ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 110 สองด่านต่างความคิด-1
บทที่ 110 สองด่านต่างความคิด-1
หอทรงปัญญา
ยามนี้จิ่วซานปั้นกับทังจงซงและบัณฑิตจางตามสี่พี่น้องเบญจลักขีมายืนอยู่ตรงหน้าของตี๋เหว่ยไท่แล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ยังคงสีหน้าอ่อนโยน แม้พบจิ่วซานปั้นแล้วก็ยังเรียกเจ้าหนุ่มเหมือนเดิม
จิ่วซานปั้นยังอยู่ในท่าทีไม่สนใจ
ทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว ต่อให้ตายเขาก็ยอมรับ
ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ต่อให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ
เดิมเขาก็เป็นคนเปิดเผยอย่างยิ่งไม่เคยเปลี่ยน
เล่ากันว่ามีวิญญาณร้ายประเภทหนึ่งกินห้องหัวใจของบุรุษโดยเฉพาะ
พวกสองจิตสองใจทั้งหลายล้วนเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ กินแล้วเลิศรสเป็นพิเศษ ยอดเยี่ยมกว่ารสชาติในโลกมากโข
หากวิญญาณร้ายตนนี้พบจิ่วซานปั้น คงได้แต่ยอมรับว่าตนโชคร้ายและถอยกลับไป
เพราะห้องหัวใจแบบนี้ไม่เพียงไร้รสชาติ กลับจะมีพิษรุนแรงซ่อนอยู่ในนั้น
แม้วิญญาณร้ายตนนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกอีกแล้ว แต่วิญญาณก็จะแตกสลาย สูญสิ้นอยู่ระหว่างเมืองมนุษย์และยมโลกอย่างถึงที่สุด
ดังนั้นเจ้าบอกว่าเขาเดินไปทางตันก็ดี บอกว่าดื้อรั้นก็ดี สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้
นี่คือเหตุผลที่เขาเข้ากับหลิวรุ่ยอิ่งและโอวเสี่ยวเอ๋อได้
สองคนนี้เป็นพวกต่อให้ชนกำแพงแตกก็ไม่ยอมหันกลับเหมือนกัน
จิ่วซานปั้นเล่าเรื่องเขากับเหลี่ยงเฟินที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียด
กระทั่งบทสนทนาของทั้งสองเขาก็แบ่งแสดงสองบทในคนเดียว บรรยายซ้ำไม่ตกหล่นสักคำ
“แต่ในเมื่อเหลี่ยงเฟินตายแล้ว กลับมีจุดหนึ่งที่แปลก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เจ้าหนุ่มเชิญพูด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ตอนพวกเราลับฝีมือคืนนั้น เหลี่ยงเฟินขว้างหมากดำเต็มท้องฟ้า แต่มีสี่เม็ดที่ไม่ได้ออกจากมือเขา”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่เงียบงัน คล้ายฟังไม่เข้าใจ
“เจ้าหมายความว่าในหมากดำที่เหลี่ยงเฟินขว้างออกมาเกินมาสี่เม็ด?”
ตี๋เหว่ยไท่ถามกลับ
“ใช่น่ะสิ ไม่รู้มาจากไหน ปะปนอยู่ในกระบวนท่าของเขา ข้าเชื่อว่าเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พูดชัดเจน ข้านึกว่าเขาเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เหลวไหล! ไร้สาระสิ้นดี! พี่รองข้าเก่งกาจระดับไหน แค่จัดการเจ้าต้องใช้กลโกงซุ่มโจมตีด้วยรึ”
ฮวาลิ่วตะโกนลั่น
หากบอกว่าซุ่มโจมตี ตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง
ระดับหมากล้อมดูจากคุณสมบัติคน วิธีเล่นหมากล้อมของเหลี่ยงเฟินเน้นป้องกันไม่เน้นโจมตี มีถอยไม่มีบุก รุนแรงเฉียบขาดมาเสมอ
นักหมากล้อมให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรียิ่งกว่าบัณฑิต
ถึงแพ้ก็ต้องรู้จักละอายใจ
ต่อให้การขว้างหมากอยู่ในประเภทอาวุธลับก็ไม่มีวันทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้
หนำซ้ำวิทยายุทธ์การต่อสู้นี้มีดีชั่วโจ่งแจ้งลับหลังเสียที่ไหน
ในใจทุกคนมีตาชั่งเครื่องหนึ่งเสมอ
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเกินมาสี่เม็ด ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมองเห็นและนับได้หมด!”
ฮวาลิ่วกล่าวอีก
จิ่วซานปั้นหมดคำพูด
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรพิสูจน์อย่างไรว่าตนมองเห็นได้ชัด
คงไม่ถึงขั้นควักสมอง ผ่าหัวใจของตนออกมาให้พวกเขาดูหรอกกระมัง
พอเป็นเช่นนี้เขาต้องเดินตามหลังเหลี่ยงเฟิน
แต่นี่ก็ตรงกับสิ่งที่ฮวาลิ่วต้องการ
แม้จิ่วซานปั้นมึนงงอยู่บ้าง แต่เขาไม่โง่
ตอนเผชิญความขัดแย้งและการโต้เถียงอันไร้ประโยชน์ เขารู้ว่าการหุบปากเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุด
หนำซ้ำการดื้อรั้นไร้เหตุผลของคนส่วนใหญ่ยังเป็นการทำเรื่องโง่เง่าตอนตื่น[1]
อย่างน้อยจิ่วซานปั้นที่เมาตลอดก็ยังมีความคิดบริสุทธิ์ติดตัว
“ข้าเชื่อว่าเขามองเห็นชัด”
นึกไม่ถึง คนแรกที่ออกปากพูดให้จิ่วซานปั้นกลับเป็นวันซาน
ในเมืองจิ่งผิง เขาเห็นการฝึกตนของจิ่วซานปั้นแล้ว
นั่นเป็นถึงบุคคลที่ทำให้ฟางซื่อกับเตาอู่กระเด็นลงพื้นด้วยการฟันกรรไกรคีบถ่านในครั้งเดียว
แม้เขาไม่ใช่นักหมากล้อม แต่วันซานสัมผัสได้ว่าเขาเหมือนกระบี่เล่มหนึ่ง ถือดีไม่ธรรมดา ไม่หวาดหวั่นพรั่นใจต่อสิ่งใด
คนที่ปิดบังไม่อาจโกหกโดยสิ้นเชิง
เขาอาจโกหกตัวเอง แต่ไม่มีวันพ่นคำโกหกออกจากปากเขาแม้เพียงครึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย
ใช่ว่าเขาไม่เชื่อจิ่วซานปั้น
ตรงกันข้าม ในเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากทังจงซง จิ่วซานปั้นเป็นคนที่สองที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
แต่ด้วยฐานะนายกองกรมสอบสวนกลางของเขากำหนดให้เขาไม่อาจยืดอกต่อสู้ ยอมทำทุกอย่างเพื่อสหายได้
เหมือนตอนโอวเสี่ยวเอ๋อถูกลอบสังหารในโรงเตี๊ยมพูนโชคกลางเมืองติ้งซีอ๋อง
เขาชิงชัง
ยิ่งจนใจ
แต่ถึงจะไม่พอใจสิ่งนี้อยู่มาก หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่มีกำลังไปเปลี่ยนแปลง
เพราะเซียวจิ่นข่านรู้จักกับเขามานานจึงไม่นับรวมอยู่ในนี้
แต่นึกได้ว่าตอนนี้ยังมีคนคนหนึ่งที่คบหากับเขามาตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย หัวใจของหลิวรุ่ยอิ่งยังคงรู้สึกมั่นคงอยู่บ้าง
………………………..
“ท่านประมุขหอ พวกเราเจอผู้อาวุโสท่านนั้นในเมืองด้วยขอรับ”
วันซานกล่าวกับตี๋เหว่ยไท่
เมื่อครู่ตี๋เหว่ยไท่กำลังอ่านจดหมายลายมือติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งที่บัณฑิตจางมอบให้เขา
อ่านจดหมายจบแล้วเงยหน้ามาเห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายของทังจงซง แม้แต่เขาก็รู้สึกปวดหัวอยู่พักหนึ่ง
“ผู้อาวุโสคนนั้นสบายดีหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“สบายดีทุกอย่างขอรับ ตอนพวกเราเจอเขา เขากำลังจะตักน้ำในบ่อ”
วันซานกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้า
‘เพิ่งเลยเที่ยงวันก็ตักน้ำ ไม่รู้ใครมาเยือน’
ตี๋เหว่ยไท่คิดในใจ
แม้เขาไม่เคยพูดคุยกับเยี่ยเหว่ยสักประโยค ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่พูดถึงระดับความเข้าใจกลับไม่น้อยไปกว่าฮั่ววั่ง
แต่สิ่งที่ฮั่ววั่งเข้าใจคือหัวใจภายใน
สิ่งที่ตี๋เหว่ยไท่รับรู้คือเนื้อหนังภายนอก
ความน่ากลัวของวิถีชีวิตในเมืองจิ่งผิงของเขา
ตอนไม่ดื่มเหล้า เขาจะตักน้ำทุกช่วงเย็น ตัดฟืนทุกสามวัน
ช่วงบ่ายของวันที่สิบเอ็ดหลังดื่มเหล้าสิบวันหมดแล้ว ต้องเห็นเขากับห่านป่าขาเป๋ตัวนั้นเดินเล่นคนหนึ่งนำตัวหนึ่งตามอยู่ในเมืองจิ่งผิง
เหล่านี้ฮั่ววั่งไม่รู้สักอย่าง
แต่ตี๋เหว่ยไท่รู้
ส่วนคนอื่นในหอทรงปัญญา ตี๋เหว่ยไท่บอกไว้แค่ประโยคเดียว
‘อย่าไปหาเรื่องเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวของร้านอาหารในเมืองจิ่งผิง’
คนอื่นถาม ‘ทำไมหรือ’
เขาเพียงพูดประโยคหนึ่งเรียบเฉย ‘นั่นคือผู้อาวุโสท่านหนึ่ง’
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกับโอวเสี่ยวเอ๋อฟังสองสามประโยคนี้แล้วรู้สึกงงชอบกล
เขาอยากลองถามเหตุผลจากเซียวจิ่นข่าน พอหันไปกลับพบว่าเขาออกไปจากตรงนี้เมื่อไรไม่รู้
“ในเมื่อเป็นศิษย์เอกของติ้งซีอ๋อง หอทรงปัญญาข้าไหนเลยจะมีเหตุผลไม่รับไว้ คิดว่าติ้งซีอ๋องคงอยากให้ท่านแสดงฝีมือคว้าเกียรติยศให้วังอ๋องในงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมอีกไม่นานหลังจากนี้กระมัง”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวกับบัณฑิตจาง
จดหมายของฮั่ววั่งไม่ยาวนัก วันซานก็อ่านแล้ว
แต่เขาตีเนื้อหาเหล่านี้ในจดหมายไม่ออก
ทว่าตี๋เหว่ยไท่แฉโพยจุดประสงค์ของฮั่ววั่งในแวบเดียว นี่ทำให้บัณฑิตจางนับถือไม่น้อยเช่นกัน
วันซานกลับสังเกตเห็นตี๋เหว่ยไท่ใช้สองมือตอนคืนจดหมายและกล่องไม้ให้บัณฑิตจาง
เขาเพียงคิดว่านี่เป็นการเคารพจดหมายลายมือติ้งซีอ๋อง ไม่รู้เลยว่าตี๋เหว่ยไท่ใช้การกระทำนี้แสดงถึงวัยวุฒิเทียบเท่ากับบัณฑิตจาง
คิดดูแล้วตี๋เหว่ยไท่ต้องรู้ฐานะเดิมของบัณฑิตจางแน่นอน
แต่ตอนนี้บัณฑิตจางบอกว่าตนเป็นอาจารย์บุ๋นของทังจงซง ตี๋เหว่ยไท่จึงไม่ได้เปิดโปง ก็มองเขาเป็นอาจารย์บุ๋นไปเสียเลย
การรู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งมักเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา
เหมือนวางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ตรงกลาง
แม้ใต้โต๊ะขาของสองคนสู้กันจนเลือดสดไหลนอง แต่ครึ่งตัวบนที่โผล่ขึ้นมาบนโต๊ะยังคงตั้งตรงไม่สั่นคลอน ไม่ให้คนสังเกตเห็นกระทั่งความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย
หากคุยเล่นสัพเพเหระอีกสองสามประโยคก็ยิ่งดีใหญ่
ชั่วเวลายื่นจดหมายกับกล่องไม้ หลิวรุ่ยอิ่งกะพริบตาแค่สามครั้งเท่านั้น
ในเวลาแสนสั้นเช่นนี้ ตี๋เหว่ยไท่ปะทะกับบัณฑิตจางไปแล้วหลายหน
เพียงเห็นมือซ้ายตี๋เหว่ยไท่รองกล่องไม้ และปลายจดหมายด้านซ้ายแนบอยู่ในกล่องไม้ ปลายด้านขวารองด้วยมือขวาของเขา
ดูแล้วปกติธรรมดา เป็นท่าทางที่มีมารยาทอย่างยิ่ง
ที่จริงยิ่งคนคนหนึ่งพยายามแสดงออกมากเท่าไร เจตนาที่แท้จริงยิ่งต่างมากเท่านั้น
คนซื่อสัตย์จริงใจ ขนห่านก้อนเมฆก็เป็นของขวัญชิ้นใหญ่หายากได้
แล้วเหตุใดต้องไปมอบของทะเลล้ำค่าจากฐานเมฆาด้วยการคำนับสามครั้งทุกย่างก้าวด้วยล่ะ
มือซ้ายของตี๋เหว่ยไท่ปล่อยพลังปราณชั้นหนึ่งบนกล่องไม้เล็กน้อย
ไม่มาก ปกคลุมกล่องไม้ได้ทั้งอันพอดี แตะไม่ถึงจดหมายผ้านั้นแม้แต่น้อย
ไม่น้อย สามารถทำให้กล่องไม้สั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่ตาเนื้อและจิตใจไม่อาจตรวจจับได้
ตอนความเร็วว่องไวถึงขั้นหนึ่ง สิ่งของที่ถูกความเร็วประกบไว้ก็หยุดนิ่ง
ตอนนี้กล่องไม้ก็เป็นเช่นนี้
แต่สิ่งนี้ปิดบังได้แค่คนอื่นที่อยู่ด้วย ไม่อาจปิดบังบัณฑิตจาง
ยามนี้กล่องไม้ก็เหมือนโต๊ะตัวหนึ่งระหว่างทั้งสอง ความอันตรายใต้โต๊ะเพิ่งเริ่มต้น
ตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่เคยคิดจะปิดบังบัณฑิตจางแต่แรก
บุคคลลือนามล้วนมีความสามารถแท้จริง
แผนการโจ่งแจ้งเช่นนี้คือการประลองฝีมืออย่างหนึ่ง
เขาอยากลองดูว่าอดีตผู้สั่งการสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักปากสอบผู้นี้มีฝีมือแค่ไหนกันแน่
สำหรับบัณฑิตจาง กล่องไม้นี้ไม่ได้สั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวอย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่
ต่อให้เป็นการฝึกตนของเขาก็มองออกแค่เงาร่างเค้าโครง ลองคิดย่อมรู้ได้ว่าตี๋เหว่ยไท่ใช้แรงสุดกำลังโดยแท้จริง
ทว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีกฎเกณฑ์ให้ตาม ล้วนมีวิถีให้หา
ไร้กฎเกณฑ์ก็คือกฎเกณฑ์ไม่ใช่หรือ
ไร้ร่องรอยก็คือร่องรอยไม่ใช่หรือ
หากถามคนคนหนึ่งว่าไปไหนทำอะไรอยู่ กินข้าว นอนหลับ อุจจาระ ปัสสาวะล้วนเป็นคำตอบ
แต่คำว่าไม่รู้ก็เป็นคำตอบเช่นกัน
ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นก็อยู่เหนือความคาดหมาย
บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจเป็นเรื่องทั่วไปสักอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ก็เท่ากับไม่ใช่
ตี๋เหว่ยไท่สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นจากการห่างหายไปนาน
เขาไม่ได้ประมือกับใครมานานมากเหลือเกิน
หนึ่งคือตำแหน่งฐานะของเขา คนที่ทำให้เขารู้สึกลำบากได้ก็มีน้อยมากอยู่แล้ว
สองเป็นเพราะนิสัยของเขา ความสุขสบายหลายปีนี้บดขยี้ความร้ายกาจในอดีตจนสิ้นไปนานแล้ว
แต่ชั่วเวลา ณ ขณะนี้กลับทำให้เขานึกถึงตอนตัวเองเลือดร้อนครั้งสุดท้าย
………………………..
ผู้คนรู้จักเพียงหลุมศพนกแก้วริมสระเฟิ่งหวง กลับไม่มีใครรู้ว่าใต้สระเฟิ่งหวงยังมีหลุมลึกอีกแห่งหนึ่งฝังอดีตทายาทสายตรงเก้าตระกูลไว้ทั้งหมด
นั่นไม่อาจเรียกว่าฝังโดยสิ้นเชิง แค่ขุดหลุมลวกๆ หลุมหนึ่งตามด้วยโยนศพลงไปอย่างมักง่ายแล้วกลบดินให้หนาเท่านั้น
ตอนเผชิญหน้ากับสมาชิกคนสุดท้ายในเก้าตระกูล ตี๋เหว่ยไท่ก็ยืนอย่างสุขุมเช่นนี้
สุขุมเหมือนที่เขายืนอยู่ตรงหน้าบัณฑิตจางในตอนนี้ไม่มีผิด
สองมือเขาว่างเปล่า
ไม่มีอาวุธรบใด
แต่พู่กันบางเล่มหนึ่ง แท่นฝนหมึกอันหนึ่ง น้ำหมึกหยดหนึ่ง ตำราเก่าเล่มหนึ่ง แมลงจ้อยตัวหนึ่ง ลมฝุ่นระลอกหนึ่ง หินกลิ้งก้อนหนึ่ง ไผ่แห้งท่อนหนึ่ง แม้กระทั่งเสื้อผ้าบนกายเขาก็เป็นอาวุธรบได้
ทว่าคนตรงหน้าร้ายกาจเป็นพิเศษ
หากพูดถึงอาวุธ เขาก็ไม่มีเหมือนกัน
แต่ในอกเขาใส่หินก้อนใหญ่ไว้ก้อนหนึ่ง
เขาอยากทุบตี๋เหว่ยไท่ให้แหลกละเอียด
ทุบเละเป็นจุณจนเทียบไม่ได้แม้แต่กากเดน
นี่ไม่ใช่การฆ่าคนธรรมดาแล้ว
นี่คือการระบายความแค้น
สมาชิกเก้าตระกูลโบกสองแขนทุกแนวขนาน หินก้อนใหญ่ที่ขนาบด้วยสองแขนก็กวัดแกว่งไปพร้อมกัน
ตี๋เหว่ยไท่ถอยหลังต่อเนื่อง ลมที่หินก้อนใหญ่พัดขึ้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
แต่ถึงจะถอยหลัง ฝีเท้าของเขายังมั่นคง ร่างกายของเขายังตั้งตรง
สุดท้าย สมาชิกเก้าตระกูลขว้างหินก้อนใหญ่ก้อนนี้ใส่ตี๋เหว่ยไท่
ยามนี้ ตี๋เหว่ยไท่ไม่ถอยหลังอีกแล้ว
กลับพุ่งเข้ารับหินก้อนใหญ่
ตี๋เหว่ยไท่ยืดสองแขนตรง กำสองหมัดแน่น พุ่งตรงดิ่งเข้าไปเช่นนี้
หินก้อนใหญ่เพิ่งแตะเพลงหมัดก็แตกกระจายเหมือนเต้าหู้ปะทะค้อนเหล็ก
‘นี่มันวิทยายุทธ์ใดกัน!?’
สมาชิกเก้าตระกูลเอ่ยถามอย่างพรั่นพรึง
‘ไม่รู้’
ตี๋เหว่ยไท่ตอบ
‘วิชาจับมังกรทุ่มช้างของข้ามีพลังกว่าหมื่นจวิน[2] เหตุใดเจ้าทำลายง่ายๆ เช่นนี้!?’
สมาชิกเก้าตระกูลเอ่ยถาม
เขาไม่ได้ถามตี๋เหว่ยไท่แล้ว เขากำลังถามตัวเอง
เมื่อสิ่งที่ทำให้คนนึกทะนงตนที่สุดถูกทำลายจนแหลกละเอียด ไม่เหลือจุดใดให้โต้แย้ง ก็มักจะจมสู่การปฏิเสธตนเองท่ามกลางความพังทลาย
‘ข้ามากกว่าเจ้าจวินหนึ่ง’
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ไม่ว่าเจ้ามีพันจวินหรือหมื่นจวิน ข้าล้วนมากกว่าเจ้าจวินหนึ่ง
หนึ่งจวินนี้ เพียงพอแล้ว
………………………………………..
[1] ทำเรื่องโง่เง่าตอนตื่น สื่อถึงการที่คนเราทำเรื่องผิดหรือเรื่องโง่ตอนมีสติ ตอนกลางคืนก็หลับไม่ลงเพราะรู้สิ่งที่ตัวเองทำ ตอนมีสติจึงควรมีความคิดบริสุทธิ์ตลอดเวลา
[2] จวิน หน่วยน้ำหนักเท่ากับสามสิบชั่ง