ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 124 น้ำใจเล็กน้อย-3
บทที่ 124 น้ำใจเล็กน้อย-3
โอวเสี่ยวเอ๋อยืนมึนงงอยู่ด้านข้าง
จิ่วซานปั้นเรียกหลายรอบแล้วแต่นางกลับนิ่งเฉย
เขาจนปัญญาได้แต่ป้องกันอยู่ข้างหน้านาง
จิ่วซานปั้นไม่มีกระบี่แล้ว
เขามองบนโต๊ะแวบหนึ่ง ถึงขั้นคิดหยิบตะเกียบแท่งหนึ่งขึ้นมาเป็นกระบี่
ก็เหมือนใช้กรรไกรคีบถ่านในร้านตีเหล็กเป็นกระบี่ตอนอยู่เมืองจิ่งผิง
ทว่าตะเกียบไม่เหมือนกรรไกรคีบถ่าน แม้เป็นคู่เหมือนกัน แต่สั้นกว่าและหักง่ายกว่า
หากเป็นมีดสั้นก็ว่าไปอย่าง
จิ่วซานปั้นหันมามองโอวเสี่ยวเอ๋อ เขาคิดบางอย่างออกจึงคลำบนกายนาง
โอวเสี่ยวเอ๋อตกใจเพราะจิ่วซานปั้นยื่นมือเข้ามากะทันหัน
ทั้งที่ในความรู้สึกนางต่อต้านตามสัญชาตญาณแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมร่างกายถึงขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
นางจึงปล่อยให้มือของจิ่วซานปั้นแนบบนกายตนเช่นนี้
จิ่วซานปั้นจำได้ว่ากระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋อซ่อนอยู่ในข้อพับแขนขวาแนบชิดอยู่กับตัว
เขาอยากยืมกระบี่!
เป็นดังคาด กระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋ออยู่ตรงนั้นจริง จิ่วซานปั้นยื่นมือก็คลำเจอแล้ว
กระบี่ชงโคตระกูลโอว
ประจำกาย ‘แก่นกระบี่’
แม้ดูเหมือนขาดความน่าเกรงขามไปหลายส่วน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกกระบี่เล่มนี้
………………………..
กรรมวิธีการตีเหล็กของกระบี่ชงโคไม่ซับซ้อน
ความจริงกระบี่ก็คือกระบี่ ไม่ได้คลุมเครือไร้ร่องรอยอย่างวิชาลึกลับของนักพรตอินหยาง
ตระกูลโอวหลอมกระบี่ได้ ลู่หมิงหมิงหลอมกระบี่ได้ แม้แต่จิ่วซานปั้นเองก็หลอมกระบี่ได้เล่มหนึ่งไม่ใช่หรือ
เห็นได้ว่าการหลอมกระบี่ไม่ยาก กรรมวิธีนับร้อยนับพันปีไม่มีอะไรซ่อนหรือเหน็บไว้ได้
สิ่งที่ยากคือความคิดในการหลอมกระบี่กับคนใช้กระบี่
เคยมีนักหลอมกระบี่ถูกมารในใจครอบงำ เขาคิดแต่จะเพิ่มพลังทำลายล้างของกระบี่
เขาจึงเพิ่มฟันเลื่อยเรียงบนด้านหนึ่งของตัวกระบี่
ดูแล้วก็น่าเกรงขาม ทำให้ใจคนหวาดกลัวโดยแท้
กระบี่เล่มนั้นนามว่าปลิดวิญญาณ
คนที่ตีมันคือบุตรผู้ถูกทอดทิ้งที่ตระกูลโอวขับไล่ออกจากตระกูล
เดิมเขาเป็นหนึ่งในนักหลอมกระบี่ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลโอว
แต่คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพราะของอย่างพรสวรรค์มีมากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จเยอะนัก
หากคนไม่ได้มีพรสวรรค์มากขนาดนั้นก็ได้แต่ทำตามระเบียบแบบแผนไปทีละขั้น
กระบี่ก็เป็นแค่กระบี่ ทุกค้อนล้วนทุบลงไปตามตำแหน่งที่เขียนไว้บนคัมภีร์หลอมกระบี่ตระกูลโอว ไม่กล้าเอนเอียงไปทางใดแม้แต่น้อย
สำหรับคนทั่วไป แค่ทำตามแบบแผนเช่นนี้ก็เป็นเรื่องยากแล้ว
เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีความอดทนมุ่งมั่นทำเรื่องเดิมๆ ได้วันแล้ววันเล่า
หากมุ่งมั่นต่อไปได้ ภายหน้าก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการหลอมกระบี่ของตระกูลโอว
ต่อให้ไปไม่ถึงจุดสูงสุดก็ไม่มีทางกลายเป็นหางแถว
แต่คนผู้นี้ไม่ใช่
พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมที่สุด
คัมภีร์หลอมกระบี่เล่มหนึ่งหนาๆ คนอื่นต้องใช้เวลาหลายปีถึงเข้าใจแค่ผิวเผิน สิบกว่าปีถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง หลายสิบปีถึงเข้าใจได้ทั้งหมด
แต่เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี
ไม่เพียงเข้าใจทั้งหมด ยังถึงขั้นเข้าใจไปถึงเรื่องอื่นด้วย
ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์หลอมกระบี่เขียนถึงนักหลอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตระกูลโอวแต่ละยุค พวกเขาล้วนเคยปรับเปลี่ยนวิธีหลอมกระบี่ ทั้งยังเคยตีกระบี่เลื่องชื่อแห่งยุคกันทุกคน
ตระกูลโอวยกชื่อของพวกเขา ส่วนที่ปรับปรุงรวมถึงชื่อกระบี่ลือนามทั้งหมดไว้ในส่วนหลังของคัมภีร์หลอมกระบี่เพื่อระลึกถึงพวกเขาและปลุกเร้าคนรุ่นหลังไปพร้อมกัน
เขาเองก็อยากให้ชื่อของตัวเองเขียนอยู่บนนั้น…โอวฉู
แม้ชื่อฉู[1] แต่เขาทำอาหารไม่เป็นเลยสักอย่าง
ทั้งยังไม่เคยมีความพิถีพิถันใดๆ กับการกิน
เขามักตักข้าวสองคำอย่างรีบเร่งและกลับมาเคาะๆ ตีๆ ในห้องหลอมกระบี่อีกครั้ง
ดังนั้นถึงใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี แต่ความพยายามและเวลาที่เขาทุ่มเทกลับเป็นหลายสิบปีของคนอื่น
………………………..
ครั้นโอวเสี่ยวเอ๋อยังเด็กตอนชื่อของเขาถูกเขียนในคัมภีร์หลอมกระบี่
ในความทรงจำของนาง โอวฉูเป็นพี่ชายใหญ่ผู้ใจดีและอ่อนโยนคนหนึ่ง
เขามุ่งมั่นในสิ่งที่ทำอย่างไม่ลดละ ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้
แต่กับเด็กที่อายุน้อยกว่าตน เขากลับยอมตามใจทุกอย่าง
ทุกครั้งที่ออกจากห้องหลอมกระบี่ เขาจะล้วงหยิบขนมและของเล่นที่ทำเองจากในกระเป๋าส่งให้เด็กๆ
นานวันเข้าเด็กทั้งตระกูลโอวก็จะรอเขาออกมาอยู่หน้าประตูห้องหลอมกระบี่
ขนมกับของเล่นเยอะขนาดนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แบ่งไม่พอ
ทุกครั้งที่ของหมดโอวฉูก็จะแบมือทำหน้ารู้สึกผิด
ตอนพวกเด็กๆ ทำหน้าผิดหวังเตรียมหันกลับ โอวฉูไม่รู้หยิบออกมาจากไหนเต็มมือ เหมือนเล่นมายากล
เด็กๆ ก็ร้องดีใจ พุ่งเข้าไปแย่งจนหมดเกลี้ยง
โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นเด็กคนเดียวที่ไม่เข้าไปแย่ง
เพราะนางรู้ว่าโอวฉูต้องเตรียมส่วนแบ่งไว้พอแน่นอน เข้าไปแย่งก็แค่ได้เร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น
ถึงไม่แย่งช้าเร็วก็ได้เหมือนกัน
สุดท้ายตราบใดที่มีส่วนของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแย่งชิงเหมือนเด็กคนอื่น
แต่เป็นอีกครั้งที่โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้
นางไม่รู้ว่าเด็กบางคนหยิบเกินไปอันหนึ่งหรือโอวฉูเตรียมไว้น้อยจริงๆ
สุดท้ายสองมือนางว่างเปล่า
โอวเสี่ยวเอ๋อมองโอวฉูเงียบๆ หวังว่าเขาจะเล่นกลมอบให้ตนอีกชิ้นหนึ่งได้เหมือนก่อนหน้านี้
แต่ตอนนี้โอวฉูไม่เหลือสักชิ้นแล้วจริงๆ
เขาลูบหัวโอวเสี่ยวเอ๋อเพราะรู้สึกเสียใจยิ่ง บอกนางว่าคราวหน้าต้องให้นางอีกชิ้นแน่นอน
มือของโอวฉูผอมแห้ง
บวกกับสาเหตุจากการตีเหล็กหลอมกระบี่ทั้งปีทำให้แรงมือเขาเต็มสิบส่วน
เขาคิดว่าตนแค่วางบนศีรษะโอวเสี่ยวเอ๋อเบาๆ แต่สำหรับโอวเสี่ยวเอ๋อกลับรู้สึกเหมือนตบหัวนางอย่างแรงทีหนึ่ง
เดิมก็น้อยใจเพราะไม่ได้ของอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนโอวฉูจงใจตบหัวนาง
โอวเสี่ยวเอ๋ออดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้งอแงออกมา
โอวฉูจึงนั่งลงกอดโอวเสี่ยเอ๋ออยู่หน้าประตูห้องหลอมกระบี่ ใช้มุมเสื้อเช็ดน้ำตาบนหน้านาง และเล่านิทานให้นางฟัง
โอวฉูกับโอวเสี่ยวเอ๋อล้วนไม่ใช่ตระกูลโอวสายตรง แต่เปลี่ยนนามสกุลหลังเข้าตระกูลโอวเหมือนกัน
โอวฉูบอกว่าใต้หล้าเคยมีกระบี่ที่เลื่องชื่อที่สุดอยู่เล่มหนึ่ง
นามว่านิมิตสวรรค์
ฟ้าดินแบ่งอินหยาง คนว่าด้วยชายหญิง สรรพสิ่งเรียกตัวผู้ตัวเมีย
ยังมีกระบี่อีกเล่มหนึ่งเข้าคู่กับกระบี่นิมิตสวรรค์
กระบี่เล่มนี้เลื่องชื่อเป็นอันดับสองในใต้หล้า นามว่าปราณชีวัน
………………………..
นิทานเริ่มจากคนคนหนึ่งถือกระบี่นิมิตสวรรค์แทงเข้ากลางอกกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้า
จากนั้น เขาก็กลายเป็นกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้า
กระบี่ที่เขาใช้คือนิมิตสวรรค์
ชื่อของเขาก็คือเทียนรุ่ย
กระบี่ของอดีตกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้าที่ตายไปชื่อปราณชีวัน
ชื่อของเขาก็คือลี่มิ่ง
ตั้งแต่นั้นกระบี่สองเล่มนี้ล้วนอยู่ในมือเขา
ตอนฆ่าคนเขามักรู้สึกเบิกบานอย่างยิ่ง
เพราะใต้หล้าในยามนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ล้วนถูกจัดอันดับบนกระดานแผ่นหนึ่ง
คนที่เขาฆ่าเป็นคนที่ตำแหน่งบนกระดานสูงกว่าเขาทั้งหมด
ดังนั้นทุกครั้งที่ฆ่าคนหนึ่ง อันดับของเขาก็ขึ้นช่องหนึ่ง
ใครจะไม่ดีใจที่ชื่อของตัวเองขยับขึ้นไปเรื่อยๆ บ้างล่ะ
เขาจึงดีใจมาก
โอวเสี่ยวเอ๋อถามโอวฉูว่าเทียนรุ่ยฆ่าคนมามากขนาดนี้แล้วเหตุใดยังยิ้มได้อีก รอยยิ้มหลังจากฆ่าคนเป็นแบบไหนกันแน่
โอวฉูบอกว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ
รอยยิ้มนั้นบางและตื้นมาก แต่กลับงามหวานยิ่ง
ก็เหมือนรอยยิ้มตอนเจ้าบ่าวเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้น
ดีใจ ตื่นเต้น แต่ก็ประหม่าและเขินอายเล็กน้อย
ลี่มิ่งคือต้นแบบแห่งยุทธภพ
แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเทียนรุ่ยเรียนจากสำนักใด
เหมือนจู่ๆ โผล่มาก็มีวิชากระบี่เลิศล้ำเลย
ไม่มีใครเคยเห็นว่าเขาเชี่ยวชาญวิทยายุทธ์อื่นอีกหรือไม่
เพราะตอนฆ่าคนเขาแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ว่าอีกฝ่ายมีกระบวนท่ามากมายแบบไหนเขาก็ออกแค่หนึ่งกระบี่
กระบี่ออก
คนม้วย
ไม่เคยมีข้อยกเว้น
โอวเสี่ยวเอ๋อถามว่าในเมื่อเทียนรุ่ยเก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดไม่ประลองกับอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างลี่มิ่งตั้งแต่ต้นแทนที่จะเริ่มฆ่าขึ้นไปทีละคน
โอวฉูบอกว่าเพราะเทียนรุ่ยเป็นคนใจเย็นมาก
และสิ่งที่เขาอยากได้ก็ไม่ใช่สมัญญากระบี่มือหนึ่งในใต้หล้า แต่เป็นการเพลิดเพลินกับขั้นตอนที่ปีนขึ้นไปทีละนิดเช่นนี้
เขาจึงเริ่มจากชื่อท้ายสุดบนกระดาน
หนึ่งกระบี่หนึ่งคน
หนึ่งกระบี่หนึ่งก้าว
เป็นเช่นนี้ทีละก้าวจนฆ่าลี่มิ่งได้แล้วกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า
โอวฉูเล่าถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืน เตรียมกลับไปทำงานในห้องหลอมกระบี่ต่อ
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อยังฟังไม่พอ
หนำซ้ำเล่าเรื่องมาถึงตรงนี้กลายเป็นเริ่มดีจบแย่ น่าเบื่ออย่างยิ่ง
‘แล้วหลังจากเทียนรุ่ยกลายเป็นกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้าแล้วล่ะ’
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
‘จากนั้นเขาก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว’
โอวฉูตอบ
‘จะมีคนมาฆ่าเขาเหมือนที่เขาฆ่าลี่มิ่งหรือไม่’
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
‘มีแน่นอน เยอะมากด้วย เพราะคนมากมายล้วนอยากเป็นกระบี่มือหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่กระบี่มือหนึ่งแห่งใต้หล้ามีได้แค่คนเดียว’
โอวฉูกล่าว
‘สุดท้ายเทียนรุ่ยเป็นอย่างไร ถูกคนฆ่าตายหรือเปล่า’
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
‘ใช่ เขาตายแล้ว เพราะเขาแพ้ให้คนอื่น เขาจึงไม่ใช่กระบี่มือหนึ่งแห่งใต้หล้าอีกต่อไป’
โอวฉูกล่าว
‘แพ้แล้วก็ต้องตายหรือ’
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
‘แน่นอน ถึงคนไม่ตายหัวใจก็มอดม้วย หัวใจมอดม้วยแล้วคนก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ ไม่นานเขาก็ตาย’
โอวฉูกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อยังเป็นเด็ก
แต่นิทานกับคำพูดของโอวฉูกลับไม่สมควรเล่าให้เด็กฟังอย่างแท้จริง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเล่าให้โอวเสี่ยวเอ๋อฟัง
‘แต่ถ้าคนไม่ตายก็มีชีวิตใหม่ได้’
โอวฉูลังเลครู่หนึ่งและกล่าว
‘คนตายแล้วยังฟื้นคืนชีพได้หรือไม่’
โอวเสี่ยวเอ๋อกลัวเล็กน้อย เพราะนี่ทำให้นางนึกถึงผี
‘ไม่ได้หรอก คนตายแล้วก็คือตายแล้ว ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า ชีวิตใหม่ที่ข้าพูดหมายถึงตรงนี้’
โอวฉูชี้หน้าอกของตัวเอง
‘ตราบใดที่มันยังเต้น เราก็อาจมีแรงใจขึ้นมาได้อีกครั้ง’
โอวฉูกล่าว
‘แบบไหนถึงเรียกว่ามีแรงใจอีกครั้ง’
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
‘พบเส้นทางใหม่ และไปเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีกครั้ง’
โอวฉูยิ้มกล่าว
‘เป็นกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้ ก็เลยอยากเป็นนักหลอมกระบี่มือหนึ่งในใต้หล้าหรือ’
โอวเสี่ยวเอ๋อถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่าเทียนรุ่ยในนิทานนั้นเหมือนโอวฉูที่อยู่ตรงหน้าอย่างยิ่ง
เหมือนมากเหลือเกิน
โอวฉูยิ้มกล่าว
‘นักหลอมกระบี่มือหนึ่งแห่งใต้หล้าไม่เลวก็จริง แต่ในโลกยังมีทางเลือกอีกมาก ส่วนเทียนรุ่ยเลือกอะไรข้าก็ไม่รู้ เขาอาจตายอย่างถึงที่สุด หัวใจมอดม้วยแล้ว คนก็ตายด้วย’
คืนนั้นโอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้นอน
เดิมทีเด็กน้อยควรหลับตั้งแต่หัวถึงหมอนและฝันแค่ไม่กี่อย่าง
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับนอนไม่หลับ
นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
พอหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องที่โอวฉูเล่าให้นางฟังตอนกลางวัน
นางอยากรู้จริงๆ ว่าสุดท้ายเทียนรุ่ยเป็นอย่างไร แต่ในจิตใต้สำนึกนางยังรู้สึกว่าเทียนรุ่ยก็คือโอวฉู
………………………………………
[1] ฉู แปลตรงตัวหมายถึงพ่อครัว