ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 113 สองด่านต่างความคิด-4
บทที่ 113 สองด่านต่างความคิด-4
ชายชุดขาวกล่าวเว้นวรรคทีละคำ
คล้ายต้องใช้เวลาคิดแต่ละคำอยู่นานก่อนเอ่ยออกมา
ประโยคนี้ไม่ยากเลย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องใช้แรงพูดขนาดนี้
การคิดประโยคในหัวเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การอ้าปากพูดออกมากลับเป็นอีกเรื่อง
ควรกลับ
คำนี้ปรากฏเป็นครั้งที่สองของวันนี้
หลิวรุ่ยอิ่งพลันคิดว่าคนผู้นี้คือลู่หมิงหมิงหรือเปล่า
รูปร่างก็คล้ายกันทีเดียว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นมือของเขาแล้ว
มือเขาผอมแห้งกว่าปกติ
ทุกข้อกระดูกบนมือล้วนเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา
สีผิวขาวผ่อง อ่อนนุ่ม ไม่มีร่องรอยของการตากลมตากแดดแต่อย่างใด
นี่ไม่ใช่มือที่คนธรรมดาคนหนึ่งควรมีอย่างแท้จริง
มือเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่ทำงานหนักที่สุดบนร่างกาย
ไม่ว่าทำอะไรล้วนต้องใช้มัน
ในเมื่อต้องใช้มันทำทุกอย่าง เช่นนั้นความเสียหายของมันก็ต้องมากสุดเป็นธรรมดา
หนังลอก เนื้อฉีก เลือดไหล ลวกเป็นแผล ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย
เว้นแต่เขาไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้
เว้นแต่เขาวางมือคู่นี้ของตัวเองไว้เหมือนของสะสม
ลู่หมิงหมิงตีเหล็กทุกวัน มือคู่นั้นใหญ่หนาและหยาบกระด้าง เต็มไปด้วยตุ่มไต ดูแล้วน่าเกรงขามยิ่ง ไม่ได้นุ่มนวลเช่นนี้โดยสิ้นเชิง
แต่ชายชุดขาวรู้คำว่า ‘ควรกลับ’ นี้ได้อย่างไรล่ะ
“ข้าควรกลับหรือไม่ต้องให้เจ้ามาใส่ใจด้วย?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเสียงเฉียบขาด
ชายชุดขาวอ้าปากอีกครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมสมาธิ เกิดกลัวพลาดคำใดของเขา
แต่ผ้าขาวคลุมหน้าชิ้นนั้นขยับขึ้นลง กลับไม่มีการส่งเสียงใดอีก
ฉับพลันนั้นหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าชายชุดขาวออกจะร้อนใจ
ความร้อนใจนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขา แต่เป็นตัวชายชุดขาวเอง
ร้อนใจเพราะตัวเองเอ่ยคำไม่ออก
ในยามนี้เอง!
ชายชุดขาวขยับแล้ว!
ไหล่ขวาเขายกขึ้น ข้อศอกเปิดออกด้านนอก แขนขวาหยัดตรงและบิดไปทางด้านหลังต่อเนื่อง
หลิวรุ่ยอิ่งถอยหลังก้าวหนึ่ง ส้นเท้าแตะถึงบานประตู
พร้อมก้มหลังเล็กน้อย ย่อกายลงต่ำ
แขนขวาของชายชุดขาวยังงอไปด้านหลัง องศานี้เกินขีดจำกัดแล้ว
เหมือนนักแสดงฝึกตำราเบ็ดเตล็ดที่สามารถบิดงอร่างกายในองศาน่าหวาดเสียวต่างๆ แล้วคดตัวอยู่ในถังใบใหญ่
การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้ายิ่ง ดันเข้าไปทีละชุ่น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
เพราะยิ่งเป็นเพลงยุทธ์ที่เนิบช้า ในนั้นยิ่งเป็นพายุโหมกระหน่ำ
ในที่สุด แขนขวาของชายชุดขาวหยุดลงแล้ว
ยามนี้กายครึ่งบนของเขาบิดงออย่างยิ่ง ถึงองศาที่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าต่อไปคือกระบวนท่าสังหาร
เพียงแต่เขาไม่เคยเห็นรูปร่างแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ป้องกันไม่ได้อย่างแท้จริง
ในเมื่อไม่อาจป้องกัน ไม่สู้ชิงลงมือก่อน
หลิวรุ่ยอิ่งยันบานประตูส่งแรงฉับพลัน วิ่งตรงไปข้างหน้าเหมือนลูกธนูพ้นคันศร
แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ สองมือเขาจับกระบี่ปักลงพื้นทันใด หยุดร่างไว้เพียงเท่านี้
‘เพียะ!’
ตรงหน้ามีเสียงใสกังวานดังทอดมา
หลิวรุ่ยอิ่งปักกระบี่ลงพื้นเพราะเสียงกังวานนี้
เขาเห็นแขนขวาที่บิดงอของชายชุดขาวดีดกลับมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ มือขวาที่ขาวผ่องนุ่มนวลนั้นฟาดลงบนหน้าด้านขวาของตัวเองเข้าอย่างจัง
เขาตบหน้าตัวเองทีหนึ่งอย่างรุนแรง
หลิวรุ่ยอิ่งตะลึงอ้าปากค้าง
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้
“ไม่ได้พูดมานาน ปากไม่ค่อยคล่องแคล่ว แต่ตอนนี้ดีแล้ว”
ชายชุดขาวกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
แขนขวาห้อยลง มือขวายังคงวางในตำแหน่งก่อนหน้านี้
หลิวรุ่ยอิ่งดึงกระบี่ดาราออกจากบนพื้น ยืนตัวตรง
คนผู้นี้ดูไม่ค่อยมีเจตนาร้าย ไม่อย่างนั้นจะจู่โจมตอนหลิวรุ่ยอิ่งเข้าประตูโดยไม่พูดให้มากความก็ยังได้
กำลังฝ่ามือของชายชุดขาวเต็มเหนี่ยว
กระทั่งลมที่เหลือจากฝ่ามือยังปะทะใบหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งและพัดปอยผมบนหน้าผากเขาได้
แต่ผลของฝ่ามือนี้คือการทำให้ริมฝีปากของตัวเองคล่องแคล่วขึ้นหน่อย จะได้ไม่พูดตะกุกตะกักเกินไป
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ก็ได้ผลมากทีเดียว
ประโยคด้านหลังที่ชายชุดขาวพูดไม่ต่างจากคนปกติแล้ว เพียงแต่เสียงแหบแห้งเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าหากคนติดอ่างล้วนถูกตบให้หายได้ในฝ่ามือเดียวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี
“เจ้าอยากพูดอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าอยากให้เจ้ากลับไป”
ชายชุดขาวเอ่ย
“ออกจากหอทรงปัญญา?”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ชายชุดขาวพยักหน้า
“ทำไมถึงอยากให้ข้ากลับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“กลับไปย่อมปลอดภัย”
ชายชุดขาวเอ่ย
“ถ้าไม่กลับล่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่กลับย่อมไม่ปลอดภัย”
ชายชุดขาวเอ่ย
“ทำไมถึงปลอดภัย แล้วทำไมถึงไม่ปลอดภัย”
หลิวรุ่ยอิ่งเหยียดหยันเขาไม่น้อย
หากชายชุดขาวผู้นี้ลงมือตรงๆ เขายังต้องระมัดระวังอีกหน่อย
แต่อีกฝ่ายกลับพูดจาข่มขู่ เช่นนี้จะบีบให้หลิวรุ่ยอิ่งถอยกลับได้อย่างไร
“การได้มีชีวิตคือความปลอดภัยที่สุด ตายแล้วย่อมไม่มีความปลอดภัย”
ชายชุดขาวเอ่ย
“เจ้าเป็นคนสังหารเหลี่ยงเฟิน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
ประโยคนี้ไม่มีคำถาม แต่เป็นการบอกเล่า
เขาชี้ขาดแล้ว
นึกไม่ถึงชายชุดขาวกลับส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้สังหารเหลี่ยงเฟิน แต่ข้ารู้ว่าเป็นใคร ข้ารู้จักเขา พวกเราสนิทกันดียิ่ง”
ชายชุดขาวเอ่ย
“แสดงว่าเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ผู้สมรู้ร่วมคิดต้องลงมือด้วยกัน เขาฆ่าเหลี่ยงเฟินของเขา ข้ามาพูดคุยกับเจ้า แม้พวกเรารู้จักกัน แต่ไม่ได้ลงมือด้วยกัน จึงเป็นได้เพียงสหายร่วมทาง หาใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดไม่”
ชายชุดขาวเอ่ย
“เจ้าอยากพูดอะไรอีก”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ข้าพูดหมดแล้ว ถึงตาเจ้าพูด”
ชายชุดขาวเอ่ย
“เจ้าอยากได้ยินข้าพูดว่ากลับ?”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ชายชุดขาวพยักหน้า
“ข้าไม่กลับเด็ดขาด ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร สหายของเจ้าเป็นใคร ข้าก็จะให้พวกเจ้ารับโทษตามกฎหมาย เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
ชายชุดขาวหัวเราะ
แม้ไม่มีเสียง แต่ร่างของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง เหมือนหัวเราะจนยากควบคุมตัวเอง
“เจ้าคิดว่าโลกนี้มีกฎหมายจริงหรือ”
ชายชุดขาวเอ่ยถาม
“แน่นอน! กฎเหล็กไม่อาจฝ่าฝืน ความยุติธรรมย่อมอยู่ในใจคน”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดเฉียบขาด
เพิ่งสิ้นเสียง ชายชุดขาวกลับตัวสั่นหนักกว่าเดิม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกตัวเองถูกเหยียดหยามอย่างใหญ่หลวง โทสะในใจทำให้เขาเริ่มตัวสั่นแล้วเช่นกัน
“ได้ๆๆ ในเมื่อเจ้าอยากจับพวกเราลงโทษตามกฎหมาย แล้วเชือกของเจ้าอยู่ไหนล่ะ”
ชายชุดขาวหยุดตัวสั่นพลางกล่าวในที่สุด
หลิวรุ่ยอิ่งยกกระบี่ในมือ
“ความจริงเจ้าแค่ไม่อยากให้จิ่วซานปั้นได้รับความไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่”
ชายชุดขาวเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เอ่ยคำใด
เขามีภารกิจหนักอึ้งที่ต้องทำให้ลุล่วงจริง แต่ความไม่เป็นธรรมของจิ่วซานปั้นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องอยู่ต่อเหมือนกัน
“เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ข้าถึงได้ยอมพูดคุยกับเจ้าก่อน”
ชายชุดขาวเอ่ย
“แต่การพูดคุยไม่ได้รับการยอมรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ใช่ ไม่ได้รับการยอมรับ ข้าจึงต้องสังหารเจ้า แต่เจ้าตายแล้วก็ข้าเสียดายจริงๆ ที่โลกนี้จะขาดคนที่ให้ความสำคัญกับสหายไปคนหนึ่ง”
ชายชุดขาวเอ่ย
“สายเลือดเดียวกันคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างเป็นเรื่องปกติของคน แต่คนที่ยินดีทุ่มเทเพื่อสหายได้เช่นนี้กลับหายากนัก”
ชายชุดขาวกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้พูดอะไร และไม่มีการเคลื่อนไหวใด
เขารู้ว่าชายชุดขาวกำลังสับสน
ตอนแรกชายชุดขาวเตือนให้เขากลับด้วยเจตนาดีอย่างแท้จริง
ทว่าตนปฏิเสธแล้วเขาก็จำเป็นต้องฆ่า
แต่ตนรู้สึกเห็นใจในความสัตย์ซื่อของจิ่วซานปั้น จึงยากลงมือทันที
“เจ้ามีกฎหมายที่ได้ทั้งสองฝ่ายหรือไม่”
ชายชุดขาวกล่าวถาม
“ไม่มี”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เจ้ามีหลักการของเจ้า ข้าก็มีหลักการของข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดต่อ
“จริงแท้…เดิมก็ไม่มีกฎหมายที่ได้ทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว เหมือนกับเจ้า ข้าก็ไม่อยากทำผิดต่อสหายของข้าเหมือนกัน จึงได้แต่ทำให้จิ่วซานปั้นได้รับความไม่เป็นธรรม”
ชายชุดขาวลุกขึ้นกล่าว
“มีของอะไรอยากให้ข้ามอบให้เขาแทนหรือไม่”
ชายชุดขาวเอ่ยถามพลางชี้กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง
คนตายแล้ว หลักการย่อมสูญสิ้น
แต่ของตกทอดยังอยู่ สิ่งของเป็นเหมือนน้ำใจของคน
และยังฝากความอาลัยไว้ได้เล็กน้อย
แต่สิ่งของมีชีวิตจิตใจเพราะคนมีความรู้สึก หากคนไร้หัวใจสิ่งของก็เป็นแค่ของตายชิ้นหนึ่ง
ดีแค่ไหนล้ำค่าเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
ชายชุดขาวปัดมือซ้ายพลันเลื่อนดาบยาวเจ็ดฉื่อเล่มหนึ่งออกจากในแขนเสื้อ
หลิวรุ่ยอิ่งคาดไม่ถึง คนผู้นี้ตบหน้าตัวเองด้วยมือขวาแต่ถือดาบด้วยมือซ้าย
ถือดาบมือซ้ายต่างจากหลักทั่วไป แต่บนตัวคนผู้นี้มีจุดที่ไม่สอดคล้องกับหลักทั่วไปเยอะเหลือเกิน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นจนชินแล้ว
แต่การถือดาบมือซ้ายต้องโจมตีด้านที่อ่อนแอของหลิวรุ่ยอิ่งแน่นอน
อย่างไรวิทยายุทธ์บนโลกล้วนหันไปหาอีกด้านหนึ่งเสมอ
นี่ไม่ได้ง่ายดายเหมือนการเข้าใจหนึ่งรู้ถึงสาม
จำต้องทดลองและฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานานถึงจะเข้ากันโดยสมบูรณ์
แสงดาบชายชุดขาวสว่างวาบ
เขาใช้สันดาบมุ่งตีข้อมือขวาของหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งใช้กระบี่กันออกด้วยหลังมือ
แต่อย่างไรการใช้กระบี่หลังมือก็ไม่สะดวกเท่าหน้ามือ
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่แผนรบระยะยาว
แต่ดีที่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนรู้จักพลิกแพลง
เขาเปลี่ยนตามอันตรายที่เผชิญ
หลิวรุ่ยอิ่งโยนกระบี่ใส่ชายชุดขาวเป็นมีดบิน
ชายชุดขาวตะลึงในกระบวนท่านี้ของเขา
เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าประโยชน์ของการทำเช่นนี้อยู่ตรงไหน
กระบี่หลิวรุ่ยอิ่งบินไม่เร็วนัก ทั้งไม่ได้ใส่พลังปราณเข้าไปแม้แต่น้อย
เด็กโยนหินกระดอนบนน้ำยังต้องใช้กำลังโยนหินกับองศาในการลงน้ำ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งแค่ฉวยมือโยนออกมาอย่างผ่อนคลายเช่นนี้
ชายชุดขาวระมัดระวังไม่น้อย
แม้เขาเข้าใจสถานการณ์ของหลิวรุ่ยอิ่งละเอียดชัดเจนดียิ่ง
ขอบเขตฝึกตนบรมภูมิเทียม
สำเร็จเคล็ดอักษรเพลิงในกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป
แต่กระบวนท่านี้กลับไม่อยู่ในข้อมูลข่าวกรอง
ชายชุดขาวถอยหลังสามก้าว ใช้ดาบเกี่ยวกระบี่บิน
กระบี่ดารารับแรงและเปลี่ยนวิถีเส้นทาง หมุนกลางอากาศรอบหนึ่งบินย้อนกลับมาหาหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งคว้ากระบี่ดาราด้วยหลังมือ จับมันคว่ำลงตั้งอยู่ตรงหน้า
“เจ้าไม่เลว เจ้าไม่เลวเลย!”
ชายชุดขาวกล่าวชม
เขาถือดาบมือซ้าย หากหลิวรุ่ยอิ่งยังใช้กระบี่ด้วยหน้ามือ ไม่ว่าอย่างไรก็จะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ต่อให้ทั้งสองฝึกตนระดับเดียวกัน แต่ผ่านไปหลายสิบกระบวนหลิวรุ่ยอิ่งต้องตกเป็นรองแน่นอน
ผ่านไปร้อยกระบวน แบ่งแพ้ชนะ กำหนดเป็นตายเรียบร้อยแล้ว
นึกไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ หลิวรุ่ยอิ่งจะคิดวิธีเช่นนี้มาชดเชยข้อได้เปรียบที่ดาบมือซ้ายตนจู่โจมจุดอ่อนของเขาได้
ตัวกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งตรงดิ่งลงล่าง ยามนี้มันยกขึ้นทางขวาอย่างเชื่องช้า
แม้เขาใช้กระบี่มือซ้ายไม่เป็น แต่หมุนคมกระบี่กลับด้านก็เหมือนถือกระบี่มือซ้ายแล้วไม่ใช่หรือ
หากตั้งใจครุ่นคิดและมีเวลามากพอ ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้าคงปรับใช้วิธีการรับมือเช่นนี้ได้กันหมด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนวิชากระบี่ตามปกติของตนทันทีหลังจากชายชุดขาวออกเพียงหนึ่งดาบ ความสามารถในการรับมือนี้ดียิ่งโดยแท้!
มีผู้ฝึกตนมากมายแข็งแกร่งกว่าชายชุดขาวอยู่มาก แต่สุดท้ายก็เก็บความแค้นไว้ใต้ดาบนี้ เพราะวิชาดาบมือซ้ายของตนทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ตัวจ้อยที่ขั้นฝึกตนยังไม่เข้าสู่บรมภูมิอย่างเป็นทางการเช่นหลิวรุ่ยอิ่งกลับย่นระยะห่างและมองทะลุข้อเด่นข้อด้อยในวิชาดาบของตนได้ในเวลาสั้นๆ นี่ทำให้ชายชุดขาวอดรู้สึกเสียดายความสามารถของเขาขึ้นมาอีกไม่ได้
“เจ้ากระบี่หลังมือ ข้าดาบมือซ้าย แต่เจ้ามองข้ามปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งไป ปัญหาที่สามาถเอาชีวิตเจ้าได้”
ชายชุดขาวกล่าว
“ปัญหาอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าเป็นดาบมือซ้าย ย่อมเป็นดาบมือขวาด้วยเหมือนกัน”
ชายชุดขาวกล่าวพลางเปลี่ยนดาบไปมือขวา
“ดาบมือขวาข้าย่อมรับด้วยกระบี่หน้ามือ! จะเป็นปัญหาได้อย่างไร?!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“แล้วถ้า…ข้ามีดาบสองเล่มล่ะ”
ชายชุดขาวปัดมือซ้ายดึงดาบเจ็ดฉื่อหน้าตาเหมือนกันอีกเล่มหนึ่งออกจากในแขนเสื้ออีกครั้ง!