่มีวาจาคมคาย ถึงแม้จะพูดได้ไพเราะเสนาะหู แต่ก็มีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์
………………………………………………………………….
[1] เสี่ยวจีหลิง หมายถึง เด็กน้อยที่ฉลาด