ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 135 ไต่เต้าและพังทลาย-8
บทที่ 135 ไต่เต้าและพังทลาย-8
ครั้งหนึ่งเคยมีบัณฑิตอุษาต่วนม่วงขั้นห้าคนหนึ่งถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีศักยภาพมากจนไปสู่ตะวันแพรทองขั้นแปดของหอทรงภูมิได้ แต่ในขณะที่เขาเก็บตัวร่ำเรียนอย่างหนักและเขียนบทความอย่างอุตสาหะ จู่ๆ มารดาของตนก็ล้มหัวฟาดกระแทกมุมโต๊ะและเสียชีวิตทันที
แต่เขากลับไม่ทราบสิ่งใดระหว่างเก็บตัวสันโดษ กระทั่งตอนที่เขียนบทความนี้เสร็จจึงพบว่าร่างมารดาเหม็นหึ่งอยู่ในลานบ้านทั้งยังมีหนอนยั้วเยี้ยปีนไต่…
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนผูกคอตายข้างร่างมารดาของตน
แต่แม้ว่าเขาจะฆ่าตัวตาย หอทรงภูมิก็ยังเขียนกระดาษหนึ่งแผ่น ถอดถอนตำแหน่งข้าราชการบุ๋นขั้นห้าของเขาที่เดิมทีสามารถเชิดชูเกียรติอย่างภาคภูมิใจต่อไปได้ แต่ฆ่าตัวตายได้อย่างไรนั้นไม่ว่า จนแล้วจนรอดก็กลับคืนสู่สถานะสามัญชน…
บัณฑิตที่ล้อมรอบยายเฒ่าเหล่านี้ย่อมรู้สึกว่าลูกเต้ายายเฒ่านี้น่ารังเกียจยิ่ง ไม่มีใครรอดพ้นจากวาจาอันเลวร้ายนี้
ดูเหมือนว่าผลักผู้อื่นล้มลงพื้น แล้วจะสามารถสะท้อนความสูงส่งของตนได้อย่างไรอย่างนั้น
ยายเฒ่าฟังเข้าหู มองเห็นในตา แต่ยังรักษาสีหน้าและน้ำเสียงเพียงกล่าวราบเรียบ
“เพราะราคาเท้าซ้ายและเท้าขวาต่างกัน”
“ต่างกันหรือ ไยจึงต่างกัน หรือเท้าคู่นี้สามารถแยกฐานะสูงต่ำได้หรือ”
มีคนถามขึ้น
“แน่นอนว่าแยกฐานะสูงต่ำได้!”
คำพูดเหล่านี้มาจากปากของทังจงซง
เขาเห็นเรื่องสนุกๆ เช่นนี้ย่อมต้องเดินหน้าร่วมสนุกเสียหน่อย
“เหตุใดพี่ชายท่านนี้จึงกล่าวเช่นนี้เล่า”
คนรอบข้างเห็นทังจงซง แม้จะไม่ได้สวมใส่ชุดข้าราชการบุ๋น แต่บุคลิกองอาจห้าวหาญ รูปลักษณ์ไม่ธรรมดา ตอนนี้ไม่กล้าดูถูกเกินไป จึงถามอย่างสุภาพ
“เจ้าใช้มือข้างใดจับตะเกียบถือพู่กันหรือ”
ทังจงซงถาม
“มือขวา”
คนผู้นั้นกล่าว
“นี่ก็ถูกแล้วอย่างไรเล่า บัณฑิตทำเพียงสองสิ่ง กินข้าวและเขียนอักษร ในเมื่อทั้งสองเรื่องนี้ล้วนใช้มือขวาทำ เช่นนั้นมือขวาก็สำคัญและสูงส่งกว่ามือซ้ายมากไม่ใช่หรือ”
ทังจงซงกล่าว
“ดูเหมือน…จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่ยายเฒ่าผู้นี้ขายน่ะ คือพื้นรองเท้า ที่กล่าวมาเป็นเท้าหาใช่มือไม่!”
คนผู้นี้กล่าวต่อ
“เช่นนั้นข้าถามเจ้าอีกหน่อย ยามที่เดินเจ้าก้าวขาข้างใดก่อนหรือ”
ทังจงซงถาม
คำตอบครั้งนี้ค่อนข้างหลากหลาย ถึงอย่างไรตอนที่เดินบางคนก็ก้าวขาขวาก่อน บางคนก็ก้าวขาซ้ายก่อน อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาย้อมมีลำดับก่อนหลัง…ไม่เช่นนั้นจะกระโดดไปข้างหน้าเหมือนนกกระจอกก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่
“หากเจ้าก้าวเท้าขวาขึ้นก่อน เท้าขวาย่อมแตะพื้นก่อน เมื่อก้าวแต่ละก้าว เจ้าไม่รู้ว่าหากเหยียบก้าวนี้ลงไปจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าด้านล่างจะเต็มไปด้วยตะปูเหล็ก เต็มไปด้วยน้ำเดือด เมื่อก้าวออกไปแล้ว หากฝืนถอยจะต้องโซเซไปข้างหลัง! เพราะธนูยิงออกไปแล้วไม่อาจย้อนกลับใช่หรือไม่”
ทังจงซงกล่าว
คำกล่าวท่อนนี้ดึงดูดความชื่นชมเล็กน้อยจากคนรอบข้างจริงๆ
“ดังนั้น การเดินก็เหมือนกับการยกตะเกียบ ต้องทำตามลำดับถูกหรือไม่”
ทังจงซงกล่าวถาม
“ใช่…ใช่ที่สุด! คำกล่าวนี้ของพี่ชายสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!”
คำชมจากคนรอบข้าง ทำให้ทังจงซงยิ่งดีใจจนตัวลอย!
ทว่าในใจเขา แต่ไหนแต่ไรก็ดูแคลนบัณฑิตที่ทั้งเห็นแก่ประโยชน์และหน้าซื่อใจคดเหล่านี้ ตอนนี้ในที่สุดก็สบโอกาสแล้ว จึงมุ่งมั่นล้อเลียนพวกเขาไปสักยก!
“ดังนั้นซ้ายขวาจึงมีความสูงต่ำ ขาทั้งสองแยกก่อนหลัง! ราคาต่างกันย่อมเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
ทังจงซงปรบมือพลางกล่าวถาม
“แต่ว่า…หากขายเครื่องเขียนห้องอักษรแพงหน่อย ย่อมเป็นเรื่องที่ควร อย่างไรเสียดังที่พี่ชายกล่าวมา มือขวาของคน ไม่ว่าจะบัณฑิตเขียนกลอนแต่งบทประพันธ์หรือผู้ฝึกยุทธ์ชักดาบยกกระบี่ล้วนขาดไม่ได้ แต่สองขาสองเท้านี้แม้ว่าจะเรียงลำดับก่อนหลัง ทว่าความคิดเรื่องความสูงส่งและความต่ำต้อยยังฝืนใจคล้อยตามเสียหน่อยกระมัง…”
มีคนถามทังจงซง
“เจ้ารู้จักจางซู่หรือไม่”
ทังจงซงถาม
“รู้จักแน่นอน ชื่อผู้อาวุโสแห่งปราชญ์ขั้นนี้ ดังก้องหู มีเหตุผลใดที่ไม่รู้จักเล่า!”
คนผู้นี้กล่าว
“งั้นก็ถูกแล้ว คิดว่าทฤษฎี ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ที่จางซู่เอ่ยมา ทุกคนย่อมรู้จักคุ้นเคยดีกระมัง”
ทังจงซงถามต่อ
“ไม่รู้ว่าพี่ชายหมายถึงสิ่งใด”
คนผู้นี้สงสัยเล็กน้อย
กล่าวถึงพื้นรองเท้าอยู่ดีๆ ไยโยงไปถึงตัวจางซู่ได้เล่า ยิ่งกว่านั้นทฤษฎี ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ นี้ โบราณวัตถุตกทอดสองสายล้วนยึดหลักการเดียวกัน เหตุใดยังต้องถามอีก
หารู้ไม่ ทังจงซงไม่ได้กล่าวสักประโยค แต่ในใจดูแคลนบัณฑิตเหล่านี้ขึ้นอีกหลายส่วน
“เมื่อ ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ อยู่ในสายบุ๋นก็เป็นการอ่านตำราหลายหมื่นเล่ม เดินทางหลายหมื่นลี้ไม่ใช่หรือ อ่านตำราย่อมต้องขยับเครื่องเขียนกับหมึกซึ่งก็ต้องใช้มือขวา และเดินทางหลายหมื่นลี้ไม่ต้องอาศัยขาและเท้าคู่หนึ่งหรืออย่างไร ขาข้างนั้นที่ก้าวออกไปก่อน และเท้าข้างนั้นที่สัมผัสพื้นก่อนยิ่งแบกรับหน้าที่ ยิ่งสำคัญมากขึ้นไม่ใช่หรือ”
ทังจงซงกล่าว
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันเข้าใจทันที
หลักการเหล่านี้พวกเขาล้วนรู้ดี เพียงแต่ไม่เคยคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งเท่าทังจงซงเช่นนี้ จนอดชื่นชมในใจครู่หนึ่ง ทยอยกันประสานมือน้อมรับ!
ทะเลความรู้ไร้ที่สิ้นสุด หนทางยาวไกล
ขาที่ก้าวออกไปก่อนนี้ย่อมรับผิดชอบหน้าที่สำรวจเส้นทาง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าก้าวต่อไปจะเป็นถนนกว้างใหญ่หรือภูเขากระบี่ทะเลเพลิง
แต่ตราบใดที่รู้ทิศทางถูกต้อง ตัดสินใจก้าวขึ้นถนน เช่นนั้นขาและเท้าจะก้าวออกไปในที่สุด
“ยายเฒ่า พื้นรองเท้าของท่านขายอย่างไรกันแน่”
ทังจงซงหันไปถามยายเฒ่าที่ยังคงปักลายบนพื้นรองเท้าไม่หยุด
ยามนี้เอง ดอกบัวเสร็จแล้ว เหลือเพียงขอดปมด้ายขั้นสุดท้ายก็เป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์
“สำหรับพวกเขาแล้วละก็ เท้าที่เดินแตะพื้นทีหลัง ข้างละสิบห้าตำลึง เท้าที่เดินแตะพื้นก่อนข้างละยี่สิบห้าตำลึง”
ยายเฒ่ากล่าว
แม้ว่ายังราคาแพงอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่บัณฑิตเหล่านี้คิดถึงหลักการยิ่งใหญ่ที่ทังจงซงกล่าวถึงพื้นรองเท้าและก้าวเท้าซ้ายกว่าก่อนหลังเมื่อครู่มารวมกัน จึงไม่มีผู้ใดกล่าวคำหยาบคายและบ่นกระปอดกระแปดอีกต่อไป
“ราคาถูก! ถูกจริงๆ! หากสวมพื้นรองเท้านี้ อาจกล่าวได้ว่าเดินตามเส้นทางแห่งจางซู่ สำรวจค้นพบรากฐานจริงๆ! แม้ว่าระยะหนึ่งจะมองไม่เห็นความสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ย่อมมีคำพิพากษา!”
ทังจงซงส่ายศีรษะกระหยิ่มใจและกล่าวคล้ายกับเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ความจริงแล้วแตกต่างจากพื้นรองเท้านี้อย่างไรเล่า
เงินสิบกว่าเหรียญและสิบกว่าตำลึงเงินของยายเฒ่าล้วนสวมใส่ทั่วไป
ยิ่งกว่านั้นต่อให้เจ้าไม่สวมพื้นรองเท้า ใครเล่าจะล่วงรู้
จะให้พบหน้าแล้วถอดรองเท้าออกมาอวดกันก็ไม่ได้กระมัง
ทังจงซงกล่าวเช่นนี้ เพียงแค่ล่อลวงบัณฑิตอวดรู้กลุ่มนี้เสียเงินไม่คุ้มค่าเสียบ้าง แม้ว่าจะเป็นเพียงการหยอกเล่นนิดหน่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขามีความสุขในระยะนี้
ครั้งก่อนมีความสุขก็ตอนที่พบกับหลิวรุ่ยอิ่งและทั้งดื่มทั้งพูดคุยที่โรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองติ้งซีอ๋อง
ทว่าหลังจากที่ทังจงซงกล่าวจบ กลับพบว่ารอบข้างเงียบเชียบผิดปกติ ขณะที่เขาคิดหาวิธีเติมฟืนให้ไฟลุกโชนยิ่งขึ้นอย่างไรนั้น มีเสียงหนึ่งได้ทำลายความเงียบ
“ยายเฒ่า ขอให้ข้าคู่หนึ่ง! ข้าจะซื้อเท้าขวาก่อน! นี่เป็นเงินสี่สิบตำลึง!”
คนหนึ่งกล่าวพูดขึ้น
คราวนี้กลับดียิ่งกว่า ทุกคนที่เหลือทยอยกันล้วงกระเป๋าเงินออกมา เริ่มแย่งชิง คนที่เงินไม่พอยังกำชับยายเฒ่าเก็บไว้ให้ตนคู่หนึ่งเป็นพิเศษ ขณะที่ตัวเขาวิ่งกลับไปเอาเงิน!
ทังจงซงเห็นว่าคนโง่เขลากลุ่มนี้ชดใช้ความเขลาเบาปัญญาของตนแล้วจึงคิดอยากถอนตัวออกไปเงียบๆ
คิดไม่ถึงว่ายายเฒ่าผู้นี้จะเอ่ยถามเขา “พ่อหนุ่ม เจ้าก้าวขาข้างใดก่อนเล่า”
“ข้าหรือ ต้องการก้าวขาข้างใด ข้าก็ก้าวขาข้างนั้นก่อน”
ทังจงซงชี้ปลายจมูกของตนและกล่าว
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มเช่นเจ้าเป็นคนที่มีโอกาสเป็นไปได้มากมายอย่างแท้จริง ความสำเร็จในอนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด!”
ยายเฒ่ากล่าว
“เป็นเพียงไหวพริบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ยายเฒ่าขอตัวก่อน!”
ทังจงซงประสานมือ หันหลังจากไปอย่างสง่างาม
“รอประเดี๋ยว!”
เห็นเพียงยายเฒ่าเก็บเข็มกับด้าย ยืนขึ้นแล้วเรียกทังจงซงให้หยุดก่อน
“ยายเฒ่ายังมีธุระใดอีกหรือ”
ทังจงซงกล่าวถาม
“นี่แผ่นรองสองคู่ ปักลวดลายดอกบัว คู่หนึ่งก้าวเท้าซ้ายก่อน อีกคู่หนึ่งก้าวเท้าขวาก่อน มอบให้เจ้าทั้งคู่!”
ยายเฒ่าหยิบแผ่นรองเท้าจากห่อบรรจุด้านหลังแล้วยื่นให้ทังจงซงพร้อมกับคู่ที่อยู่ในมือพร้อมกล่าว
“นี่จะรับไว้ได้อย่างไร ผู้น้อยได้รับค่าตอบแทนแต่หาได้ทำสิ่งใดไม่!”
ทังจงซงปฏิเสธด้วยถ้อยคำสุภาพ
“ข้าเป็นคนทำพื้นรองเท้า ข้ากำหนดราคาเอง แต่หลักการนั่นเจ้าเป็นคนกล่าว ฉะนั้นพื้นรองเท้าเหล่านี้จึงสามารถขายได้ ย่อมมีส่วนแบ่งของเจ้า ทำไมจะรับไว้ไม่ได้เล่า”
ยายเฒ่ากล่าว
ทังจงซงหวนนึกคิด รู้สึกว่าสิ่งที่ยายเฒ่ากล่าวนั้นมีเหตุผลอยู่หลายส่วน จึงเอื้อมมือไปรับมัน
นี่มันพื้นรองเท้าสองคู่มูลค่าแปดสิบตำลึงเชียวนะ!
บัณฑิตรอบตัวต่างพากันมองดูด้วยความประหลาดใจปนอิจฉา
ทังจงซงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในใจ แต่ในเมื่อต้องแสร้งทำ จึงต้องแสดงตลอดจนจบ! ทำท่าทางไม่ยี่หระยิ่งกว่าก่อนหน้านี้และเอื้อมมือไปรับมัน
บัณฑิตจางเห็นคนกลุ่มนี้ตกหลุมพรางของทังจงซงเข้า ก็ถอนหายใจและรู้สึกจนปัญญา…
แต่เมื่อเขาเห็นปลอกนิ้วเย็บผ้าที่สวมบนนิ้วมือที่ยายเฒ่ายื่นเข้ามา รูม่านตาพลันหดตัว!
“คู่นี้มอบให้ท่านแล้วกัน!”
ทังจงซงหมุนมือไปยื่นพื้นรองเท้าคู่หนึ่งให้บัณฑิตจางแล้วกล่าว
แต่สายตาของบัณฑิตจางมองทะลุช่องว่างระหว่างฝูงชนที่เพิ่มขึ้นลดลงและจับจ้องปลอกนิ้วนั้นอย่างแน่วแน่
อาทิตย์อัสดงสีแดงจัด เมฆลุกเป็นไฟค่อยๆ ลอยขึ้นมา ปลอกนิ้วนี้ก็ส่องแสงสีแดงเช่นกัน
“หรือท่านอยากควักเงินซื้อเองเล่า”
ทังจงซงเห็นว่าบัณฑิตจางไม่มีคำตอบสำหรับพื้นรองเท้า และไม่กล่าวคำใด และกลั่นคำพูดออกมาอีกครั้ง
“พ่อหนุ่มเหล่านี้…อย่ากลัวว่ามีเงินซื้อจะไม่เหลือชีวิตไว้สวมใส่!”
บัณฑิตจางโพล่งประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างฉับพลัน
ทังจงซงแหงนหน้ามองฟ้า พลันคิดหากยังอ้อยอิ่งต่อไป คงจะเหลือเพียงของเหลือจริงๆ!
หากเมื่อครู่ไม่เล่นละครแกล้งบัณฑิตเหล่านั้น บางทีอาจจะยังถามก่อนเริ่มงานเลี้ยงว่ามีสุราหมักให้กินหรือไม่!
มนุษย์เราหากความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา หากทำมันไม่เสร็จก็จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว!
โดยเฉพาะทังจงซงแต่ไหนแต่ไรเป็นคนคำไหนคำนั้น พูดอย่างไรทำอย่างนั้น
ย้อนกลับไปตอนที่เขาอยู่หัวเมืองรัฐติง แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน เขาอยากซื้อสิ่งใด อยากกินสิ่งใดล้วนต้องได้ซื้อและต้องได้กิน!
ถึงอย่างไรก็คำนวณตามเวลาของเขา ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น วันนี้ก็ยังไม่ผ่านไป วันใหม่ก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้น
ดังนั้นหากกล่าวเช่นนี้ เขากลับเป็นคนที่ทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นในวันนี้และทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย