ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 137 ไต่เต้าและพังทลาย-10
บทที่ 137 ไต่เต้าและพังทลาย-10
เพียงดื่มด่ำไปกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าสุดตัว จึงจะค้นพบความสุขอันตื้นเขินในจอกและจานนี้ได้
ทว่ามักจะมียกเว้นอยู่
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงและสองพี่น้องอ้วนฉุไร้ความอดทนเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมและกินลูกชิ้นปลา
ทั้งสองคนยกจานชามบนโต๊ะราวกับดื่มสุรา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นทุกอย่างเข้าปากและกลืนทั้งหมดโดยไม่ต้องเคี้ยว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับชื่นชอบความเรียบง่ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงดงามประเภทนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะวิจิตรบรรจงก็ตาม
แต่อย่างไรก็ต้องค่อยๆ ขจัดหมอกแห่งภาพลวงตาบนพื้นผิวอย่างระมัดระวัง ผ่านการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ สัมผัสได้ถึงการกลับคืนสู่ธรรมชาติประเภทนี้
“อาหารสองชนิดนี้มีชื่อว่าดอกบ๊วยขาวและดอกบ๊วยแดง นับว่าเป็นอาหารจานเด่นของหอทรงปัญญาก็ว่าได้!”
ตี๋เหว่ยไท่ชี้จานบนโต๊ะข้างหน้าแล้วกล่าว
“ขอถามท่านประมุขหอตี๋ ดอกบ๊วยขาวและดอกบ๊วยแดงนี่ทำมาจากวัตถุดิบชนิดใด เหตุใดจึงดูเหมือนเนื้อก็ไม่ใช่ มังสวิรัติก็ไม่เชิงเล่า”
โอวหย่าหมิงกล่าวถาม
“ผู้นำตระกูโอวตาแหลมยิ่ง อาหารจานนี้ช่างตรงกับที่ท่านกล่าวมาจริงๆ เนื้อก็ไม่ใช่ มังสวิรัติก็ไม่เชิง”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวจบก็ยกจอกสุราขึ้น หันไปทางทุกคนบอกเป็นนัยว่าให้ทุกคนดื่มหมดจอก
“อาหารทั้งสองจานนี้ล้วนทำจากใบบุกแช่ในน้ำที่ผสมแล้วใช้เป็นฐาน จากนั้นใช้หัวไชเท้าแดงแกะสลักเป็นดอกบ๊วยแดง หัวไชเท้าขาวแกะสลักเป็นดอกบ๊วยขาว ห่อด้วยเปลือกถั่วหมักนำไปนึ่ง รอจนสุกนำออกจากหม้อค่อยลอกเปลือกถั่วเป็นวงกลม ก็จะเห็นภาพดอกบ๊วยมีชีวิตชีวาในเดือนสามเกิดขึ้นทันที อีกทั้งเปลือกถั่วนี้ยังใช้หมักในน้ำเนื้อผลไม้ ดังนั้นอาหารสองชนิดนี้จึงเป็นดังเช่นคำกล่าวของผู้นำตระกูลโอว จะเนื้อก็ไม่ใช่ มังสวิรัติก็ไม่เชิง!”
“เช่นนี้นี่เอง! แต่ว่าท่านประมุขหอตี๋กล่าวถึงเพียงนี้แล้ว ผู้น้อยกลับไม่กล้าขยับตะเกียบแล้ว…”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“เหตใดถึงไร้เหตุผลเช่นนี้ กินไม่ลงเพราะสุรายังดื่มไม่พอ! เอ้า หมดจอก!”
ลู่หมิงหมิงนับว่ารับมือกับโอวเสี่ยวเอ๋อเสร็จแล้ว จึงระงับโทสะยกจอกหันไปหาโอวหย่าหมิง
โอวหย่าหมิงแตะปลายจมูกแล้วหัวเราะอย่างกระดากอาย แต่ก็รับจอกสุรานี้ไว้
อย่างไรก็ตามเขาลู่หมิงหมิงดื่มตั้งสามชามแล้ว เย็นนี้ตนเพิ่งจะดื่มจอกแรก ยังต้องกลัวสิ่งใดอีกเล่า
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงนับว่าเข้าใจแนวทางของตี๋เหว่ยไท่บ้างแล้ว
เขาไม่ได้ดูเรียบง่ายและธรรมดาอย่างที่คิด
แต่เขารู้จักวิธีคัดกรองชีวิต แม้กระทั่งชะตาชีวิตของตนเอง
ในช่วงเวลาแห่งสงคราม ประชาชนลำบาก แม้แต่ก้อนข้าวเหม็นหืนทุกคนก็ต้องต่อสู้แย่งชิง
ผู้คนในยามนั้นไม่เหลือทางเลือกอื่น ความอยู่รอดเป็นเพียงความหวังเดียว
แต่ตอนนี้กลับไม่ได้ดีไปกว่าอดีต เมื่อผู้คนมีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพียงพอ มีเวลามากขึ้นจึงเพิ่มรสชาติ ปลูกฝังสุนทรียศาสตร์ และโอ้อวดความสง่างาม
แม้ดอกไม้นับหมื่นพันเบ่งบาน ยุคปรัชญาเมธีร้อยสำนัก แต่มีขี้เถ้าปะปนอยู่มากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งอยู่กรมสอบสวนกลางก็เกลียดคำเยินยอและไหลไปตามกระแสเหล่านั้นจริงๆ เขารู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา การคิดและวิเคราะห์อย่างใจเย็นเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของมนุษย์ แต่เขาก็ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนด้วย พูดคุยอย่างจริงใจ ปลดปล่อยจินตนาการเป็นอิสระ สามารถเรียนรู้จุดแข็งจุดอ่อนกันและกัน
ตี๋เหว่ยไท่ผ่านช่วงเวลาแห่งการสะสมและการเติบโตมานานแล้ว เขาเริ่มคิดถึงความต้องการของตนในระดับที่สูงยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับ ‘ดอกบ๊วยแดง’ และ ‘ดอกบ๊วยขาว’ สองจานนี้บนโต๊ะ
ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร แต่วิธีทำมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและธรรมดา
แต่เหตุใดตี๋เหว่ยไท่จึงกล่าวถึงเพียงอาหารสองชนิดนี้เล่า
เพราะอาหารสองจานนี้น่าจะเข้ากันกับความสวยงามและต่อมรับรสของเขามากที่สุด
ส่วนอาหารซับซ้อนเหล่านั้น ถูกกรองทิ้งไปหมดแล้ว
นี่เป็นการตรวจสอบและเป็นความรู้สึกประเภทหนึ่งเช่นกัน
ระหว่างทางที่มาตี๋เหว่ยไท่มีความยับยั้งชั่งใจยามที่ภาคภูมิใจ และมีการมองโลกในแง่ดีในยามยากลำบาก มีทั้งความสง่างามในยามเกลียดชัง และมีความตื่นตัวท่ามกลางความเลือนราง
………………………..
“เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยกับหอทรงปัญญานี้แล้วหรือยัง”
หลิวรุ่ยอิ่งถามทังจงซง
“เจ้าคุ้นเคยหรือไม่เล่า”
ทังจงซงย้อนถาม
“ข้าบอกไม่ได้ว่าคุ้นเคยหรือไม่ ทำธุระก็เช่นนี้ไม่ใช่หรือ รับคำสั่งแล้ว ต่อให้เป็นภูเขากระบี่ทะเลเพลิงเจ้าก็ต้องไป ไหนเลยจะขึ้นอยู่กับข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งยักไหล่
“เราสองพี่น้องตอนนี้ก็เหมือนพี่น้องร่วมสหายคู่หนึ่งจริงๆ…ข้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ ลองคิดดูสิว่านานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้สัมผัสเครื่องเขียน อ่านตำรา เขียนอักษร! ให้ข้าไปสัมผัสหน้ารูปไข่ของสตรียังดีเสียกว่า ข้าย่อมทำให้อีกฝ่ายพอใจแน่นอน ยังได้ประโยชน์มากมายยิ่งกว่าเสียอีก”
ทังจงซงกล่าวไปเรื่อยๆ จนกระดกสุราไปหลายจอกโดยไม่รู้ตัว
“แย่แล้วๆ…”
ทังจงซงมองกาสุราที่ดื่มจนเกลี้ยงพลางกล่าว
นี่ขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณห้าหรือหกตำลึงเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ากาสุราของทังจงซงรินสุราไม่ได้แล้ว ข้ารับใช้ด้านหลังจึงรีบเติมให้อีกขวดทันที
“มีอะไร อะไรแย่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก่อนมาถึงข้าพนันกับตาเฒ่านั่นไว้ เขายืนกรานจะดื่มให้ตาย ข้าบอกว่าหากข้าดื่มชนะเขา เขาก็จะโกนเครานั่นทิ้ง!”
ทังจงซงลอบชี้ไปทางบัณฑิตจางและกระซิบบอกหลิวรุ่ยอิ่ง
“คำพูดของเจ้าเมื่อครู่ทำให้ข้าดื่มจนเกลี้ยงกา ข้าดูแล้ว ฤทธิ์เดชสุรานี้ต้องรุนแรงยิ่ง อีกเดี๋ยวข้าคงจะแพ้เป็นแน่…”
ทังจงซงกุมหน้าผากแล้วกล่าวเงียบๆ
“แพ้แล้วหรือ เจ้าดื่มแล้วหรือ”
จิ่วซานปั้นเดินมาพร้อมกับกาสุราตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ดูท่าทางแล้วเขาดื่มมาไม่น้อย ก้าวเดินล้วนเลื่อนลอยเล็กน้อย
แต่จิ่วซานปั้นล้วนมีท่าทางเมาปลิ้นตลอดทั้งวัน หลิวรุ่ยอิ่งยังบอกได้ยากว่าตอนนี้เขาอยู่ระดับใดแล้ว
ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดคุยกับทังจงซงเมื่อครู่ เขาเข้ามาและกระดกดื่มกาสุรากับโอวเสี่ยวเอ๋อไปหลายรอบ
ดังคาด สตรีจะงดงามที่สุดก็เมื่อตอนเมามาย
สีแดงระเรื่อสองดวงผุดขึ้นบนใบหน้าโอวเสี่ยวเอ๋อ ในคำพูดมีความเย้ายวนเล็กน้อย หลิวรุ่ยอิ่งไม่คาดคิดว่าสตรีที่ปกติก้าวร้าวเพียงนั้น จะเอียงอายขึ้นมาหลังจากดื่มจนเมา
กระทั่งใช้คำว่า ‘กรุณา’ ขณะพูดคุยกับจิ่วซานปั้น
“รับไม่ไหว ทนไม่ไหว ท่านเป็นถึง ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว ข้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ไหนเลยจะใช้คำว่ากรุณาได้! รีบเอาคืนกลับไป คืนกลับไป! ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นกาสุราในมือของจิ่วซานปั้นยังเหลือสุราอยู่ จึงขอให้เขารินให้ตน
คิดไม่ถึงว่าจะถูกจิ่วซานปั้นเยาะเย้ย แต่เป็นครั้งแรกที่โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ยอกย้อน ตรงกันข้ามกลับก้มหัวลงต่ำไปหลายคืบ
“ข้าใกล้จะแพ้แล้ว!”
ทังจงซงกล่าวกับจิ่วซานปั้น
หวนนึกคิด โอวหย่าหมิงสามารถใช้โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นไม้เด็ด เหตุใดตนเองจะใช้จิ่วซานปั้นเป็นไม้เด็ดแทนไม่ได้เล่า
หลังจากเขาตกลงดวลสุรากับบัณฑิตจาง ไม่ได้ประกาศว่าไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้เสียหน่อย
พิจารณาจากท่าทางจิ่วซานปั้นแล้ว ย่อมเป็นนักดื่ม การดื่มของหลิวรุ่ยอิ่งเขานั้นรู้ดี ช่วยไม่ได้แน่นอน หากให้จิ่วซานปั้นเป็นพวกเดียวกับตน คิดดูแล้วจะสามารถโกนเคราของตาเฒ่าได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม!
ทันใดนั้นจึงกล่าวกับจิ่วซานปั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครั้งก่อนเราพบกันที่เมืองติ้งซีอ๋อง ไม่ได้ดื่มดีๆ ช่างน่าเสียดายที่วันนี้ก็ไม่อาจสนุกสุขสันต์ได้…”
“นี่มันเหตุผลอะไรกัน มีสุรามีอาหาร ทำไมจะไม่อาจสนุกสุขสันต์ได้!”
จิ่วซานปั้นรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทังจงซงคิดหาข้ออ้างและหาข้อแก้ตัว
“ข้ามีข้อตกลงอยู่กับตัว”
ทังจงซงกล่าวด้วยสีหน้าสับสน
“ข้อตกลงอะไรหรือ”
จิ่วซานปั้นคิดว่าอีกเดี๋ยวเขามีเรื่องต้องไปทำ จึงดื่มได้ไม่มาก
“ข้าตกลงดวลสุรากับเขาไว้ ดูแล้วคงไม่อาจดื่มเมามายกับสหายซานปั้นได้ อย่างไรเสียความสามารถดื่มข้ามีจำกัด อีกทั้งคนไร้สัจจะไม่มีที่ยืน ไม่อาจผิดนัดใช่หรือไม่”
ทังจงซงประสานมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย
“จะว่าไปก็ถูก…ในเมื่อรับปากกับคนอื่นแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องทำให้จงได้ ไม่เช่นนั้นสุรานี้ดื่มไปก็ไร้รสชาติ”
จิ่วซานปั้นพยักหน้าและกล่าว
ทังจงซงเห็นจิ่วซานปั้นมีมารยาทเช่นนี้ อดสุขใจไม่ได้จึงกล่าวต่อ
“แต่ว่าหากหลังจากข้าดวลสุราแล้วยังเหลือแรง เช่นนั้นต่อให้ข้าเมามายจนตายอยู่ที่นี่ ก็จะดื่มกับสหายซานปั้นสองสามจอกจอกอย่างแน่นอน!”
“สองสามจอกไหนเลยจะพอ ต้องสิบกว่าจอกจึงจะดี”
จิ่วซานปั้นถือจอกแล้วพูดพลางหัวเราะ
“แต่ว่า เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าแพ้นั้นหมายถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
จิ่วซานปั้นดูเหมือนจะกระจ่างขึ้นทันใดจึงหันไปถาม
“ถูกต้อง เป็นเรื่องนี้…คิดว่าข้าไม่ได้พบพี่หลิวรุ่ยอิ่งมานาน หลังจากแพ้ข้าก็แค่เสียหน้าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การดื่มไม่เมากับพี่ชายทั้งสองเป็นเรื่องที่กวนใจข้าเหลือเกิน!”
ทังจงซงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“เช่นนั้นกลัวสิ่งใด พวกเราก็จะไปช่วยเจ้า!”
จิ่วซานปั้นผลักแขนของหลิวรุ่ยอิ่งทันใด จัดการแทนเขาเสร็จสรรพทันที
ลูกชิ้นปลายังไม่ทันเข้าปากหลิวรุ่ยอิ่ง ก็ถูกจิ่วซานปั้นรบกวนจนกลิ้งจากช้อนร่วงลงบนโต๊ะและตกลงพื้นต่ออีกที
“ฮ่าๆ เพิ่มให้นายกองหลิวอีกชุด!”
ตี๋เหว่ยไท่มองลูกชิ้นปลาบนพื้นอย่างไม่ถือสา และสั่งกำชับไปเช่นนี้
“ขอบคุณท่านประมุขหอตี๋ยิ่งนัก!”
หลิวรุ่ยอิ่งยืนขึ้นกล่าวขอบคุณ
ตี๋เหว่ยไท่โบกมือปัดๆ บอกว่าไม่เป็นไร พร้อมกับยกสุรา ดื่มหนึ่งจอกกับหลิวรุ่ยอิ่งในระยะไกล
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นโต๊ะเล็กๆ ว่างเปล่าด้านหลังตี๋เหว่ยไท่ เพียงแต่แต่ด้านบนไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆ แต่มีพู่กัน หมึก กระดาษและหินหมึกครบชุด ไม่รู้ว่านำไปใช้ทำสิ่งใด
“เป็นอย่างไร พวกเราไปช่วยรบด้วยกัน ต่อให้ไม่อาจช่วยเจ้าดวลสุรา ก็ไม่อาจจะสูญเสียพลัง!”
จิ่วซานปั้นกล่าวกับทังจงซง
“นี่…ช่วยก็ใช่ว่าจะไม่ได้เสียทีเดียว อย่างไรเสียข้อตกลงก่อนหน้านี้ของเราก็ไม่ได้ระบุว่าไม่สามารถหากำลังเสริมได้”
ทังจงซงลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวพูด
“เช่นนั้นก็ดี เราสามคนร่วมใจกัน ไม่เชื่อว่าจะเอาชนะเขาคนเดียวไม่ได้! อย่างไรก็ไม่อาจใช้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย คนแก่รังแกเด็กหรอกใช่หรือไม่!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เขาหยิบสุราสองสามกาบนถาดจากข้ารับใช้ติดมือไปด้วย พลางลากหลิวรุ่ยอิ่งและทังจงซงไปดวลสุรากับบัณฑิตจางพร้อมกัน
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นทั้งสามคนคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ แม้ว่าตนจะอยากเข้าร่วมด้วย แต่อย่างไรก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ผู้นำตระกูลยังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก คิดหน้าคิดหลังแล้วคิดว่าอดใจไว้ดีกว่า ดังนั้นจึงฝืนระงับอารมณ์ตนเองและนั่งอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง แต่กลับรู้สึกว่าสุราแรงในจอกนั้นเหมือนกับน้ำแกงจืดชืดก็ไม่ปาน
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเป็นระยะๆ แล้วพบว่าโอวหย่าหมิงกำลังมองตนพลางแย้มยิ้ม
คราวนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกเก้อกระดากยิ่งขึ้น…คล้ายกับกลอุบายเล็กๆ ของตนถูกเปิดต่อหน้าสาธารณชน
“ไปเถิด คนหนุ่มสาวควรจะเล่นสนุกด้วยกัน! ไม่ต้องสนใจตาเฒ่าอย่างพวกเราหรอก”
โอวหย่าหมิงใช้พลังธาตุส่งประโยคนี้เข้าหูโอวเสี่ยวเอ๋อโดยตรง
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินพลันรู้สึกว่าข้อความผิดแปลก จึงเงยหน้ามองโอวหย่าหมิงแล้วยิ้ม รินสุราและยกจอกขึ้น พลางเดินไปทางบัณฑิตจาง!
“ทำไม มีใจคิดหาสามีให้แม่นางผู้นี้แล้วหรืออย่างไร”
ลู่หมิงหมิงย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมของโอวหย่าหมิง จึงกล่าวอย่างขบขัน
“หึๆ แม่นางผู้นี้…ดิบเถื่อนทีเดียว! ความคิดยิ่งใหญ่ ฝืนบังคับไปก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยนางไปตามชะตาเถิด!”
โอวหย่าหมิงกล่าว