ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 143 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-4
บทที่ 143 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-4
“เพราะนางกำลังแก้แค้น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แก้แค้นหรือ นางกับหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนแปลกหน้า หาใช่ศัตรูคู่แค้นไม่ เหตุใดถึงแก้แค้นเล่า”
ตี๋เหว่ยไท่ถาม
“ข้านึกเสียใจที่กล่าวคำว่าแก้แค้นนี้ออกไปเสียแล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้าก็มีช่วงที่นึกเสียใจด้วยหรือ เกรงว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ไม่มีสิทธิ์นึกเสียใจ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวยิ้มๆ
“ข้าก็เป็นมนุษย์ ย่อมมีสิ่งนึกเสียใจเป็นธรรมดา อย่างเช่น ข้านึกเสียใจครั้งที่อยู่กรมสอบสวนทำไมไม่สอนหลิวรุ่ยอิ่งให้ดื่มสุราเป็น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ตอนนี้เขาเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ฉะนั้นข้าจึงไม่นึกเสียใจในเรื่องนี้มากนัก แต่ยิ่งดื่มสุราได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ในเมื่อเจ้านึกเสียใจที่พูดว่าแก้แค้น เช่นนั้นเจ้าอยากเปลี่ยนเป็นสิ่งใด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ท่านให้โอกาสข้าเปลี่ยนแปลงด้วยหรือ”
เซียวจิ่นข่านสงสัย
เดิมทีเขานึกว่าตี๋เหว่ยไท่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้และหัวเราะเยาะเขาจึงจะถูก
………………………..
หลิวรุ่ยอิ่งเสียเปรียบครั้งเดียว ย่อมไม่กล้าประมาทเกลียวด้ายเหล่านี้อีก
หลังจากถอยไปหลายก้าว หันไปแทงกระบี่ที่แขนซ้ายของยายเฒ่า
การแทงกระบี่นี้ชาญฉลาดยิ่ง
เนื่องจากมือขวาหญิงชราถือเข็มดาราสีเงินไว้ เข็มไม่ยาวเท่ากระบี่ ฉะนั้นการป้องกันร่างตนเองฝั่งซ้ายจึงอ่อนกำลังลงไปบ้าง
กระบี่นี้ของหลิวรุ่ยอิ่งเต็มไปด้วยพลัง
แต่ความรู้สึกกระตุกในกายก็ยังคงมีอยู่ ทำให้เขามีพลังใจแต่ไร้พลังกายมากนัก
แต่ในขณะนี้เอง หลิวรุ่ยพบว่าธรรมลักษณ์บรมครูในจุดตันเถียนยืนขึ้นแล้ว
เขายื่นมือหนึ่งกระบวนท่าถือกระบี่หยางแท้อวี้จิงในมือ
ธรรมลักษณ์บรมครูมือถือกระบี่ พลังลึกลับวิเศษแผ่กระจายไปทั่วแขนขวาหลิวรุ่ยอิ่ง
ชั่วขณะหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งเกิดภาพมายาขึ้น
เขารู้สึกว่าสิ่งที่ถืออยู่หาใช่กระบี่ดาราไม่ แต่เป็นกระบี่หยางแท้อวี้จิง
แม้กระบี่จะกำเนิดขึ้นในกายของเขาแต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสมันสักครั้ง แต่เขารู้สึกได้ว่าตนกำลังถือมันอยู่ในยามนี้
ธรรมลักษณ์บรมครูดูเหมือนจะไม่ชอบใจเล็กน้อย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ตนเพียงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา นี่เป็นการก้าวหน้าครั้งใหญ่
จงรู้ไว้ว่าก่อนหน้านี้ ธรรมลักษณ์บรมครูผู้ยิ่งใหญ่เย่อหยิ่งยิ่งนัก ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะทำให้พึงพอใจเพียงใดกลับเอาแต่หูทวนลม
กระบี่หยางแท้อวี้จิงในมือธรรมลักษณ์บรมครูยังเลียนแบบท่าทางหลิวรุ่ยอิ่งแทงไปข้างหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสถึงพลังลึกลับกลายเป็นของจริง อัดแน่นบนแขนขวาของเขาตามด้วยส่งไปยังกระบี่ดารา
ครู่หนึ่งตัวกระบี่ดาราเปล่งแสงจางๆ ออกมา
เพียงแต่ตอนนี้แดดจ้าแรง ทำให้มองไม่เห็นชัดเจน
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่สังเกตเห็นมัน
เขาเพียงรู้สึกว่าความรู้สึกของกระบี่นี้จับต้องได้ยากนัก
เดี๋ยวก็คล้ายกับช่วงเพิ่งเรียนกระบี่ ความซุ่มซ่ามที่จับกระบี่เป็นครั้งแรก
เดี๋ยวก็คล้ายกับครอบครองตบะของเทพบริราชเก้าทวีป สุดยอดแดนสวรรค์อยู่ใกล้เพียงเอื้อม
เพียงพริบตา กระบี่ของเขาแทงเข้าแขนซ้ายยายเฒ่า
ยายเฒ่าชะงักงัน
ทั้งๆ ที่เข็มดาราสีเงินของนางกลับไปปัดป้องฝั่งซ้ายแท้ๆ
สายตานางดียิ่ง
สายตาผู้ที่เย็บถักปักร้อยย่อมดียิ่ง
การคำนวณและตัดสินของนางล้วนแม่นยำ
ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจเย็บปักดอกบัวหมึกได้ประณีตเพียงนั้น
แต่เข็มดาราสีเงินของนางช้าไปเพียงก้าวเดียว
เดิมทียายเฒ่าหมายจะใช้เข็มดาราสีเงินยันกระบี่หลิวรุ่ยอิ่งออกไป จากนั้นก็สามารถข่มได้อีกครั้งและลดระยะห่างระหว่างกัน
แต่ในยามนี้เข็มดาราสีเงินของนางห่างจากหลิวรุ่ยอิ่งเพียงนิ้วครึ่ง
ห่างเพียงนิ้วครึ่งเอง
กระบี่หลิวรุ่ยอิ่งแทงเข้าแขนซ้ายของยายเฒ่า
“อ๊าก!”
ยายเฒ่ากรีดร้องเสียงแปลกๆ
หลิวรุ่ยอิ่งก็ชะงักไปเช่นกัน เขาไม่รู้ว่ากระบี่แทงเข้าไปได้อย่างไรด้วยซ้ำ
กระทั่งหลังจากแทงเข้าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ส่งกระบี่ไปข้างหน้าอีก จึงมีเพียงปลายกระบี่แทงเข้าไปเท่านั้น
เข็มดาราสีเงินของยายเฒ่าห่างจากกระบี่ของเขาเพียงนิ้วครึ่ง
กระบี่ของเขาแทงเข้าแขนซ้ายยายเฒ่าเพียงนิ้วครึ่งเช่นกัน
………………………..
“ท่านดูสิ สถานการณ์พลิกกลับแล้วไม่ใช่หรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวกับตี๋เหว่ยไท่
“ที่ข้าพยายามกล่าวคือ…ระบายความแค้น”
เซียวจิ่นข่านหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“จะระบายก็ควรมุ่งไปหาจางอวี่ซู เหตุใดจึงไม่ยอมปล่อยหลิวรุ่ยอิ่งไปเล่า”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ท่านรู้ที่มาที่ไปของพื้นรองเท้าคู่นั้นหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“ไม่รู้”
ตี๋เหว่ยไท่ตอบคำ
“มิน่าเล่า…”
เซียวจิ่นข่านผิดหวังเล็กน้อย
“นางมีพื้นรองเท้าเช่นนี้เยอะไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังปักร้อยมันทุกวันไม่พักอีกต่างหาก”
ตี๋เหว่ยไท่ถาม
“ถูกต้อง มีพื้นรองเท้าเช่นนี้มากมาย แต่คู่นี้บนกายหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคู่แรก พื้นรองเท้าที่นางปักร้อยทั้งหมดในยามต่อมาล้วนทำตามรูปแบบนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“มิน่าล่ะนางจึงใส่ใจเพียงนี้…”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ยิ่งกว่านั้น เหตุใดนางต้องระบายใส่จางอวี่ซูด้วยเล่า”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถามอีกครั้ง
ประโยคนี้แฝงไปด้วยน้ำเสียงค่อนขอด
ดูเหมือนว่าจะเย้ยหยันที่แม้แต่ตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้ได้
“จางอวี่ซูทำนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางมีหรือจะไม่เคียดแค้นเพียงนิด มีความเกลียดชังย่อมมีการระบายความแค้น”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ทำนางเจ็บปวดอย่างยิ่งไม่ใช่เรื่องเท็จ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ระบายกับจางอวี่ซูแน่นอน ท่านเชื่อหรือไม่ ขอเพียงให้นางประจันหน้าพูดคุยไม่กี่ประโยคกับจางอวี่ซู แม้แต่ความขุ่นเคืองนี้ก็มลายหายไป”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“บางทีเจ้าอาจกล่าวได้ถูกต้อง แต่ข้าไม่เข้าใจ”
ตี๋เหว่ยไม่ดื่มชาของตน ไม่ยี่หระราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน
“ท่านเคยรักผู้ใดหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านถาม
เดิมนี่เป็นคำถามที่ชวนเขินอายยิ่ง โดยเฉพาะอีกฝ่ายที่เขาเอ่ยถามเป็นตี๋เหว่ยไท่
“มีแน่นอน!”
คาดไม่ถึงว่าตี๋เหว่ยไท่จะยอมรับอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มันเกินความคาดหมายของเซียวจิ่นข่าน
“ไม่เหมือน…”
เซียวจิ่นข่านครุ่นคิดพลางส่ายศีรษะกล่าว
“เหตุใดจะไม่เหมือน เหตุใดข้าจึงไม่เคยรักผู้ใดเล่า”
ตี๋เหว่ยไท่ไม่ยอม
“หากท่านเคยรักผู้ใดจริง เหตุใดไม่เข้าใจจิตใจนางเล่า หากท่านเคยรักผู้ใดจริง ย่อมเข้าใจว่าเหตุใดนางไม่ระบายใส่จางอวี่ซู”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่เงียบขรึม
เขารู้ดีว่าตนเองเคยรักสตรีไม่กี่คน
แต่เกรงว่าความรักจะไม่ลึกซึ้งเพียงนั้น
อย่างน้อยก็ไม่ลึกซึ้งเท่าสตรีผู้นั้นรักจางอวี่ซู
“ความรักเดิมคือการครอบครอง นางครอบครองจางอวี่ซูไม่ได้ นางจึงไล่ตามไขว่คว้าอย่างไม่หยุดพัก แต่นางรักจางอวี่ซูอย่างสุดซึ้ง จึงไม่ยอมปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานแม้เพียงนิด หากให้นางระบายกับจางอวี่ซู สู้ให้เขาใช้เข็มดาราสีเงินทิ่มแทงปลายนิ้วของตนดีกว่า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ในเมื่อนางไม่ยอมให้จางอวี่ซูทรมาน เหตุใดจึงต้องทรมานตนเองด้วยเล่า แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา[1]”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“สิบนิ้วเชื่อมใจ! ทิ่มแทงปลายนิ้วเจ็บปวดนัก แต่เจ็บปวดไม่เท่ากับความรัก แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา แต่ในที่นี้เพียงใบพุทราเดียวที่ถูกใจ แม้ว่าทั้งโลกสุดแดนสวรรค์จะมอบให้นาง แต่นางหาได้ลังเลใจใดๆ ไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดังนั้นต่อมาข้าจึงไม่รักผู้ใด ข้าไม่อาจรักได้”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ท่านรักได้ เพียงแต่ท่านรักพู่กันด้ามนั้นในมือยิ่งกว่า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่หัวเราะร่า
………………………..
ยายเฒ่ายังคงกรีดร้องเสียงหลง ขณะเดียวกันเข็มบินก็พุ่งไปทุกทิศทุกทาง ราวกับปีศาจคลุ้มคลั่ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้นางเป็นอะไร ทั้งๆ ที่กระบี่ของตนไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งต้องการถอนออกไป
แต่ด้ายทองตัดวิญญาณของยายเฒ่าสานเป็นตาข่ายด้านหลังเขาอย่างแน่นหนา กักขังตนและหลิวรุ่ยอิ่งไว้ในนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเหวี่ยงกระบี่หมายจะตัดด้ายเหล่านี้และทะลวงตาข่ายออกมา
แต่ครั้นกระบี่ปะทะด้าย กระบี่กลับถูกดีดเด้งออก
ด้ายนี้ ไม่ว่าจะแข็งหรือยืดหยุ่นล้วนหาได้ยากในโลก
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัตถุใด
แต่เขามั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง
ผู้ที่ใช้ด้ายนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดา สามารถใช้ด้ายนี้ตลอดเวลาได้ยิ่งไม่ธรรมดา
เช่นเดียวกับ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ของเขา
แม้ว่าเขาจะได้เรียนรู้คำหนึ่ง ก็นับว่าใช้มันได้แล้ว
แต่ระยะนี้จะมีสักกี่คนมาปล้นชิงไปเล่า
หลิวรุ่ยอิ่งทุ่มเทเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อรักษามันไว้ไปเท่าใด
ของล้ำค่าเช่นนี้ขอเพียงมีวิธีไม่ดึงดูดความสนใจผู้คนเท่านั้น
เช่นนั้นนอกจากตัวยายเฒ่าก็ไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเจอ
แต่เมื่อพิจารณาจากทักษะวิชาของยายเฒ่าและระดับความซับซ้อนเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว นางจะต้องใช้เข็มและด้ายนี้สังหารคนไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งเป็นแน่
ในเมื่อไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง เช่นนั้นอย่างน้อยมีหนึ่งร้อยคนที่มองเห็นมัน
ต่อให้ร้อยคนนี้จะตกตายไป ไม่มีผู้ใดบอกกล่าวสิ่งที่เห็นออกไปได้ แต่ร่างก็ยังอยู่ที่นั่น
ผู้ที่ถูกเข็มกับด้ายสังหารต่างจากผู้ที่ถูกกระบี่สังหารมากโข
หนึ่งคนมองข้ามได้
สองคนก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
แต่หากเสียชีวิตเกินร้อยเพราะเหตุนี้ เหตุใดยังไม่สังเกตเห็นอีกเล่า
จนถึงตอนนั้น ย่อมมีผู้แข็งแกร่งในหมู่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าหมายตาต้องใจด้ายกับเข็มนี้
แต่ยายเฒ่าก็รักษามันไว้ได้
ไม่ว่ากระบวนการนี้จะยากเย็นเพียงใด อย่างน้อยเข็มด้ายนี้ก็ยังอยู่ในมือของนาง
แม้ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งสังหารมนุษย์น้ำแข็งจะยากเย็นเพียงใด เดาว่ายายเฒ่าก็คงปกป้องเข็มด้ายไม่ด้อยและไม่เกินไปกว่านั้นเช่นกัน
ตอนนี้เขาเพียงต้องการให้ยายเฒ่าสงบลง
อย่างไรเสียหากดั้นด้นฝืนต่อไป มีเพียงเขาที่เสียเปรียบขึ้นเรื่อยๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนใจฉับพลันและคิดแผนขึ้นมา!
โรคหัวใจยังต้องการหมอเยียวยาหัวใจ
ในเมื่อนางใส่ใจแผ่นร้องเท้าในมือตนถึงเพียงนี้ สู้ใช้แผ่นรองเท้าเป็นเหยื่อล่อให้สตินางจดจ่ออยู่กับสิ่งนี้ เขาก็สามารถฉวยโอกาสนี้หลบหนีได้
ทำถึงเพียงนี้แม้จะไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไปบ้างก็ตาม
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้มากนัก
เขาหยิบแผ่นรองรองเท้าคู่นี้ออกจากอกแล้วชูมันขึ้นสูงกลางอากาศ
ยามที่ยายเฒ่าเห็นพื้นรองเท้าในมือหลิวรุ่ยอิ่งก็หยุดเคลื่อนไหวดังคาด มีเพียงเสียงไอ ‘โขลก’ ที่เล็ดลอดออกจากลำคอ
“คืนมันให้ข้า!”
ดวงตายายเฒ่าแดงก่ำ กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“ให้ท่านน่ะได้ แต่ท่านต้องเก็บตาข่ายนี้ออกไปก่อน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า”
ยายเฒ่ากล่าวถาม
“ก็สิทธิ์ที่พื้นรองเท้าอยู่ในมือข้าและท่านก็อยากได้มัน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางวางพื้นรองเท้าคู่นี้ไว้หน้าปลายกระบี่ ราวกับว่าหากความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้กระบี่แทงทะลุมัน
“หยุดนะ! ข้าเก็บ! ข้าเก็บมัน!”
ยายเฒ่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเอาจริง ครู่หนึ่งความโกรธที่ระบายลดลงเสมือนลูกหนังปล่อยลม
เห็นเพียงนางกำมือสองข้างในอากาศสองสามครั้ง ดึงด้ายตาข่ายหนาทึบพันล้อมรอบหลิวรุ่ยอิ่งกลับไปยังตะกร้าของนางในทันใด
“หากข้าให้ท่าน ท่านยังจะฆ่าข้าหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“ฆ่า”
ยายเฒ่ากล่าว
“ท่านกลับคำนี่!”
หลิวรุ่ยอิ่งโกรธจัด
“เจ้าคืนพื้นรองเท้าให้ข้า ข้าเก็บด้ายตาข่าย นี่เป็นเงื่อนไขที่เราตกลงกัน ตอนนี้เจ้าไม่ต้องการให้ข้าฆ่าเจ้า ก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งแล้ว”
ยายเฒ่ากล่าว
…………………………………………………………
[1] แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา เปรียบเปรยถึง เรื่องระหว่างชายหญิงไม่ต้องยึดติดตายตามกันไป ยังมีคนที่เราจะรักหรือควรค่าที่จะรักอีกมากมาย