ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 129 ไต่เต้าและพังทลาย-2
บทที่ 129 ไต่เต้าและพังทลาย-2
โอวหย่าหมิงออกกระบี่แล้ว
“ผู้อาวุโสโอว เรามายุติบุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับตระกูลโอวข้าเถิด ตอนนี้อย่าสร้างปัญหาให้หอทรงปัญญาและท่านประมุขหอตี๋อีกเลย”
โอวหย่าหมิงกล่าว
ผู้ใดผูกปมไว้ก็ต้องแก้เอง โอวหย่าหมิงลั่นวาจา โอวฉูพลันชักกระบี่กลับ
แท้จริงแล้วในใจของเขายังคงต้องการเพียงพิสูจน์ให้ตระกูลโอวได้เห็น
แม้ว่าจะเพิ่มอีกสองสามคนก็ไม่เป็นไร แต่ความคิดพื้นฐานที่สุดไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้เห็นว่าโอวหย่าหมิงกล่าวเช่นนี้แล้ว เขาก็ไร้ข้ออ้างลงมือต่ออีก
กระบี่นี้ โอวหย่าหมิงใช้เคล็ดกระบี่ตระกูลโอวประกอบด้วยความเมตตา โอบอ้อม เที่ยงตรง นิ่ง สงบ สันติสุข ซื่อสัตย์
โอวเสี่ยวเอ๋อเป็น ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว ส่วนโอวหย่าหมิงเป็น ‘บุตรแห่งกระบี่’ คนปัจจุบัน
สิ่งใดคือ ‘แก่นกระบี่’ สิ่งใดคือ ‘บุตรแห่งกระบี่’
ครั้นรวมกันแล้วหมายถึงการหลอมกระบี่ใช้กระบี่ด้วยใจที่บริสุทธิ์
ชีวิตมนุษย์ในโลก เรื่องที่ส่งเสริมกันและกันมักจะพัวพันจนกระทั่งวายชีวี
เกียรติยศและความจำใจ ความรุ่งโรจน์และความผิดหวัง การได้รับและการสูญเสีย มหัศจรรย์และธรรมดา งดงามและขมฝาด
ล้วนเป็นสิ่งเสริมกันและกัน
เคล็ดกระบี่ตระกูลโอว สิ่งแรกที่ต้องฝึกฝนหาใช่กระบี่ แต่เป็นหัวใจ
ฝึกจิตใจจนบรรลุแล้ว กระบี่ย่อมบรรลุไปโดยปริยาย
จิตใจเมตตา กระบี่ย่อมเมตตา
เดิมกระบี่ก็เป็นอาวุธคู่กายบุรุษ
แต่ไหนแต่ไรหาได้บอบบางเสแสร้งและเร้นลับซับซ้อนไม่
เห็นผู้ใดข่มเหงคนดี ย่อมชักกระบี่ออกแน่นอน
แต่ก็ไม่เสียใจเพราะความชอบธรรมนำหน้า
จิตใจโอบอ้อม กระบี่ย่อมอารี
ใบหน้าอิ่มเอิบความสุข แย้มยิ้มรื่นรมย์ รับได้หรือปล่อยวางได้ตลอดเวลาเท่านั้นจึงจะถือว่าใจกว้าง
จำต้องรู้ว่าพฤกษาไม่สูงไปกว่าขุนเขา ขุนเขาไม่กว้างใหญ่ไปกว่ามหาสมุทร แต่พฤกษา ขุนเขา มหาสมุทรล้วนอยู่ในหัวใจเดียวกันได้
อย่าโลภกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเล็กน้อย อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับกำไรเล็กน้อยจนเกินเหตุ
โอวหย่าหมิงจะผูกแค้นสามพี่น้องนั่นแน่นอน เพราะหัวใจของเขายังไม่ ‘โอบอ้อม’ พอ กระบี่ของเขาย่อมไม่ ‘อารี’ พอเช่นกัน
บัดนี้ ให้อภัยเป็นพอ แต่แค้นเก่ายังไม่ชำระ แค้นใหม่ก็บังเกิดขึ้น
แต่ในเมื่อกระบี่นี้ที่เขาใช้เป็นเคล็ดกระบี่ ‘โอบอ้อม’ เช่นนั้นเขาจึงต้องแอบตัดสินใจเงียบๆ ในใจ
ใจเที่ยงตรง กระบี่ย่อมเที่ยงตรง
จิตใจเฉกเช่นเดียวกับกระบี่ ล้วนไม่อาจมีความคิดเห็นแก่ตัว
ความไร้เดียงสาซื่อตรงภายนอกย่อมน่าพึงใจแน่นอน
แต่ไม่อาจซ่อนความเสี่ยงที่เข้าตาจนและหลอกล่อบีบบังคับเบื้องหลังไว้ได้มิด
มีเพียงเมตตากรุณาอย่างจริงใจ สุขุมรอบคอบมีประสบการณ์ เป็นกลางไม่เอนเอียง จึงจะออกทุกกระบี่อย่างมั่นคงยิ่ง เมื่อนั้นยามชักกระบี่ทุกครั้งจะไม่รู้สึกเป็นภาระแม้เพียงนิด
ใจนิ่ง กระบี่ย่อมนิ่ง
แย้มยิ้มอารมณ์นิ่งชมสายลมมวลเมฆอย่างสบายใจ อยู่เหนือสรรพสิ่งเหนือธรรมชาติ
เสียงพลังกระบี่ราบเรียบ ไม่โหมซัดสาด กล้าหาญไม่หวั่นเกรงเหมือนแต่ก่อน
ทว่านิ่งดั่งหนองน้ำสารทฤดู
ความนิ่งนี้ไม่ใช่ความสมบูรณ์
สระน้ำอาจมีคลื่นกระเพื่อมเป็นครั้งคราวเพราะลม
แต่ไม่ว่าจะทุ่มเทลงสู่สระน้ำแห่งนี้มากเพียงใด มันล้วนย่อยสลายดูดซึมโดยไม่ทิ้งร่องรอย
ก็เหมือนกับกระบี่ของข้าอยู่ที่นี่
ไม่ว่าจะกว้างใหญ่มีพลังเพียงไหน เพียงทำให้ผิวน้ำยับย่นเล็กน้อยเท่านั้น แต่พลังกระบี่ภายใน ยังคงเตรียมพร้อมฟาดฟัน
เจ้ามองไม่เห็น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เจ้ามองเห็น
เมื่อใดที่เจ้ามองเห็นจะพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางสระน้ำลึกแล้ว
ถูกพลังกระบี่สุญญากาศทำลายแหลกแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ ดำดิ่งไปตลอดกาล
ใจสงบ กระบี่ย่อมสงบ
เมื่อเอ่ยเคล็ดกระบี่คำนี้ ตัวกระบี่จะแฝงอารมณ์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง
ปฏิบัติต่อทุกสิ่งด้วยท่าทีที่หวงแหนและทะนุถนอม
กระบี่ในยามนี้ไม่ใช่อาวุธใช้สังหารคนอีกต่อไป แต่เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องบางสิ่งบางอย่าง
คู่เรียงเคียงหมอนหรือวัตถุที่ครอบครอง
ปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนทะนุถนอม ให้คุณค่าโดยไม่เปลืองแรง กระตือรือร้นอยู่เสมอ
ทุกกระบี่ล้วนจงรักภักดีเพียงนี้ ไม่ยินดียินร้ายแสวงหาลาภยศเพียงนี้
จิตใจสันติสุข กระบี่ย่อมสันติสุข
กระบี่ออกกระบี่หวน จับกระบี่คลายกระบี่ ต่างเพียงต้องการให้ใจตนสันติสุข
นี่จึงจะเป็นกระบี่ที่ไร้วัตถุภายนอกส่งผลกระทบต่อผู้ใช้กระบี่หรือกระบี่ที่ผู้นั้นใช้
เนื่องจากผู้ใช้กระบี่ก้าวข้ามความรุ่งเรืองและรู้จักพึงใจสิ่งที่ตนมี
แม้ไร้กระบี่ในมือ ก็เพียงพอจะรับมือการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลกหล้า
มันไม่สูงส่ง ทั้งยังเห็นแก่ตัวยิ่ง
แต่หากต่างคนต่างดูแลสิ่งที่ตนเองได้รับจริงๆ เช่นนั้นโลกทั้งใบมีหรือจะไม่สงบสุข
ใจซื่อสัตย์ กระบี่ย่อมซื่อสัตย์
นี่เป็นวิธีหวนคืนสู่แก่นแท้ที่สุดหลังชะล้างสิ้นสิ่งสำอาง
มนุษย์ไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยอิสระ
ตระกูลโอวเจริญรุ่งเรืองมานับพันปีได้ก็เพียงเพราะอาศัยคำว่า ‘ซื่อตรง’
นี่เป็นความเชื่อที่มั่นคงและศีลธรรมอันสูงส่งอย่างที่ผู้คนคาดหวัง
ไม่ว่าจะเป็นการออกกระบี่หรือหลอมกระบี่เฉกเช่นเดียวกัน
รักษาความซื่อสัตย์ทั้งทุกแง่ทุกด้านทั้งตัดสลับแนวตั้งแนวนอน
แม้ว่าตระกูลโอวจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในตอนท้ายสุด ทว่าอีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจปล่อยให้พวกเขาเอารัดเอาเปรียบ
ความซื่อสัตย์ไม่ใช่การเห็นแก่ส่วนรวม เสียสละส่วนตน แต่เป็นความต้องการแท้จริงและสำคัญที่สุด
ผู้นำตระกูลโอวทุกยุคทุกสมัยต่างพยายามดิ้นรนให้สิ่งนี้เป็นเป้าหมายสูงสูด แต่ไม่มีผู้ใดเชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่แห่ง ‘ความซื่อสัตย์’ ได้อย่างแท้จริง
จิตใจพวกเขาไม่ซื่อสัตย์พอ
ฉะนั้นการออกกระบี่ หลอมกระบี่ย่อมไม่ซื่อสัตย์พอ
โอวหย่าหมิงเพิ่งก้าวข้าม ‘ความนิ่ง’ และกำลังพยายามมุ่งสู่ ‘ความสงบ’
ไม่ว่าสุดท้ายจะไปถึงระดับ ‘ความซื่อสัตย์’ หรือไม่ ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ
…………………………
“ท่านประมุขหอตี๋!”
โอวหย่าหมิงค้อมตัวคำนับพลางกล่าว
แม้ว่าตระกูลโอวจะเป็นตระกูลใหญ่มั่งคั่ง แต่เมื่อเทียบกับหอทรงปัญญายังตามหลังอยู่มากโข
แต่เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องเคารพและสุภาพมากนัก เพียงแต่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับลู่หมิงหมิงมาโดยตลอด อีกทั้งตี๋เหว่ยไท่ยังเป็นอาจารย์ของลู่หมิงหมิง จึงระดับต่ำกว่าในแง่ของความอาวุโส
“ผู้นำตระกูลโอวไม่ต้องมากพิธี”
ตี๋เหว่ยไท่หันไปด้านข้างเล็กน้อย กล่าวให้โอวหย่าหมิงทำตัวตามสบาย
ขณะเดียวกัน สายตาของเขาเบือนไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
สายตานี้แตกต่างจากความเป็นมิตรน่าคบหาตามปกติของตี๋เหว่ยไท่ราวฟ้ากับดิน
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบสนองต่อสายตาจ้องมองนี้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าครึ่งซีกของตนเย็นวาบราวกับหนาวจัดมานานหลายวัน
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดท่าทีของตี๋เหว่ยไท่ที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเพียงนี้
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเป็นระลอกๆ เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งหันกลับมากล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพนอบน้อมพลันถูกแทนที่ด้วยผู้เฒ่าแสนจริงจังดังก่อนผู้นั้นอีกครั้ง
“นายกองหลิวก็อยู่ด้วยหรือนี่”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ขอรับ ข้าดื่มสุรากับสหายที่นี่ บังเอิญพบกับท่านโอวหย่าหมิงผู้นำตระกูลโอวเข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสหายเก่าทังจงซง ศิษย์รักของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่ถาม
“นี่…ยังไม่ถึงขั้นกล่าวว่าสหายเก่า เพียงแต่เป็นคนคุ้นเคยรู้จักจริง”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าในใจของตี๋เหว่ยไท่มีแผนการใด จึงตอบอย่างมีชั้นเชิง
จริงๆ แล้วในใจหลิวรุ่ยอิ่งคิดอยู่เสมอว่าทังจงซงไม่เพียงคุ้นเคยสนิทสนมกับตนเท่านั้น กระทั่งยังมีบุญคุณชีวิตอีกด้วย
อย่างไรเสียตอนที่ตนถูกวิชาคลื่นเสียงครอบงำในโรงเรืองขวัญหัวเมืองรัฐติง เป็นเขาที่พาตนไปตามหาตาเฒ่าเยี่ย ทั้งยังใช้จี้หยกตกทอดของตระกูลจ่ายค่ารักษาอย่างไม่ลังเล
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเข้าใจว่าที่ทังจงซงทำถึงเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนั้นตนได้รับการช่วยเหลือจากทังจงซงจริง ในส่วนนี้ไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ
“หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์รักของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องผู้นี้จะต้องรบกวนนายกองหลิวแล้วยิ่งนัก!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
เหตุใดทังจงซงมาที่หอทรงปัญญาแล้วจึงต้องรบกวนตน
ยิ่งกว่านั้นข้างกายเขายังมีบัณฑิตจางและตนก็ไม่ใช่คนของหอทรงปัญญา ถึงอย่างไรก็ไม่ถึงคราวให้เขาต้องออกหน้าจึงจะถูก
“พวกเราล้วนเป็นตาเฒ่ากลุ่มหนึ่ง ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับคนหนุ่มสาว ยิ่งกว่านั้นทังจงซงยังอยู่ในช่วงฮึกเหิมห้าวหาญ ต้องอยู่กับเหล่าตาเฒ่าอย่างเราบ่อยครั้ง จะติดนิสัยเฉื่อยชาอย่างเลี่ยงไม่ได้เอา”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังพลันรู้ว่านี่เป็นแผนชักนำภัยพิบัติสู่ฝั่งบูรพา[1]ของตี๋เหว่ยไท่
ทังจงซงเป็นตัวแทนฝ่ายอำนาจของติ้งซีอ๋อง
ไม่ว่าจะเป็นความโชคดีหรือหายนะล้วนเกี่ยวพันกับหอทรงปัญญาเขาไม่น้อย
แต่ตราบใดที่ลากหลิวรุ่ยอิ่งลงน้ำไปด้วย เช่นนั้นจะเป็นการแข่งขันสามฝ่าย และมักจะมีหนึ่งฝ่ายที่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน
ดูเหมือนว่าตี๋เหว่ยไท่มุ่งมั่นทำให้ติ้งซีอ๋องและฉิงจงอ๋องห้ากษัตริย์สองฝ่ายแข่งขันแย่งชิงกัน
แต่ตี๋เหว่ยไท่คิดว่าทังจงซงเป็นเพียงเด็กที่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องให้ท้ายตามใจ
คิดว่าเขาโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้มารยาท คล้ายกับนกคีรีบูนที่เขาจัดการควบคุมได้
ครั้นอยู่วังติ้งซีอ๋องย่อมถูกกักขังด้วยอาภรณ์นุ่งห่มชั้นดีอาหารรสเลิศ
ครั้นมาถึงหอทรงปัญญาของเขา อาภรณ์นุ่งห่มชั้นดีอาหารรสเลิศก็ไม่ใช่ปัญหา เป็นเพียงการเปลี่ยนกรงเท่านั้น
กรงของหอทรงปัญญาไม่ด้อยไปกว่ากรงติ้งซีอ๋องเสมอไป แต่สิ่งที่ขังในกรงนี้คือสิ่งใดนั้น ตี๋เหว่ยไท่มีตาหามีแววไม่!
ทังจงซงเป็นอินทรีกางปีกทะยานบนนภามานานก่อนที่ฮั่ววั่งจะยอมรับเป็นศิษย์เสียอีก
มีหรืออินทรีจะยอมให้ตนอยู่ในกรง
โดยธรรมชาติแล้วปรารถนาอิสระขั้นสูงสุดจึงจะถูก
เพียงแต่ทังจงซงเจ้าอินทรีตัวนี้ฉลาดเกินไป
มีทั้งความร้ายกาจของอินทรีและความเชื่องของนกคีรีบูน
เมื่อกระทำสิ่งใดไม่ได้ ย่อมไม่ฝืนกระทำ
ชีวิตที่มีคนป้อนอาหารให้ เช่นนั้นจงใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
แต่หากให้เขาคว้าโอกาสเล็กน้อยนี้ไว้ กรงเล็บและจะงอยปากที่แหลมคมของนกอินทรีนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับประดับ
เพียงแต่ตี๋เหว่ยไท่ไม่รู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตเหล่านี้ เขาก็ไม่มีแก่ใจจะไปตรวจสอบเช่นกัน
สิ่งที่เขาใส่ใจมีเพียงตำแหน่งลูกศิษย์ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเหนือกะลาหัวทังจงซงเท่านั้น หาได้เป็นตัวทังจงซงไม่
เช่นเดียวกับที่เขาสุภาพต่อหลิวรุ่ยอิ่ง และมุ่งไปที่กรมสอบสวนกลางและหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องเบื้องหลังของเขา
ตี๋เหว่ยไท่ไม่ใช่คนงมงาย
แต่เขาได้ค้นพบว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาทั้งหมดในหอทรงปัญญา ดูเหมือนจะหมุนรอบตัวหลิวรุ่ยอิ่ง
นับตั้งแต่เขามาถึงหอทรงปัญญา
ลู่หมิงหมิงกลับมาแล้ว เหลี่ยงเฟินเสียชีวิตแล้ว
หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องปรากฏตัวอย่างลึกลับ ลูกศิษย์ของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องก็มาเพิ่มอีก
ตอนนี้แม้แต่โอวหย่าหมิงและศัตรูของเขารวมไปถึงศัตรูของตระกูลโอวก็มาที่นี่เช่นกัน!
ต่อให้เป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องงมงาย ก็ยังให้ความสำคัญกับทฤษฎีเหตุและผลไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นตอนนี้ความสนใจของตี๋เหว่ยไท่จึงตกไปอยู่ที่หลิวรุ่ยอิ่งทั้งหมด
“สรรพสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติก็ดีแล้ว ในเมื่อวันนี้ทุกคนอยู่ที่นี่ ก็ให้เกียรติหน้าบางๆ ของข้าผู้เฒ่าหน่อย ไม่ว่าจะศัตรูใหม่หรือศัตรูเก่า ปล่อยมันไว้อีกด้านชั่วคราว มาถึงหอทรงปัญญาแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกพูดคุยระบายความในใจจึงจะถูก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ข้าส่งคนไปเชิญทังจงซงและอาจารย์บุ๋นของเขาแล้ว คงจะมาถึงในไม่ช้า”
ประโยคคำพูดนี้ของตี๋เหว่ยไท่กล่าวต่อหลิวรุ่ยอิ่งเป็นพิเศษ
แต่คำว่าพูดคุยระบายความในใจนี้ ในรอบเกินหนึ่งชั่วยามเขาได้ยินมันเป็นครั้งที่สองแล้ว
…………………………………………………………………
[1] แผนชักนำภัยพิบัติสู่ฝั่งบูรพา ใช้ลูกไม้บางอย่างทำให้ตนไม่ได้รับความเสียหายโดยให้ผู้อื่นรับเคราะห์แทน