ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 133 ไต่เต้าและพังทลาย-6
บทที่ 133 ไต่เต้าและพังทลาย-6
ท่ามกลางฝูงชน มีเพียงโอวหย่าหมิงและลู่หมิงหมิงสองคนที่พูดคุยหัวเราะ โอวหย่าหมิงถึงกับกล่าวว่าหากใครดื่มมากไปจะต้องกระโดดลงไปในสระแล้วแช่ตัวในนั้นครึ่งชั่วยาม
แต่ลู่หมิงหมิงรู้ดีว่าตนและเขาดื่มได้ไม่ต่างกัน แม้จะรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
“หากเสมอกันควรทำอย่างไรเล่า”
ลู่หมิงหมิงถาม
“หากเสมอ เราก็โดดลงไปด้วยกัน”
โอวหย่าหมิงยักไหล่อย่างไม่แยแส
“กระโดดลงไปกันหมด จะตัดสินความเหนือกว่าด้อยกว่าได้อย่างไร”
ลู่หมิงหมิงถาม
“เหนือหรือด้อยกว่าก็ตัดสินแล้วไม่ใช่หรือ หากโดดลงไปพร้อมกันก็เสมอกันอย่างไรเล่า!”
โอวหย่าหมิงกล่าวอย่างสงสัย
เขาไม่รู้ว่าการแช่น้ำในสระจะแยกความสูงต่ำได้อย่างไร หรือว่าขึ้นอยู่กับผู้ใดแช่น้ำได้นานกว่าหรือ
หากแข่งขันเช่นนี้จริงๆ เมื่อพิจารณาระดับการฝึกตนของเขากับลู่หมิงหมิง เกรงว่าตั้งแต่เทศกาลเชงเม้งไปจนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะ
“ง่ายมาก แข่งว่าผู้ใดได้รับความนิยมยิ่งกว่า”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
“แช่อยู่ในสระกันหมด แล้วจะแข่งว่าผู้ใดได้รับความนิยมยิ่งกว่าอย่างไร”
โอวหย่าหมิงกล่าวพลางจัดแจงชายเสื้อให้ตรง ราวกับต้องการให้ตนหล่อเหลาและเรียบร้อยขึ้นอีกหลายส่วน
“ให้พวกมันเลือกน่ะสิ”
ลู่หมิงหมิงชี้ปลาในสระแล้วกล่าว
“ปลาหรือ”
โอวหย่าหมิงประหลาดใจ
“ถูกต้อง ปลา! เช่นนี้ไม่มีทางขี้โกง ยุติธรรมยิ่งนัก! เมื่อถึงเวลาเราทั้งคู่ผู้ใดมีปลาวนรอบตัวมากกว่า ผู้นั้นชนะ!”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
โอวหย่าหมิงสนใจขึ้นมาทันที
ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งที่เขาและโอวหย่าหมิงดวลพนัน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเรื่องพิเศษใดๆ เกิดขึ้นเลย
จึงตกปากรับคำทันที แต่กลับมองไม่เห็นว่าลู่หมิงหมิงหันกลับไปมองปลาแล้วแอบแย้มยิ้ม
…
ครั้นเดินไปถึงเชิงเขาอีกลูกหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งจึงพบว่าสิ่งที่ตนรู้สึกขาดหายไปคือสิ่งใด
ครึ่งล่างระหว่างภูเขาถูกขุดเจาะโล่ง ทางเดินสามสายแบ่งแยกคดเคี้ยวทางซ้าย กลางและขวาไปข้างหน้าตามลำดับ
สิ่งที่เขารู้สึกว่าขาดหายไปก็คือ ‘ทางเดิน’ นี้นี่เอง
แม้ว่าทิวทัศน์ในสวนก่อนหน้าจะงดงามยิ่งนัก แต่ก็อัดแน่นไปหน่อย
หากวางดอกไม้ใบหญ้าละลานตาเช่นนี้ต่อไป ทักษะรังสรรค์สวนของตี๋เหว่ยไท่จะถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ เท่านั้น
อย่างไรเสีย ตราบใดที่กำลังทรัพย์สนับสนุนเพียงพอ มีเพียงการกองรวมวัตถุดีๆ ทั้งหมดไว้ด้วยกัน ผู้ใดจะทำไม่ได้บ้าง
เด็กๆ เล่นขายของยังรู้วิธีเลือกใบไม้สวยงามสำหรับมื้ออาหาร เพียงแต่ใบไม้สวยงามมากมายสูงเกินกว่าพวกเขาจะเอื้อมถึง หากว่าเอื้อมถึง ย่อมต้องเด็ดกิ่งก้านจนเกลี้ยงเป็นแน่
แต่เมื่อถึงเชิงเขาหินนี้ ทางเดินสามสายเผยออกมา เขตแดนพลันต่างออกไปทันใด
พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างยิ่งในทันที
แม้ว่าทางเดินนี้ในสวน ดูเหมือนจะทำลายความกลมกลืนของธรรมชาติไปบ้าง แต่หากไร้สะพานทางเดินเหล่านี้ตัดข้ามแนวดิ่งและแนวราบก็จะมีช่องว่าง สวนแห่งนี้ก็ไม่ต่างกับสถานที่เลี้ยงแกะและวัวควายของจิ่วซานปั้น
วัชพืชอยากขึ้นที่ใดก็ขึ้นได้ที่นั่น ดอกไม้ป่าอยากบานที่ใดก็บานได้ที่นั่น
เช่นนั้นเหตุใดต้องตกแต่งสวนให้ลำบากยากเย็นด้วยเล่า สู้หาผืนป่าและสร้างโรงเก็บของจะดีกว่า
ความหมายของสวนอยู่ที่การสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของเจ้าของ
ตี๋เหว่ยไท่ปล่อยให้ที่ใดมีดอก ที่นั่นย่อมมีดอกได้ ปล่อยให้ที่ใดมีต้นไม้ ที่นั่นย่อมมีร่มเงาได้
เช่นนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อการแสวงหาความงดงามทางจิตใจของตน ยังตอบสนองต่อความปรารถนาควบคุมโลกนี้อย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าเป็นผู้ใด ล้วนหลงใหลในทางที่ผิดกับอำนาจในวาจานี้
เพียงแต่ว่ายิ่งผู้มีตำแหน่งสูงเท่าใด ก็ยิ่งจิตใจกว้างเสมือนหุบเขาเท่านั้น เขารู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่เอ่ยกล่าว
ในกรมสอบสวนกลาง ตำแหน่งที่อารมณ์เสียรุนแรงมากที่สุดมักเป็นผู้เฝ้าประตูเหล่านั้น
พบเจอตอนเขาอารมณ์ดี เจ้าไม่มีสิ่งใดสำคัญต้องทำก็จะควบม้าชูแส้ โรมรุกบุกตะลุยให้เจ้า
หากพบเจอตอนเขาอารมณ์เสีย ต่อให้เจ้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน พวกเขาก็จะรั้งเจ้าไว้ซักถามสอบปากคำ
แต่ทุกคนล้วนทำสิ่งใดไม่ได้
เพราะตามระบบนั้น ผู้อื่นทำถูกแล้ว
อำนาจวาจากล่าวว่าผู้ใดผ่านประตูได้ และผ่านประตูอย่างไรล้วนอยู่ในกำมือผู้อื่น
ในเมื่อผู้อื่นต้องการใช้ เจ้าก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาใช้มันเท่านั้น
ตี๋เหว่ยไท่ย่อมไม่ใช้อำนาจวาจาของตนในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่จิตใจภายในของเขาจะแตกต่างจากผู้เฝ้าประตูเหล่านี้หรือไม่เล่า
ต่อให้สถานะต่างกัน รูปแบบและมุมมองพิจารณาปัญหาต่างกัน แต่ตี๋เหว่ยไท่ก็มีความปรารถนาพื้นฐานเหล่านี้มาโดยตลอด
ทว่าสวนแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่เขาสามารถใช้อำนาจวาจาและการกระทำได้ไม่ใช่หรือ
ตี๋เหว่ยไท่มอบคุณธรรมและความหมายแก่พืชและต้นไม้ทุกต้นในสวน โยกย้ายดอกไม้และต้นไม้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการโยกย้ายแม่ทัพทหารอย่างต่อเนื่อง ปล่อยให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ
………………………..
“วิชารังสรรค์สวนของท่านประมุขหอตี๋ ช่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
หลังจากกำหนดการดวลพนันกับลู่หมิงหมิงเรียบร้อย โอวหย่าหมิงหันมากล่าวกับตี๋เหว่ยไท่
เขาเป็นผู้นำตระกูลโอว เป็น ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบัน จะเอาแต่สนใจเล่นสนุกไม่ได้ สถานการณ์ใดควรกล่าวพูดจะขาดไปไม่ได้
“ความจริงเป็นเท็จ ความเท็จเป็นจริง ไม่นับว่าเป็นความสามารถแท้จริงอะไร”
ตี๋เหว่ยไท่โบกมือและกล่าว
“ว่าแต่เหตุใดไม่สร้างศาลาตกแต่งในสวนของท่านเล่า”
โอวหย่าหมิงกล่าวถาม
ประโยคนี้ทำให้ลู่หมิงหมิงตื่นเต้น
โอวหย่าหมิงจะทำการสิ่งใด
เหตุใดในคำกล่าวแฝงไปด้วยวาจาเชือดเฉือนกะทันหันเช่นนี้
มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ว่าเมื่อมีการสถาปนาราชวงศ์หนึ่ง ตั้งชื่อและปีของประเทศ จัดปฏิทินใหม่ ส่งเสริมการเรียนการเกษตรและส่งเสริมการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องหลอมกระถางสัมฤทธิ์แปดตัว อนุสาวรีย์สี่ต้น วางไว้ทั่วทั้งสี่ทิศเพื่อแสดงพระบารมี สร้างเสถียรภาพและการรวมชาติให้มั่นคง
แต่เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์นี้ บารมีจักรพรรดิก็สิ้นไป ภูเขาและแม่น้ำก็พังทลาย สถานการณ์ไม่สู้ดี
วีรบุรุษทั่วทุกที่ชูธงขึ้นก่อการปฏิวัติ ถูกขนานนามว่ากบฏสามสิบหกเส้น ควันเจ็ดสิบสองสาย เห็นได้ว่ากำลังมาอย่างดุเดือด
กลุ่มที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในนั้นคือผู้มีอำนาจและกุมบังเหียนในเมืองจักรวรรดิกล่าวถามเสียงดังลั่น ‘ได้ยินว่าฝ่าบาทมีอนุสาวรีย์สี่ตัวกระถางสัมฤทธิ์แปดต้น ขอถามว่าอนุสาวรีย์สูงเพียงใด ขาตั้งหนักเพียงไหน’
จักรพรรดิโกรธแต่ไม่เอ่ยคำใด
นับแต่นั้นมา ตำนานอนุสาวรีย์และกระถางสัมฤทธิ์กลายเป็นคำต้องห้ามตลอดยุคสมัย
ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ลักลอบแกะสลักอนุสาวรีย์หรือหลอมกระถางสัมฤทธิ์ล้วนถูกประหารทั้งครอบครัว อาชญากรรมร้ายแรงลามไปถึงเก้าเผ่า
ปริปากเอ่ยถาม ก็หมายความว่ามีใจคิดกบฏ
หากลักลอบหลอมหรือแกะสลัก จะไม่เหมือนกับการสร้างโลกใหม่หรอกหรือ
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์นี้ อนุสาวรีย์และกระถางสัมฤทธิ์ก็ไม่มีอีก และถูกแทนที่ด้วยแท่นบรรพกาล
แท่นบรรพกาลนี้แสดงถึงผู้ปกครองราชวงศ์สุดท้าย…สถานะ อำนาจ และบารมีอันสูงสุดของผู้เฒ่ากระบี่ดารา
ทว่าแท่นบรรพกาลอันเกรียงไกรล่มสลายไปพร้อมกับราชวงศ์ รวมถึงผู้เฒ่ากระบี่ดารา ผู้ปกครองก็ล่มสลายหายไปตามกาลเวลา ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงมานานหลายปีแล้ว
แม้ว่าห้ากษัตริย์ไม่ได้ออกคำสั่งห้ามก่อสร้างแท่นนี้ แต่ผู้ใดเล่าจะแตะต้องความโชคร้ายนี้
ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนใหญ่ล้วนซ่อนอยู่ทั้งสิ้น
ในทางกลับกันมีแม่ทัพเกรียงไกร อาศัยความมั่งคั่ง มีผลงานทางการทหารโดดเด่นของตน จึงสร้างแท่นเล็กๆ ในสวนเรือนของเขา
เล็กเสียจนสูงไม่ถึงขั้นบันไดหน้าเรือนของพวกเขา
ทว่าสร้างแท่นนี้เสร็จได้ไม่กี่เดือน แม่ทัพถูกประหารชีวิตข้อหากบฏ เศรษฐีฆ่าตัวตายเมื่อกิจการล้มละลาย ล้วนแล้วแต่ไม่มีผู้ใดมีจุดจบสวยงาม
ว่ากันว่าเศรษฐีผูกคอตายบนแท่นที่สร้างขึ้นเอง
แม้ว่าข่าวลือเหล่านี้จะไม่มีมูลความจริง แต่ไม่มีลมก็ไม่เกิดคลื่น เรื่องราวดังกล่าวจะถูกบอกเล่าได้อย่างไรหากไม่อาศัยต้นเรื่อง
แม้ว่าจะเลี่ยงได้ยากที่บางคนจะกล่าวเกินจริงในสิ่งที่คนว่าอย่างไรก็ว่าตาม ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าแนวคิดของวัตถุทั้งสามนี้ได้แก่ อนุสาวรีย์ กระถางสัมฤทธิ์และแท่นติดอยู่ในใจคนทั่วหล้า
ตอนนี้โอวหย่ามิงถามคำถามเช่นนี้จริงๆ ลู่หมิงหมิงได้ยินจึงอดตื่นเต้นไม่ได้จนถึงขั้นเหงื่อชุ่มหลัง
“ผู้นำตระกูลโอวคิดว่าข้าควรสร้างแท่นไว้ในสวนนี้หรือ”
ตี๋เหว่ยไท่ยืนนิ่งและย้อนถามช้าๆ
“แน่นอน ด้วยสถานะบรมครูทรงปัญญาของท่านประมุขตี๋และหอทรงปัญญา จะขาดแท่นสูงไปได้อย่างไร ก่อนข้าน้อยจะมาหอของท่านครั้งนี้ ได้ไปมอบกระบี่ให้สหายเก่าที่หอทรงภูมิ ไม่ได้พบเจอมานานหลายปี เดิมทีข้าทั้งสองหมายจะดื่มสุราพูดคุยกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บกระบี่และรีบร้อนจากไป”
โอวหย่าหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญาอย่างสุดซึ้ง
“โอ้ เหตุใดกัน ต่อให้ไม่ไว้หน้าผู้นำตระกูลโอวเช่นเจ้า ก็ยังต้องไว้หน้าสหายเก่าของตนเองจึงจะถูก”
ตี๋เหว่ยไท่ยังคงสงบนิ่ง
เขาเพียงแต่คอยผสมโรงทีละนิ้วๆ เพื่อให้โอวหย่าหมิงกล่าวความหมายจริงๆ ในใจออกมา
“เขาบอกว่าขณะนี้หอทรงภูมิอยู่ระหว่างทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่ เขาในฐานะแรงงาน ไม่อาจออกไปนานเกินควร หากมีสิ่งใดผิดพลาด เบื้องบนตำหนิลงมา เขารับผิดชอบไม่ไหว”
โอวหย่าหมิงกล่าว
คำพูดของเขาหยุดฉับพลันในทุกช่วงเวลาที่สำคัญ
เอ่ยถามว่าเหตุใดไม่มีแท่นอย่างเห็นได้ชัด
ต่อมาก็บอกว่าตนเองไปสถานที่ยิ่งใหญ่ด้านวรรณกรรมอีกฝั่งเพื่อมอบกระบี่ให้สหายเก่าในหอทรงภูมิ
จากนั้นสหายเก่ารีบร้อน ไม่มีเวลาดื่มสุราพูดคุยจนนำไปสู่การก่อสร้างยิ่งใหญ่ของหอทรงปัญญา
ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
ทุกประโยคล้วนชักนำให้ตี๋เหว่ยไท่ถามต่อ ขอเพียงเขาเอ่ยถาม เช่นนั้นไม่ถือว่าตนเป็นผู้ปริปากเอ่ยก่อน
อย่างไรเสียการเปิดปากพูดจะถูกหรือผิด ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ถูกสงสัยว่ายุยงและสนับสนุนอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่คำตอบนั้นต่างกัน หนึ่งคำถามและหนึ่งคำตอบ
แม้ว่าเรื่องเล็กใหญ่เพียงใดหากแพร่กระจายไปถึงผู้อื่น กล่าวได้เพียงคนผู้นี้ทะเยอทะยานเกินไป ไม่รู้จักเกรงใจ และแม้แต่คำกล่าวที่เหลืออีกครึ่งก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ทำให้ผู้คนไร้ข้อโต้แย้ง
ทว่า ตี๋เหว่ยไท่ไหนเลยจะไม่รู้แผนการในใจโอวหย่าหมิง
ได้ยินคำว่าก่อสร้างใหญ่โต เขาย่อมรู้ว่าเกี่ยวข้องกับ ‘แท่น’ นี้แน่นอน
เพียงแต่ว่า สิ่งที่ออกมาจากปากของเขากลับเป็นประโยคสั้นๆ
“ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น เป็นเรื่องความภักดี! คิดว่าสหายผู้นี้ของผู้นำตระกูลโอวจะต้องเป็นเสาหลักของหอทรงภูมิเป็นแน่ ลองคิดดูว่าหากหอทรงปัญญาข้ามีคนที่มีความรับผิดชอบและทุ่มเทเพียงนี้ ไยต้องกังวลว่าโลกวรรณกรรมทางตะวันตกเฉียงเหนือจะไม่เจริญรุ่งเรืองเล่า”
ในถ้อยคำ ไม่เอ่ยถึงกับดักของโอวหย่าหมิงสักคำ แต่ปัดมันทิ้งในคราวเดียว แล้ววกกลับมาสรรเสริญหอทรงภูมิและความหวังการพัฒนาหอทรงปัญญาในอนาคต
“มีท่านประมุขหอตี๋ปกครอง เดิมก็ทำให้วรรณกรรมแห่งตะวันตกเฉียงเหนือเปล่งประกายแล้ว! ครั้นนึกถึงงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมที่เมืองหลวง ย่อมวางแผนไว้เป็นอย่างดีกระมัง”
โอวหย่าหมิงเห็นแผนของตนล้มเหลว จึงไม่รีบร้อน
หลังจากกล่าวชมเชย คำกล่าวใหม่ก็ถูกโยนออกไปในพริบตา
เขาคิดในใจว่าตี๋เหว่ยไท่ท่านสามารถหลบเลี่ยงเอาชนะลูกไม้ครั้งก่อนไปได้ เช่นนั้นข้าจะโยนบันไดให้ท่านอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจะได้เสริมเพิ่มกลับมาได้สะดวก ชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างก็สงบสุขอีกครั้ง
“ผู้นำตระกูลโอวกล่าวชมเกินไป สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้หอทรงปัญญาข้าลับกระบี่มาสิบปีแล้ว ย่อมแสดงอย่างดีที่สุด แต่ว่าเรื่องเเผนการอยู่ที่คน เรื่องสำเร็จอยู่ที่ฟ้า ท้ายที่สุดจะสามารถได้รับสิ่งใดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของสวรรค์”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เดาว่าผู้นำตระกูลโอวคงไม่พลาดงานใหญ่ครั้งนี้ใช่หรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถามต่อ
“ข้าน้อยจะเข้าร่วมพิธีตรงเวลาอย่างแน่นอน จำได้ว่าในงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมครั้งก่อน ข้าน้อยสถานะต่ำต้อยวาจาไม่หนัก ยังห่างไกลจากคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานใหญ่เช่นนี้ บัดนี้สามารถใช้ชื่อเสียงตระกูลโอวโอ้อวดและร่วมสนุกได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนนอกสาย ปกติล้วนทำงานหยาบๆ อย่างงานตีเหล็กเหงื่อโทรมกาย หากข้ามีพู่กันและหมึกครึ่งหนึ่ง คงจะแต่งกายชุดบัณฑิตและวาดลวดลายไปแล้ว”
โอวหย่าหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างสนทนาเฮฮา สวนแห่งนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นเรือนสูงต่ำเรียงเป็นแถวปรากฏขึ้นตรงหน้า