ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 119 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-6
บทที่ 119 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-6
ปราณม่วงที่ถูกแสงดาบกลืนกินในตอนแรกค่อยๆ รวมเป็นหนึ่งกับรัศมีสีดินเหลือง เปลี่ยนเป็นไร้รูปไร้สีและหายไปเสียอย่างนั้น
ตู้เยี่ยนเห็นความเปลี่ยนแปลงของหลิวจิ่งเฮ่าในยามนี้จึงเก็บแสงดาบทันที
เขาอยากให้เวลาตัวเองปรับลมปราณสักครู่
เมื่อครู่กระบวนท่าที่รวดเร็วปานนั้นทำให้เขากินแรงไม่น้อยเหมือนกัน
แต่ขอแค่สามารถปลีกตัวให้เขามีเวลาหายใจสักสองสามครั้ง พลังปราณในกายก็จะเต็มอิ่มอีกครั้ง นี่เป็นจุดที่น่ากลัวของเทพบริราชเก้าทวีป
ใช้ได้ทุกสรรพสิ่งบนฟ้าดินเก้าทวีป
หดดินทับฟ้าให้เหลือไม่ถึงชุ่นตามใจอยาก
นึกถึงตอนเริ่นหยางตกปลาทะเลบูรพาที่หัวเมืองรัฐติงได้ในหนึ่งกระบี่ ตู้เยี่ยนย่อมดูดซับทั้งเขตติ้งซีอ๋องมาใช้ในส่วนลึกของหอทรงปัญญาได้เช่นกัน
แต่หลิวจิ่งเฮ่าไม่ได้ให้โอกาสเขา
หัตถ์ราชันดาราบถธรณีก็เหมือนกอเอี๊ยะแผ่นหนึ่ง เกาะติดดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเขาไว้อย่างเหนียวแน่น
ทว่าสรรพสิ่งล้วนมีขีดจำกัดของมัน
ต่อให้หัตถ์ราชันดาราบถธรณีของหลิวจิ่งเฮ่าแข็งแกร่งแค่ไหน ตราบใดที่ดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเขาเสี้ยมคมพอก็ยังคงแทงทะลุฟันขาดได้
แต่หัตถ์ราชันดาราบถธรณีของหลิวจิ่งเฮ่าไม่ใช่กอเอี๊ยะ
มันคือน้ำ!
ชักดาบตัดน้ำ น้ำยิ่งไหล!
ไม่ว่าดาบคู่ของตู้เยี่ยนเร็วแค่ไหนเสี้ยมคมเพียงใดล้วนไม่อาจตัดพลังเชี่ยวกรากที่ส่งมาจากสองมือของหลิวจิ่งเฮ่าได้เลย
แต่ตู้เยี่ยนกลับไม่ถอดใจ
เขาลดความเร็วดาบ เพิ่มความคงทนในทุกดาบ
แม้หนึ่งดาบไม่อาจตัดสายน้ำ อย่างน้อยก็ทำให้กำลังของสายน้ำชะลอได้พักหนึ่ง
แม้ชั่วขณะนี้สั้นนัก สั้นจนไม่มีคำใดอาจบรรยาย
แต่ตราบใดที่มีชั่วขณะนี้ สภาวะของตู้เยี่ยนก็ฟื้นฟูทีละน้อย
ฉับพลันนั้น หลิวจิ่งเฮ่าเปลี่ยนกระบวนท่าอีกครั้ง!
สองมือเขาปรากฏในรูปกรงเล็บ!
ดาบของตู้เยี่ยนเหมือนอสรพิษตัวหนึ่ง มันตัดจุดที่เปราะบางที่สุดของหลิวจิ่งเฮ่าได้เสมอ
ตอนนี้มือของหลิวจิ่งเฮ่าออกแรงแค่สามนิ้ว แต่กำจุดตายของอสรพิษตัวนี้ไว้ได้ทุกครั้ง
บนหน้าของตู้เยี่ยนยังฉายแววหดหู่เล็กน้อย
แม้เขาสวมผ้าคลุมหน้า ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขาได้
แต่อารมณ์หดหู่เช่นนี้ยังคงแผ่ขยายออกมาจากรอบกายเขา
ในแววตาของหลิวจิ่งเฮ่าก็เผยความเหนื่อยอ่อน
เมื่อก่อนตอนพวกเขาสองคนฝึกประลองยุทธ์ทุกวันก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ตอนนั้นทั้งสองฝึกพอประมาณ ไม่ได้รุนแรงหมื่นส่วนกะเล่นศัตรูถึงตายทุกกระบวนท่าเช่นนี้
พลังปราณแสงดาบโจมตีคน กลับน่าสังเวชยิ่งกว่าหัตถ์ราชันดาราบถธรณีของหลิวจิ่งเฮ่า
ราวกับคุกเข่าอยู่บนถนนทอดยาวคืนฝนตกที่ไร้ผู้คน
ตอนนี้ตู้เยี่ยนไม่อยากต่อสู้จนสนั่นลั่นทุ่งแล้ว
การต่อสู้เมื่อครู่ดึงอดีตที่เจ็บปวดที่สุดในใจเขาขึ้นมา
เขาแค่อยากเอาชนะหลิวจิ่งเฮ่าอย่างสง่าผ่าเผย
เขารู้ว่าช่องโหว่ในกระบวนท่าของอีกฝ่ายอยู่ที่สองไหล่ของเขา
หากตนใช้ดาบคู่ตาข่ายเมฆาแทงเข้าหัวไหล่ของเขาได้ เช่นนั้นหัตถ์ราชันดาราบถธรณีย่อมหดตัวเหมือนลูกหนังลมรั่ว
แต่เขาทำไม่ได้
เพราะถ้าอยากแทงเข้าสองไหล่ของหลิวจิ่งเฮ่าต้องทำลายหัตถ์ราชันดาราบถธรณีของเขาก่อน
แต่หัตถ์ราชันดาราบถธรณีของเขาไร้จุดอ่อน
ตู้เยี่ยนหาช่องโหว่ไม่เจอแม้แต่นิดเดียว
แต่หลิวจิ่งเฮ่าเองก็ทำอะไรดาบคู่ตาข่ายเมฆาของตู้เยี่ยนไม่ได้เหมือนกัน
เขารู้ว่าช่องโหว่ของตู้เยี่ยนอยู่ที่ข้อมือ
ปราณม่วงรูปเถาวัลย์ก่อนหน้านี้ก็มุ่งสังหารข้อมือของเขา
แต่กลับถูกแสงดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเขากลืนกินจนหมด
ทั้งสองติดอยู่ในวังวนไม่รู้จบอันแปลกประหลาด
ด้วยต่างคนต่างเข้าใจ จึงรู้แน่ชัดว่าช่องโหว่ในวิทยายุทธ์ของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน
แต่ก็เพราะความเข้าใจเช่นนี้เองที่ทำให้ใจทั้งสองเกิดความรู้สึกอ่อนแรงอยู่ลึกๆ
ฉับพลันนั้น ตู้เยี่ยนยกดาบคู่ขึ้นสูง เผยช่วงอกของตนออกมาทั้งหมด
หลิวจิ่งเฮ่าดีใจเป็นอย่างแรก แต่ก็หยุดการโจมตีไว้ทันใด
ตู้เยี่ยนไม่มีทางเผยช่องโหว่ชัดเจนขนาดนี้
ยามนี้ต่อให้สลับหลิวรุ่ยอิ่งกับหลิวจิ่งเฮ่า ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งคว้าโอกาสไว้ได้ก็แทงกระบี่เข้าทรวงอกเขาได้เหมือนกัน
ช่องโหว่ชัดเจนแบบนี้เป็นหลุมพราง
หากหลิวจิ่งเฮ่ามุ่งโจมตีหน้าอกเขาจริง เป็นต้องตกหลุมพรางของตู้เยี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าหลิวจิ่งเฮ่าไม่คว้าโอกาสนี้ชิงจู่โจม เช่นนั้นต่อให้เป็นเขาก็ไม่รู้ว่าตู้เยี่ยนกำลังเตรียมหลุมพรางแบบใดอยู่กันแน่
เรื่องมาถึงจุดนี้ ได้แต่ใช้แผนซ้อนแผน!
หลิวจิ่งเฮ่าเปลี่ยนกรงเล็บเป็นหมัด
หมัดขวาทรงพลังนำหน้า หมัดซ้ายเคลื่อนเร็วพลิกแพลง
หมัดขวาอยู่หน้า หมัดซ้ายอยู่หลัง ชกไปยังหน้าอกของตู้เยี่ยน
นึกไม่ถึง ชั่วขณะที่หมัดของหลิวจิ่งเฮ่าแตะถึงหน้าอกเขา
สัมผัสที่ส่งมานั้นยังเสี้ยมคมแข็งแกร่งกว่าแสงดาบบนดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเขาเสียอีก!
ยามนี้ ตู้เยี่ยนเองก็คือดาบ!
ดาบบนมือมีแค่รูปดาบ
แต่ทั้งร่างกายเขากลับซ่อนดาบที่แท้จริงไว้
ยังดี หลิวจิ่งเฮ่าชกโดนหน้าอกเขาแค่หมัดขวาที่นำหน้า
หมัดซ้ายที่เคลื่อนเร็วพลิกแพลงของเขากลับเลี้ยวออกกะทันหัน โจมตีไปยังข้อมือซ้ายที่ยกสูงของตู้เยี่ยน
ตู้เยี่ยนเห็นหมัดขวาของหลิวจิ่งเฮ่าแนบอยู่บริเวณทรวงอกเขาแล้วจึงระเบิดแสงดาบรูปตาข่ายเหมือนก่อนหน้านี้ออกจากกลางอก มัดหมัดขวาของเขาไว้บนกายตนอย่างแน่นหนา
ขณะเดียวกันตู้เยี่ยนลดมือขวาลงฉับพลัน แทงเข้าหัวไหล่ของหลิวจิ่งเฮ่า
ตอนดาบของตู้เยี่ยนแทงทะลุหัวไหล่หลิวจิ่งเฮ่าอย่างเงียบๆ หมัดซ้ายของเขาก็กำลังเข้าใกล้ข้อมือของตู้เยี่ยนเหมือนกัน
ยามนี้ทั้งสองกลับพากันหยุดลง
ใช่ว่าทั้งสองมีเจตนาทำเช่นนั้น แต่ความทรงจำที่ร่างกายส่งมาทำให้พวกเขาแข็งทื่ออยู่ที่เดิมดุจน้ำแข็งทันที
ความเงียบชั่วขณะผ่านไป
หลิวจิ่งเฮ่าเก็บหมัด
ตู้เยี่ยนก็เก็บดาบ
“ข้าแพ้แล้ว”
ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
เหมือนตอนประลองยุทธ์เมื่อก่อน
“ศึกนี้สนุกจริงๆ”
หลิวจิ่งเฮ่าเอ่ย
“ต่อให้ข้าแพ้ก็แพ้แค่ครึ่งกระบวน”
ตู้เยี่ยนกล่าว
เมื่อครู่หากทั้งสองสู้ต่อเขาต้องแทงเข้าหัวไหล่ของหลิวจิ่งเฮ่าได้ในดาบเดียวแน่นอน เพียงแต่ข้อมือของเขาเองก็จะถูกหัตถ์ดาราบถธรณีของหลิวจิ่งเฮ่าโจมตีจนขาด
ตนชนะครึ่งกระบวน และก็แพ้ครึ่งกระบวน
ในความเข้าใจของเขา ตราบใดที่ไม่ชนะถึงที่สุดนั่นก็คือแพ้
“แล้วตอนนั้นเจ้าได้แก้แค้นแทนหวั่นเอ๋อร์หรือเปล่า”
ตู้เยี่ยนเอ่ยถาม
“เปล่า…”
หลิวจิ่งเฮ่าส่ายหน้าอย่างเจ็บปวดที่สุด
ตู้เยี่ยนยิ้มเยาะเล็กน้อย
ความจริงวันที่หวั่นเอ๋อร์จากไป หลิวจิ่งเฮ่าไปแก้แค้นแทนนางจริงๆ
เพียงแต่เขากลัว
แม้อีกฝ่ายเป็นแค่บรมภูมิพิชิตแปดทิศคนหนึ่ง แต่สำหรับหลิวจิ่งเฮ่าในตอนนั้นกลับยังเป็นสิ่งที่ยากเกินตัว เขาถึงได้กลัว
แต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยเขาไปเฉยๆ เพราะเขาเกิดกลัว
ส่วนหลิวจิ่งเฮ่าจ่ายด้วยอะไร มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
ทว่าการไปครั้งนี้ทำให้เขาอดเจอหน้าหวั่นเอ๋อร์เป็นครั้งสุดท้าย
เทียบกับเรื่องนางรักใครกันแน่ สิ่งที่ตู้เยี่ยนคิดไม่ตกยิ่งกว่าคือถ้าคนที่อยู่วันนั้นคือหลิวจิ่งเฮ่า เขาจะรั้งไม่ให้นางไปได้ใช่หรือไม่
ต่อให้ตัวเลือกสุดท้ายของนางไม่ใช่เขา แต่ได้มองนางมีความสุขอยู่ไกลๆ ก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน
น่าเสียดาย ทั้งหมดล้วนเป็นความรู้สึกของตู้เยี่ยนข้างเดียว
นี่เป็นแค่ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งในใจเขา อย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนได้
หากสุดท้ายหวั่นเอ๋อร์ครองคู่กับหลิวจิ่งเฮ่า เขาจะมองคนที่ตัวเองรักออดอ้อนอยู่ในอกคนอื่นได้หน้าตาเฉยงั้นหรือ
ตู้เยี่ยนประเมินตัวเองสูงเกินไป
หากเขาทำเช่นนี้ได้จริง ความเป็นไปได้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเขาไม่เคยรักหวั่นเอ๋อร์เลย
แต่ไรมาผู้คนต่างทุ่มเทสุดแรงเพื่อไขว่คว้าครอบครองสิ่งที่รัก ไม่เคยมีคำว่าหลีกทางให้คนอื่น
ตู้เยี่ยนมองหลิวรุ่ยอิ่งที่งอตัวอยู่ด้านข้างพลางกล่าว
“ครั้งนี้ ข้าต้องผิดสัญญาแล้ว”
ตู้เยี่ยนกล่าว
“ทุกอย่างล้วนมีครั้งแรก เมื่อก่อนพวกเราประลองยุทธ์ก็มีแพ้ชนะ”
หลิวจิ่งเฮ่ากล่าว
“ห้าครั้ง”
ตู้เยี่ยนกล่าว
“ห้าครั้งอะไร”
หลิวจิ่งเฮ่าไม่เข้าใจ
“เจ้าชนะข้ามากกว่าข้าชนะเจ้าห้าครั้งแล้ว”
ตู้เยี่ยนกล่าว
หลิวจิ่งเฮ่านิ่งเงียบ
เขาไม่นึกว่าตู้เยี่ยนจะจำได้แม่นขนาดนี้
“นับรวมครั้งนี้ เจ้าชนะมากกว่าข้าหกครั้ง”
ตู้เยี่ยนกล่าว
…
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงจมดิ่งอยู่ในความว่างเปล่านั้น เพียงแต่เขาไม่วิ่งอีกแล้ว
แม้ไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ไม่ว่าใครทำงานเดียวซ้ำๆ ก็เป็นต้องรู้สึกเบื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เขายังคงไม่หยุด เขากำลังเดิน
เพียงแต่เขางอหัวเข่าไม่ได้แล้ว เหมือนบิดสะโพกเคลื่อนไปข้างหน้าทีละก้าวมากกว่า
จากนั้น ในท้องน้อยของเขามีความเจ็บปวดรุนแรงส่งมาอีกครั้ง!
หลิวรุ่ยอิ่งดีใจหมื่นส่วน
หากคนอื่นรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้คงเป็นกังวลยิ่งกันหมด เพียงแต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสถึงสิ่งใดไม่ได้เลย ตอนนี้มีความเจ็บปวดแล้ว ก็แปลว่าประสาทสัมผัสของเขาเริ่มกลับสู่สภาพเดิมแล้วไม่ใช่หรือ นี่จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งรีบหยุดฝีเท้า ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะกลายเป็นความว่างเปล่าหรือไม่
เขาพาจิตดำดิ่งสู่ในกายทั้งหมด เห็นธรรมลักษณ์บรมครูที่ทำลายอินหยางสองขั้วกำลังย้ายแท่นสวรรค์ของเขาออกมาจากโลกใบเล็กนั่น
ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ธรรมลักษณ์บรมครูงอปลายนิ้ว
กระบี่หยางแท้อวี้จิงฝังดาราสวรรค์เล่มนั้นก็พลันลอยออกจากตันเถียนและเคลื่อนตามเส้นลมปราณทั่วกาย
ตอนนี้จุดในระบบกับจุดลมปราณที่แน่นิ่งเพราะการพังทลายของอินหยางสองขั้วในตอนแรกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งทั้งหมด
โดยเฉพาะพลังปราณธาตุไฟในจุดเหม่า ความร้อนและความรุนแรงในเปลวไฟภายในนั้นกลับแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า!
เคราะห์ร้ายถึงขีดสุดย่อมประสบโชคดี เรื่องดีร้ายต่างพึ่งพากัน
หลิวรุ่ยอิ่งดีใจจนลืมทุกข์ นั่งร้องไห้เสียงดังอยู่บนพื้น
สมองปรากฏตัวอักษรไร้ที่มาอีกครั้ง
‘ในอดีต เซียนควบคุมฟ้าดินด้วยรู้แจ้งในอินหยาง จึงแบ่งเป็นสุญตา โกลาหล บรรพกาลและสวรรค์ สุญตาเห็นอากาศ โกลาหลเห็นพลังงาน บรรพกาลเห็นรูปโฉม สวรรค์ทะลวงอินหยาง พลังปราณล้วนมีอยู่และไม่แยกจาก จึงทำลายเพื่อสร้างมัน ทำลายสิ่งเดิมเพื่อสร้างสิ่งใหม่ ทำลายอินหยางและความโกลาหลภายใน ความโกลาหลไร้สัมผัสรู้ มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นโชคลาภอันดี…’
ตัวอักษรบทนี้ชัดว่าเป็นเนื้อหาต่อจากที่กระบี่ดาราส่งมาตอนเคลื่อนไหวผิดปกติ หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งฝึกจนสำเร็จเป็นธรรมลักษณ์บรมครูในเมืองติ้งซีอ๋องคราวก่อน แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจเข้าใจมันลึกถึงแก่นโดยสิ้นเชิง ได้แต่พยายามจำไว้ก่อน แต่เรื่องไม่ทำลายไม่อาจสร้างที่พูดถึงในนั้นกลับทำให้เขาเข้าใจการกระทำของธรรมลักษณ์บรมครู
แม้ไม่รู้ว่าการทำลายแล้วสร้างนี้สร้างอะไร แต่แค่จากการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณในจุดเหม่าก็รู้สึกได้ถึงการ ‘สร้าง’ ใหม่นี้แล้ว ทรงพลังกว่าการทะลวงก่อนหน้านี้เสียอีก
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งทบทวนตัวอักษรบทนี้ในหัวจบแล้ว ตอนได้สติอีกครั้งเขาถอยกลับจากความโกลาหลว่างเปล่าใบนั้นแล้ว
นอกจากตัวเขา ในห้องไม่มีใครอื่น
ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ากับชายชุดขาวไม่รู้ไปไหนแล้ว
กระทั่งหน้าต่างที่ถูกชนเละตอนหลิวจิ่งเฮ่าทะลุหน้าต่างเข้ามาก็ซ่อมเสร็จเรียบร้อยเหมือนตอนแรก
มองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดแล้ว ครึ่งกลางวันผ่านไปเช่นนี้…
………………………..
ห่างจากบ้านเขาไม่ไกล ตี๋เหว่ยไท่เพิ่งจุดตะเกียงดวงหนึ่งในบ้าน
หน้าหนังสือที่พลิกไม่ไปนั้นกลับพลิกได้แล้วในที่สุด
ก่อนจุดตะเกียง ตี๋เหว่ยไท่ได้ยินประโยคหนึ่งข้างหู
‘รบกวนมากแล้ว ตอนงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมต้องขอขมาท่าน’
เพราะตี๋เหว่ยไท่ได้ยินประโยคนี้ เขาถึงจุดตะเกียงเปิดหนังสือได้อย่างสบายใจ
ให้ผู้อื่นสะดวก ย่อมสะดวกตนเอง
แม้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าเข้ามาโดยไม่บอก แต่คำพูดเกรงใจก่อนไปนี้ก็ไว้หน้าตนพอแล้ว
แล้วทำไมตี๋เหว่ยไท่ต้องไปยึดติดด้วยล่ะ
เขตอ๋องทั้งห้า หอทรงปัญญา หอทรงภูมิ สถานที่เหล่านี้คืออิทธิพลที่สามารถส่งผลต่อแนวโน้มและสถานการณ์ของใต้หล้า ความสัมพันธ์ระหว่างกันจึงลึกซึ้งเช่นนี้
บางครั้งต้องแข่งกันให้ตายไปข้างถึงหยุด บางครั้งแค่ใช้คำพูดสบายๆ อย่าง ‘รบกวนแล้ว’ ก็ลบเลือนไปได้อย่างไร้ร่องรอย
……………………………………..
บทที่ 120 เห็นภายนอกมองอดีต-1
“เจ้าไหวหรือไม่”
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งลืมตาอีกครั้งเป็นยามเย็นของวันถัดมาแล้ว
จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อยืนมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงอยู่หัวเตียง
การรับรู้ของเขาพร่าเลือนเล็กน้อย ไม่รู้วันรู้เวลาแล้ว
ขนาดจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อยืนอยู่หน้าเตียงยังทำให้เขาตกใจสิบส่วน
เพราะใบหน้าสองใบนี้ทั้งทำให้เขาคุ้นเคยและแปลกหน้า นึกไม่ออกว่าเป็นใครอยู่ชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว
คอเขาแห้งมาก
เหมือนตู้เยี่ยนในตอนนั้น อ้าปากแต่ส่งเสียงใดไม่ออก
กระทั่งอยากไอสักครั้งก็ไอไม่ออก
ดูท่าก่อนหน้านี้เขาคงหลับสนิท
แม้แต่รองเท้าหนังก็ไม่ได้ถอด นอนหลับลึกบนเตียงไปทั้งอย่างนั้น…
ปกติมีแต่คนดื่มเหล้าเมาถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ถอดเสื้อผ้ารองเท้าและนอนแผ่ไปบนเตียงเสียเลย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งแน่ใจยิ่งว่าตนไม่ได้ดื่มจนเมา
ไม่เพียงไม่ได้ดื่มจนเมา กระทั่งเหล้าสักหยดก็ไม่ได้แตะ
แม้ตอนนี้เขาตื่นแล้ว ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจผ่านปีกจมูก ชีพจรของตัวเองและความมืดชั่วครู่ตอนกะพริบตา
แต่การรับรู้ของเขายังไม่กลับคืนโดยสมบูรณ์
เหมือนกายติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง จมดิ่งลงเรื่อยๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน ความทรงจำในหัวทับซ้อนกับใบหน้าตรงหน้า
“พวกเจ้านี่เอง…”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
ขณะเดียวกันพยายามลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก
เขาประคองร่างของตนด้วยข้อศอก อยากเอียงกายเข้ามาก่อน จากนั้นก็จับหัวเตียงให้หย่อนขาลงพื้นได้อีกครั้ง
สุดท้ายแค่ใช้มือพยุงกายท่อนบนไว้ ก็ถือว่าเขานั่งอยู่ขอบเตียงโดยสมบูรณ์
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าต่อให้ลุกไม่ขึ้นเหมือนเดิม นั่งก็ยังดีกว่านอน
อย่างน้อยดูแล้วมีชีวิตชีวากว่านอนเยอะ
แม้ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีแรงเลยสักนิด ทั้งกายอ่อนยวบเหมือนก้อนเมฆ แต่เขาไม่อยากให้คนนอกมองสถานการณ์จริงในตอนนี้ของเขาออกอย่างแท้จริง เขาจึงอยากฝืนคลานขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งดูนอกหน้าต่าง พบว่าด้านนอกยังคงเป็นยามเย็น
แต่ไหนเลยจะรู้ว่ายามเย็นนี้คือวันถัดมาแล้ว
ตั้งแต่หลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนจากไป เขานอนหมดสติอยู่บนเตียงมาสิบสองชั่วยามเต็มๆ
เดิมเวลาพลบค่ำก็เป็นบรรยากาศที่หลิวรุ่ยอิ่งชอบที่สุดอยู่แล้ว
เช้าตรู่หมอกชื้นปกคลุมทั่ว ทำให้ทุกสิ่งดูไม่จริงแท้
ตอนบ่ายแดดแรงเกินไป แยงตาจนเขาลืมไม่ขึ้น
มีแต่ช่วงโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์เริ่มลดลงเล็กน้อย
มีทั้งความแจ่มใสตอนกลางวัน แสงก็อ่อนโยนกว่าเดิม ทำให้คนสุขใจ
ยิ่งกว่านั้นยามเย็นคือช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสบายที่สุดในหนึ่งวันอย่างแท้จริง
ยามนี้ไม่ว่าชาวนาหรือคนรับใช้ก็หยุดทำงานกันหมด
ถ้าไม่กลับบ้านก็รวมกลุ่มกันไปสั่งกับแกล้มสองสามอย่างกับเหล้าสองจอกเล็ก
ไม่ว่ากลางวันงานเยอะเหนื่อยยากขนาดไหน ทุกอย่างล้วนค่อยๆ หายไปพร้อมแสงอาทิตย์ตกดิน
สิ่งที่เข้ามาแทนมีแต่มุกตลกเสียงเฮฮา
แต่วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยชอบยามเย็น
เพราะเขาไม่สบอารมณ์เอามาก
อารมณ์เสียเพราะเรื่องในใจเยอะเกินไป
หากคิดให้ชัดเจนได้ทีละเรื่องก็ดี
หากฟันออกตัดทิ้งให้หมดได้ทีละกระบี่ยิ่งดี
แต่เขาไม่อาจคิดได้ชัดเจน
ในเมื่อไม่รู้แน่ชัด ก็ไม่มีทางฟันทิ้งตัดออกได้เลย
คำถามเหล่านี้ทับอยู่บนอกเขาเหมือนก้อนหินหลายก้อน
หากให้เขานอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาอาจยังพอสบายอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อดันเรียกเขาขึ้นมา เขาจึงรู้สึกกลัดกลุ้มและหนักอึ้งในอกทุกย่างก้าว จำต้องอ้าปากกว้างพยายามสูดเอาอากาศให้มากหน่อยถึงจะดี
“เมื่อวานพวกเจ้าไปไหนมา”
หลิวรุ่ยอิ่งบังคับให้ตัวเองเอ่ยถามอย่างกระปรี้กระเปร่า
“พวกเราไปสถานที่ที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญามา”
จิ่วซานปั้นกล่าวหน้าชื่นตาบาน
“ที่ไหนคือสถานที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งคลึงจุดไท่หยาง[1]ของตนพลางกล่าว
เขารู้สึกจุดไท่หยางสองด้านศีรษะของตนปวดตุบๆ
“ไม่รู้สิ ก็เป็นถนนเส้นหนึ่งที่ยาวมาก ในนั้นมีทุกอย่าง!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“สุราก็มี?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“มีแน่นอน! บัณฑิตชอบดื่มสุรามากเชียวละ!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ไม่ใช่แค่สุรา…ยังมี…สตรี!”
จิ่วซานปั้นขยับเข้าไปพูดข้างหูหลิวรุ่ยอิ่ง
“สตรี? สตรีในหอทรงปัญญา?”
หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเป็นผู้หญิงที่เรียนในหอทรงปัญญา ไม่นึกว่าสิ่งที่จิ่วซานปั้นพูดถึงกลับเป็นอีกความหมายหนึ่ง
“เจ้าถึงขั้นไปหาสตรีกับโอวเสี่ยวเอ๋อ?”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ายิ้ม
ยิ้มนี้ทำให้ใจเขารู้สึกหายกลัดกลุ้มไม่น้อย
“ใครบอกว่ามีแต่บุรุษอย่างพวกเจ้าที่ไปดื่มเหล้าเคล้านารีได้”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวอย่างไม่พอใจ
“จริงแท้ๆ…ไม่มีใครกำหนดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว หนำซ้ำสถานที่เหล่านั้นขอแค่มีเงินใครก็ไปได้ อย่าว่าแต่บุรุษหรือแม่นางน้อยเลย ต่อให้เป็นขันทีแล้วจะเป็นไรไป”
หลิวรุ่ยอิ่งยักไหล่กล่าว
คำพูดนี้ทำให้จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อชอบใจ
“ทำไมเจ้านอนนานขนาดนี้”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
โอวเสี่ยวเอ๋อขมวดคิ้วงามเล็กน้อย
นางรู้สึกได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากพูดหัวข้อนี้อย่างชัดเจน จิ่วซานปั้นก็ชอบพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเสียจริง
แต่ถ้าปล่อยผ่านไปได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่จิ่วซานปั้นแล้ว
น้ำเต้าที่จิ่วซานปั้นดื่มสุราทั้งใหญ่ทั้งลึก แสดงว่าลักษณะการดื่มเขาจริงจังกว่าปกติ
ที่จริงไม่ใช่แค่ดื่มสุรา เขาจริงจังในทุกเรื่องกว่าปกติทั้งนั้น
เงื่อนไขแรกคือเรื่องนี้ต้องเป็นสิ่งที่เขาสนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนที่เขาใส่ใจ เรื่องของหลิวรุ่ยอิ่งย่อมเป็นเรื่องที่เขาใส่ใจ เขาถึงได้ถามเซ้าซี้จนถึงที่สุด
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เหนื่อยมาก…”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขาไม่ได้โกหก เขาเหนื่อยมากจริงๆ
แม้ความเหนื่อยนี้เป็นเพราะอินหยางสองขั้วในกายเขาพังทลายและธรรมลักษณ์บรมครูเอาทุกสิ่งเข้ามาแทน
แต่ถ้าอธิบายทั้งหมดนี้โดยละเอียดจะไม่ทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิมหรอกหรือ
จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วพยักหน้า
เขาไม่ตริตรองด้วยซ้ำว่าหลิวรุ่ยอิ่งพูดความจริงหรือไม่
เขาแค่อยากได้คำตอบ
คำตอบที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดออกจากปากตัวเอง
ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งพูด แม้คำตอบนี้ไร้สาระแค่ไหน เหลือเชื่อเพียงใด เขาก็เชื่อทั้งนั้น
“เมื่อวานในหอทรงปัญญามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เหมือนเดิมทุกอย่าง”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“แต่ด้วยงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมใกล้เข้ามา ดูจะครึกครื้นกว่าเดิมไม่น้อย”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยิน ‘งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม’ แล้วพลันนึกถึงทังจงซงขึ้นมา
ไม่รู้ตอนนี้เจ้าคนที่ไปไหนก็อยู่ไม่สุขกำลังทำอะไรอยู่
คิดว่าสองสามวันแรกที่เพิ่งถึงคงมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด
ด้วยนิสัยของทังจงซง พอเขาทำธุระเสร็จแล้วต้องรีบมาหาตนทันทีแน่นอน
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย
เขาเห็นระยะที่ต้นไม้นอกหน้าต่างไหวเอนกว้างกว่าตอนแรกเล็กน้อย
ลมกลางคืนมักทำให้คนรู้สึกสบาย
เขาจึงอยากออกไปข้างนอก
เขามองไปทางบ้านเซียวจิ่นข่านแวบหนึ่ง ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย แต่สุดท้ายไม่ได้ก้าวเข้าไป
หลิวรุ่ยอิ่งเคยพูดว่ารอจัดการเรื่องของตนเสร็จแล้วค่อยไปดื่มเหล้ากับเขา
ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มจัดการเรื่องราวก็ไปดื่มเหล้ากับเขา จะไม่ทำให้ตนไม่น่าเชื่อถือหรอกหรือ
“ถนนที่คึกคักที่สุดเส้นนั้นเป็นสถานที่ไม่เลว”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นางดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งสับสนเล็กน้อย
ความสับสนเช่นนั้นนางก็เคยมี ใครๆ ก็มีทั้งนั้น
เพราะไม่นานความสับสนแบบนี้ก็จะกลายเป็นความกลัดกลุ้มร้อนใจ
เมื่อกลัดกลุ้มร้อนใจอยู่ข้างในจนทนไม่ไหว สิ่งที่ระเบิดออกมาก็คือโทสะ
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนอารมณ์เย็นมากคนหนึ่ง
เขามีความเยือกเย็นสูงและอดทนเก่งมากจึงไม่ค่อยโมโหง่าย
เช่นนั้นความกลัดกลุ้มร้อนใจนี้ก็จะถูกกดไว้ข้างในอยู่เสมอ วางไว้ในที่แห่งหนึ่งตลอดไป
ความจริงในใจทุกคนล้วนมีมุมเช่นนี้อยู่
ตอนมันรับไว้จนเต็มคนก็จะร้องไห้ ร้องไห้เสร็จแล้วโล่งคนก็จะหัวเราะ
แต่หัวเราะมีความสุขเท่าไร ร้องไห้ก็น่าปวดใจเท่านั้น
ระหว่างร้องไห้และหัวเราะ เรื่องในโลกล้วนเป็นอดีตอย่างแท้จริง
หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าอีกครั้ง พบว่าตนเดินตามจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อมาจนถึงถนนที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญาเส้นนั้น
สองฝั่งถนนเรียงรายด้วยหน้าร้านนับไม่ถ้วน ดูแล้วไม่ต่างกับถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองติ้งซีอ๋อง เพียงแต่เทียบกันแล้วขาดความเป็นระเบียบอยู่หลายส่วน
ป้ายร้านและธงเหล่านั้นสลับกันยุ่งเหมือนยุงตีกันสะท้อนเข้าม่านตา ทำให้คนกวาดมองไม่ไหวโดยแท้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแม่นางอายุน้อยมากมายผัดแป้งแต่งตัวงดงามยืนอยู่ตรงระเบียงบนหอ กำลังหัวเราะใสซื่อส่งสายตาให้บัณฑิตหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบที่ผ่านไปมาบนถนน
แน่นอน สถานที่ที่คึกคักที่สุดยังคงเป็นโถงรื่นรมย์
ร้านขายตำราวรรณกรรมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
หลิวรุ่ยอิ่งเคยไปโถงรื่นรมย์สาขาย่อยในหัวเมืองรัฐติง แต่พอเทียบกับในหอทรงปัญญาแล้วเหมือนมดเขย่าต้นไม้
แต่นอกจากที่นี่ เขาไม่คุ้นสถานที่อื่นเลยสักนิด
เดิมเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของบัณฑิตอยู่แล้ว ตอนแรกพยายามแสร้งทำเป็นรู้ดีแค่เพราะไม่อยากเป็นตัวตลกต่อหน้าเจ้าหมิงหมิง
การกระทำของทุกคนล้วนกำหนดตามคนที่อยู่ข้างกาย
ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าหมิงหมิง หลิวรุ่ยอิ่งจึงคิดหน้าคิดหลังในทุกการกระทำ
ตอนนี้คือจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อ เขากลับเป็นตัวเองได้มาก
เขาจึงมองในโถงรื่นรมย์แค่แวบเดียว ไม่มีความคิดเข้าไปโดยสิ้นเชิง
เขายังเห็นร้านขายเกาลัดคั่วน้ำตาลร้านหนึ่งด้วย
แม้เขาไม่ชอบกินของหวาน แต่นึกถึงเกาลัดคั่วน้ำตาลสาวใช้ของเจ้าหมิงหมิงกลับทำให้เขาแอบกลืนน้ำลายสองสามครั้ง และซื้อมาถุงหนึ่งโดยไม่คาดคิด
เกาลัดเข้าปาก หวานอร่อยเหนียวนุ่ม
ถึงขั้นไม่ต้องตั้งใจเคี้ยว แค่ใช้ลิ้นดันเกาลัดกับเพดานปากเล็กน้อยก็ละลายมันได้หมด
จากนั้นรสหวานที่ปลายลิ้นเข้าถึงทรวงอก ทำให้คนรู้สึกหยุดไม่ได้อย่างแท้จริง
แต่เขาไม่ได้กินเยอะ เพราะเขาแค่อยากลองชิมรสชาติ ไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งมองเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เหลือกว่าครึ่งถุงบนมือ คิดว่าโยนทิ้งก็ออกจะสิ้นเปลือง แต่ถือไว้ในมือก็ดูเป็นภาระยิ่ง
“ข้าเลี้ยงเจ้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางยัดเกาลัดคั่วน้ำตาลให้จิ่วซานปั้น
“เจ้าเลี้ยงข้าแล้วทำไมกินเองก่อนตั้งหลายชิ้น!?”
จิ่วซานปั้นรับเกาลัดคั่วน้ำตาลพลางเอ่ยถาม
“เพราะข้ากลัวมีพิษ”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มกล่าว
“มีพิษ? ใครจะวางยาสังหารข้า แล้วข้าก็ไม่เคยกินเกาลัดคั่วน้ำตาลด้วย”
จิ่วซานปั้นประหลาดใจยิ่ง
คนคนหนึ่งอยากวางยาทำร้ายคนจะต้องลงมือจากเรื่องหรือของใช้ประจำวันที่สุดของคนนั้น จะเลือกของที่เขาไม่เคยมีโอกาสกินเลยได้อย่างไร
“พิษไม่จำเป็นต้องตาย หากกินแล้วท้องไม่ดีก็นับเป็นพิษ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
โอวเสี่ยวเอ๋อดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งกำลังพูดไปเรื่อยอย่างเอาจริงเอาจัง อดป้องปากหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แต่นางกลับไม่ได้เปิดโปง
เพราะนางรู้สึกว่าสองคนนี้ส่งกันไปมา คนหนึ่งจริงจัง คนหนึ่งล้อเล่น สนุกยิ่ง!
“ท้องไม่ดีก็นับว่าถูกพิษ? แล้วข้าหัวเราะจนปวดท้องตอนดื่มเหล้าบ่อยๆ ก็นับว่าถูกพิษด้วย?”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“แน่นอน! ขอแค่ไม่สบายตัวก็คือถูกพิษ แต่ถ้าสบายอยู่ตลอดก็ถูกพิษเช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
จิ่วซานปั้นพยักหน้าเห็นด้วย
คำพูดนี้เขากลับเห็นด้วยมาก
อย่างไรเขาก็ถูกพิษสุราอยู่แล้ว ทั้งยังมากขึ้นทุกวัน
เดิมทีบุญคุณความแค้นระหว่างจิ่วซานปั้นกับเหลี่ยงเฟินและหอทรงปัญญาไม่ได้เกี่ยวกับหลิวรุ่ยอิ่งเลยสักนิด
เขาไม่จำเป็นต้องลุยน้ำขุ่น
หากก่อนหน้านี้ฟังคำโน้มน้าวของตู้เยี่ยนชายชุดขาวแล้วจากไปดีๆ เช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ในภายหลัง
…………………………………….
[1] จุดไท่หยาง จุดตรงขมับ