ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 141 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-2
บทที่ 141 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-2
นี่เป็นสถานที่สอดแนมดีเยี่ยม แต่ไม่เอื้อต่อการลอบสังหาร
หลิวรุ่ยอิ่งยังเห็นว่าหน้าต่างบ้านใกล้เรือนเคียงเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
แม้จะมีรั้วบางๆ กั้นอยู่ แต่ก็ยังมองเห็นเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่
หากความสามารถอาวุธลับอีกฝ่ายทัดเทียมกับพี่น้องเบญจลักขีละก็ เดาว่าลอบสังหารยายเฒ่าผู้นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแสงสว่างตอนนี้ไม่ถูกต้อง
แสงอาทิตย์สาดส่องตรงไปยังหน้าต่างที่ปิดครึ่งเดียว
ต่อให้คนทางหน้าต่างโผล่ศีรษะออกมา ก็จะถูกแสงอาทิตย์ส่องตาจนเห็นสิ่งใดไม่ชัดเจน
ในเมื่อมองเห็นไม่ชัด แล้วจะลงมือได้อย่างไร
แต่หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่า หากในยามนี้จิตวิญญาณของคนผู้นี้ต่างจากคนทั่วไป เช่นนั้นไม่ต้องอาศัยสายตา เพียงใช้จิตวิญญาณสัญจรรอบหนึ่งก็จะรู้ตำแหน่งที่แน่นอน
ตามองเห็นอาจไม่ใช่ความจริง หรืออาจจะอาศัยจิตวิญญาณยังมั่นใจได้มากยิ่งขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจสายอาวุธลับ
แต่อาศัยการรับรู้ของเขา นี่เป็นขีดจำกัดที่สามารถตัดสินได้
แต่เขามองข้ามสิ่งหนึ่งไป
ยายเฒ่าตรงหน้าล้มตายหลังถูกอาวุธลอบโจมตีหรือไม่
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
เพราะเขาไม่เคยคิดคำนึงถึงเรื่องนี้เลย
อย่างไรเสียหญิงเฒ่าผู้นี้ธรรมดาเกินไป ธรรมดาจนหลิวรุ่ยอิ่งหาคำมาอธิบายไม่ได้
เพียงแต่คิดว่านางล้มลงไปเช่นนั้น ย่อมมีคนลอบวางแผนทำร้าย
ความหวาดกลัวเหล่านั้นก่อนหน้านี้หายไปจนสิ้น
สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้กลับเป็นความรู้สึกเสียดายที่ยายเฒ่าตายไป และระมัดระวังความปลอดภัยของตน
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะคิดมากเพียงนี้ แต่ในความเป็นจริงเป็นช่วงเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ร่างยายเฒ่ายังล้มอยู่ด้านล่าง
หากคนหนึ่งมีสติ ตอนที่ล้มย่อมใช้สองมือยันไว้เพื่อลดอาการบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด
กลไกการเคลื่อนไหวป้องกันจากจิตใต้สำนึกของร่างกาย ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่จำเป็นฝึกฝน ผู้ใดก็ทำได้
แม้จะเป็นคนแก่ ขาและเท้าอ่อนแรง และอาจไม่ยืดหยุ่นเช่นผู้อื่น แต่อย่างน้อยก็ยังเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้
แต่ว่ายายเฒ่าผู้นี้ไม่ใช่
หากกล่าวว่านางไม่ตาย เช่นนั้นพิสูจน์ได้ว่ายายเฒ่าผู้นี้เหนือขีดจำกัดของคนธรรมดา
หรืออีกนัยหนึ่ง ได้ผ่านวิธีการพิเศษบางอย่าง ละทิ้งคุณลักษณะเฉพาะของการเป็นมนุษย์บางประการไป
จนกระทั่งวินาทีที่นางสัมผัสพื้น หลิวรุ่ยอิ่งจึงคิดเอื้อมมือไปพยุงร่างยายเฒ่าไว้
คนที่ล้มคว่ำหน้าลงนั้น หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการให้ยายเฒ่าตายอย่างอนาถเกินไป
หากกระดูกจมูกหัก ยามที่ฝังจะไม่สวยงามนัก
หลิวรุ่ยอิ่งเก็บกระบี่เข้าฝัก เมื่อร่างที่โน้มลงเตรียมจะเอื้อมมือเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เห็นแสงเย็นวาบลอยขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งโน้มตัวไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ แสงเย็นเยือกกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านปลายจมูกของเขา
“ท่านเป็นใครกัน! เหตุใดจึงลอบวางแผนชั่วร้ายเช่นนี้ต่อข้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งโกรธจัด
“พ่อหนุ่มเช่นเจ้ามีจิตใจดี แต่เจ้าเอาของข้าไปแล้วไม่คืนให้ข้า เช่นนั้นข้าก็ได้เพียงฆ่าเจ้าแล้วเอามันออกไปเอง”
ยายเฒ่ากล่าว
ยามนี้เอง หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองเห็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นเยือกลำนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมาจากเข็มเย็บปักในมือนาง
ยายเฒ่าผู้นี้เป็นยายเฒ่าที่ตั้งแผงขายของริมถนนและมอบพื้นรองเท้าคู่นี้ให้ทังจงซง
“ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดให้เจ้า แต่เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ควรครอบครองมัน”
ยายเฒ่ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกงุนงง
หากมีคนมาปล้น ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ กระทั่งต่อสู้สุดชีวิตเพื่อมันจะไม่แปลกใจใดๆ
แต่พื้นรองเท้าคู่หนึ่ง เหตุใดจึงมีคนดึงดันยืนกรานถึงเพียงนี้
พื้นรองเท้าก็คือพื้นรองเท้า แม้จะปักเย็บให้ดีเพียงใด ฝีมือจะประณีตเพียงไหน ก็ทำสิ่งอื่นไม่ได้ ไม่อาจกลายเป็นตัวละครรองได้
ทั่งเหล็กฝนให้เป็นเข็มเย็บปักได้
แต่หากเป็นไม้นวดแป้งจะฝนเพียงใดก็เป็นได้เพียงไม้จิ้มฟันเท่านั้น
“ข้าครอบครองอยู่ แล้วเหตุใดจะไม่ใช่ผู้ที่ควรครอบครองมัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“มันไม่ใช่ของเจ้า แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในมือเจ้า แต่ก็ไม่นานนัก”
ยายเฒ่ากล่าว
“จะนานหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน ทว่าในเมื่อท่านต้องการฆ่าข้า นี่จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ขึ้นอยู่กับเจ้าเช่นไร”
ยายเฒ่ากล่าวถาม
“ขึ้นอยู่กับข้าว่าจะฆ่าท่าน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ยายเฒ่ายิ้ม
รอยย่นบนใบหน้าลึกขึ้นเรื่อยๆ ตามรอยฉีกยิ้ม
จากรูปร่างหน้าตาที่เลือนราง หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่ายายเฒ่าตอนยังสาวต้องงดงามเป็นที่เลื่องลือแน่
สาวงามไม่อาจหวนคืนยามผลิบาน มองย้อนกลับไปยังโลกที่ศีรษะขาวโพลน
ไม่ว่าจะเคยงดงามเพียงใด ไม่ว่าตบะจะแกร่งกล้าเช่นไร ท้ายที่สุดไม่มีทางหลีกหนีจากช่วงเวลามืดมนได้ กลายเป็นกองกระดูกและกองดินเหลือง
“ยายเฒ่าอายุปูนนี้แล้ว เหตุใดต้องดึงดันเช่นนี้ด้วยเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
ประโยคนี้หาใช่เย้ยหยันไม่ แต่เป็นวาจาจากใจหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดยายเฒ่าจึงหมกมุ่นกับพื้นรองเท้าคู่นี้มากเช่นนี้
ชีวิตของนางผ่านช่วงเวลามายาวนานแล้ว ยามน้ำมันใกล้จะหมดตะเกียง ควรมีความสุขและปล่อยวางทุกสิ่งจึงจะถูก
“เจ้าไม่เข้าใจ…”
ยายเฒ่ากล่าว
สามคำนี้ออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“ท่านไม่พูด ข้าย่อมไม่อาจเข้าใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หากข้าพูดไป เจ้าจะเข้าใจหรือ”
ยายเฒ่าย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก
เป็นดังเช่นนั้น
ต่อให้ยายเฒ่าจะกล่าว เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าตนจะเข้าใจ
ประสบการณ์ที่ผ่านของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันมากนัก
“ท่านกล่าวมา อย่างน้อยข้าพอมีโอกาสเข้าใจมัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าไม่ต้องการมอบโอกาสให้เจ้า เพราะเจ้าไม่มีโอกาสเข้าใจ อย่าว่าแต่เจ้า แม้จะเป็นเขาก็ไม่เข้าใจ”
ยายเฒ่ากล่าว
“เขาคือผู้ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าไม่รู้จักเขา ย่อมไม่รู้อดีตของเขา เจ้าก็ไม่รู้จักข้า ย่อมไม่รู้อดีตของข้าเช่นกัน เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจเหตุและผลระหว่างข้ากับเขา เจ้าว่าเจ้าจะเข้าใจอย่างไร”
ยายเฒ่าถามอย่างสงสัย
หลิวรุ่ยอิ่งหงุดหงิดเล็กน้อย
ยายเฒ่าพูดยืดยาวเกินไป…
กิจทางโลก ความสัมพันธ์ทางโลก มีเพียงแต่งงานคลอดบุตร เกิดแก่เจ็บตายแปดคำนี้
ไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่อาจรอดพ้นการล้อมของแปดคำนี้ไปได้
สิ่งที่เรียกว่าละทางโลก คือผู้นี่วิ่งโร่เข้าภูเขาลึกและป่าเก่าแก่อย่างสันโดษ ดูเหมือนทุกสิ่งไร้ความกังวล ตัดขาดความสัมพันธ์และโลกภายนอกทั้งหมด
แต่เขามีหรือจะพ้นจากเกิดแก่เจ็บตายไปได้เล่า
สุดท้ายแล้ว มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้นคงอยู่นานยิ่งกว่า โดดเดี่ยวยิ่งกว่า กระทั่งน่าเศร้าใจยิ่งกว่าเสียอีก
หลิวรุ่ยอิ่งมักจะเพิกเฉยต่อสิ่งนี้
คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงการเสแสร้งมากเกินไป
แต่เขาเลี่ยงการประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยไม่ได้
เขาเพิ่งมีชีวิตอยู่มากี่ปี เห็นโลกมาแล้วกี่ครั้ง
เหตุใดจึงกล้าตัดสินอารมณ์และจิตใจของผู้อื่นอย่างด่วนใจเช่นนี้!
“อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่ข้า”
คำพูดของหลิวรุ่ยอิ่งทำตัวเป็นเด็กน้อยเกินไป
เสมือนการดวลฝีปาก เจ้าบอกข้าทำไม่ได้ ข้าต้องยืนกรานว่าทำได้ สุดท้ายต่อให้เปรียบไปถึงดวงอาทิตย์ ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความหมายว่าอย่างไร
“แน่นอนว่าเจ้าไม่ใช่ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมเขาได้”
ยายเฒ่าส่ายศีรษะพลางกล่าว ขณะเดียวกันก็ยกเข็มเย็บปักในมือขึ้น
“ไร้หนทางเจรจาแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งล้วงแผ่นรองเท้าคู่นั้นออกจากอก
ก่อนจะออกไปเมื่อครู่ เขาก็พกพื้นรองเท้านี้ติดตัว พลางคิดว่าอีกเดี๋ยวถามจิ่วซานปั้นว่าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่
มากคนก็ย่อมมีโอกาสมากหน่อย
แต่เมื่อยายเฒ่าเห็นพื้นรองเท้าที่หลิวรุ่ยอิ่งถืออยู่ แสดงความดีใจครู่หนึ่ง แต่ต่อมาคือความโกรธขึ้งที่ไม่อาจบรรยายได้
มากจนกระทั่งใบหน้าของนางบิดเบี้ยว
“เจ้าดึงด้ายสีดำชั้นนั้นออกหรือ”
ยายเฒ่าถามเสียงสั่นด้วยความโกรธจัด
“ข้า…ทำมันหล่นโดยไม่ตั้งใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งไร้เหตุผลเล็กน้อย กล่าวอย่างเก้อกระดาก
“ทำไมเจ้าทำถึงเช่นนี้!”
ยายเฒ่าคำรามก้องใส่หลิวรุ่ยอิ่ง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าเสียงของนางเปลี่ยนไป
ไม่เหมือนเช่นคนแก่เดินเหินไม่สะดวกดังก่อน แม้ว่าน้ำเสียงจะแหบแห้ง แต่กลับอ่อนเยาว์ขี้เล่น
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ดีๆๆ! เดิมเราหาใช่ศัตรูคู่แค้นกันไม่ ตราบใดที่เจ้าคืนพื้นรองเท้าคู่นี้ให้ข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ตอนนี้เจ้าได้ทำลายมันแล้ว ระหว่างเราไม่ตายไม่เลิกราเท่านั้น!”
ยายเฒ่ากล่าว
เข็มเย็บปักในมือลอยออกจากฝ่ามือ ด้านหลังมีด้ายทองยาวเส้นหนึ่งแวววาวผิดปกติภายใต้สายตา
พริบตาเดียว ด้ายทองแปรเปลี่ยนเป็นสีดำดุจหมึกอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งกระบี่ขวางต้านทาน แต่ถูกพลังมหาศาลจากปลายเข็มกระแทกจนถอยหลังไปหลายก้าว
ในยามนี้ กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งยังอยู่ในฝัก ยังไม่ทันชักมันออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ใช่กระบวนท่าเดียว
ดังนั้นหลังจากชักกระบี่จึงรีบตั้งกระบี่ตรงและแทงออกไป!
มือซ้ายถือฝักกระบี่เป็นเกราะป้องกัน คอยระวังเข็มของอีกฝ่ายตลอดเวลา
‘กิ๊ง!’
เสียงกังวานใสดังลอยมา
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นปลายกระบี่ของตนเสียบในฝ่ามือของยายเฒ่า
แต่กลับไม่มีเลือดไหลรินออกมา กลับกันมีเพียงเสียงทองและเหล็กประสานกันดังขึ้น
ยายเฒ่าแบมือ ปลายกระบี่กระทบกับปลอกนิ้วที่นางสวมอยู่บนมือ
หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมพลังธาตุส่งพลังมหาศาลสู่ปลายกระบี่แล้วระเบิดมันออกมา
แต่ยายเฒ่ายังใช้ปลอกนิ้วกดปลายกระบี่ เคลื่อนย้ายสี่ทิศ เปลี่ยนรูปทรงมือ ยับยั้งพลังธาตุไปจนหมด
หลิวรุ่ยอิ่งใช้ความแข็งแรงทางกายออกแรงกระทุ้งอีกครั้ง
ยายเฒ่ากลับหดแขน ทำให้กระบี่นี้ของหลิวรุ่ยอิ่งราวกับแทงทะลุบนฝ้าย
ออกกระบี่ แต่กลับไร้ซึ่งพลังใดๆ!
ฝีก้าวตื่นตระหนกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ยามที่แรงผลักของหลิวรุ่ยอิ่งมลายสิ้น ยายเฒ่าดันฝ่ามืออย่างแรงทันที หลิวรุ่ยอิ่งปัดป้องไม่ทันจึงถูกแรงสะเทือนจากระยะห่างกระบี่จนคลายมืออก
กระบี่ดาราร่วงสู่พื้น
ร่วงอยู่ระหว่างเขากับยายเฒ่า
“ข้าเพียงแค่ดึงด้ายชั้นบนออกจากบนนั้น ยิ่งกว่านั้นอีกข้างก็หาได้เปลี่ยนแปลงใดๆ เหตุใดท่านจึงสุดโต่งเช่นนี้เล่า!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
นี่เป็นแผนถ่วงเวลาของเขา
เพราะเขาจำต้องสร้างช่องว่าง
สร้างช่องว่างให้นางเก็บกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าเคยพบเจอนกยวนยางตัวเดียวหรือไม่”
ยายเฒ่ากล่าวถาม
“ไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบคำ
“เจ้าเคยพบเจอรองเท้าของเส้นทางเดียวดายสุดแดนสวรรค์หรือไม่”
ยายเฒ่ากล่าวถาม
“ไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบคำ
“พื้นรองเท้าของข้าเดิมก็เป็นคู่ ขาดไปเพียงนิดล้วนต่างไปจากเดิม มันไม่ใช่คู่กัน คู่หนึ่งของข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงแม้เพียงนิด!”
ยายเฒ่าถาม
สิ้นเสียง พลันโจมตีด้วยเข็มอีกครั้ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่ก็ยังมีโอกาสให้หลิวรุ่ยอิ่งหายใจหายคอ
ไร้ซึ่งอินหยางสองขั้วในกาย แม้จะไร้การรวบรวมพลังธาตุ กระทั่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
แต่สิ่งใหม่มักจะต้องผ่านกระบวนการปรับตัว ในกายหลิวรุ่ยอิ่งยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขนี้มีค่าสำหรับเขามาก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นยายเฒ่าโจมตีอีกครั้ง มือซ้ายถือฝักกระบี่แสร้งโต้ตอบ บังคับยายเฒ่าจำต้องยั้งเข็มสกัดกั้น
จากนั้นเขากลิ้งไปด้านหน้าสลับตำแหน่งกับยายเฒ่าและคว้าจับกระบี่ไว้ในมืออีกครั้ง
………………………………………………………………..