ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 144 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-5
บทที่ 144 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-5
“ข้าคือตี๋เหว่ยไท่”
ตี๋เหว่ยไท่หยุดหัวเราะและกล่าวกับเซียวจิ่นข่าน
“ข้าย่อมรู้ว่าท่านคือตี๋เหว่ยไท่”
เซียวจิ่นข่านกล่าวด้วยความแปลกใจ
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตี๋เหว่ยไท่จึงเอ่ยนามของตนเองอีกครั้ง
เขาย่อมไม่มีทางลืม
เขากลัวว่าตนจะลืมสิ้นหรืออย่างไร
คนแปลกหน้าทั้งสองย่อมมีโอกาสนั่งดื่มสุราด้วยกัน
แต่คนแปลกหน้าทั้งสองเพียงดื่มสุรา จอกต่อจอกเพียงเท่านั้น คงไม่เสวนากันมากมายเพียงนี้เป็นแน่
อย่างไรเสียหากชีวิตไม่มีประสบการณ์ร่วมกันหรือชีวิตที่เกี่ยวพันกัน ไหนเลยจะมีเรื่องให้พูดคุย
อย่างมากสุดก็พูดคุยเกี่ยวกับความรอบรู้ของตน
เพียงแต่ความรอบรู้นี้จะแฝงไปด้วยความเกินจริงประเภทใดก็เท่านั้น
เช่นนั้นมีเพียงนานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจแล้ว
“ข้าเพียงไม่ได้เอ่ยนามตนเองมานานแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เซียวจิ่นข่านหัวเราะ
เขารู้สึกว่าตนคิดถูก
ชายผู้นี้เพียงกลัวว่าเขาจะลืมตนเองสิ้น จึงพูดเช่นนี้
“เพราะท่านคือตี๋เหว่ยไท่ ดังนั้นจึงรักเพียงพู่กันด้ามนั้นหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ประโยคนี้ดูโจ่งแจ้งไปบ้าง
เขากำลังเดิมพัน
เขาเดิมพันว่าประโยคถัดไปของตี๋เหว่ยไท่จะเป็นเช่นนี้
แม้เขาอาจไม่พูดออกจากปาก แต่ในใจของเขาย่อมคิดเช่นนี้
ตี๋เหว่ยไท่ไม่แสดงความเห็น สาดน้ำชาเย็นชืดในถ้วยชาลงพื้นและให้เซียวจิ่นข่านรินให้ตนอีกครั้ง
สุรา ชา สุรา
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวเปลี่ยนไปสามครั้งแล้ว
แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในใจเขา
มนุษย์เรามักจะหาทำสิ่งใดที่เหมาะสมกับสถานการณ์
สภาพจิตใจที่ดื่มสุราย่อมต่างจากการดื่มชา
แต่สภาพจิตใจทุกคนที่ดื่มสุราดื่มชาก็แตกต่างกันยิ่ง
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าตี๋เหว่ยไท่อยากดื่มสุราเมื่อใด อยากดื่มชาเมื่อใด
แต่ขอเพียงเขาต้องการดื่ม ตนก็รินสุราให้เขาได้โดยไม่นึกเสียดาย
“ไม่มีตี๋เหว่ยไท่ ก็ยังมีจางเหว่ยไท่ หวังเหว่ยไท่ หลิวเหว่ยไท่ แต่ตอนนี้ไยจึงเป็นข้าตี๋เหว่ยไท่อยู่เรื่อยเล่า หรือนี่จะไม่ใช่ชะตาชีวิต”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เขาต้องการคำตอบบางส่วนจากปากเซียวจิ่นข่าน
เซียวจิ่นข่าน
เพราะเขาเริ่มไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางอันยาวไกลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งเริ่มเกิดคำถามกับตนเอง
ตี๋เหว่ยไท่ทำทุกสิ่งที่เขาสามารถทำได้และไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
อย่างน้อยในอีกสิบปีหรือยี่สิบปีข้างหน้าจะก้าวหน้าได้ยากยิ่ง
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาจะรู้สึกกลัว
เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองกลัวสิ่งใดอยู่
กลัวผู้อื่นจะเหนือกว่าตนหรือ
กลัวจะรักษาตำแหน่งของหอทรงปัญญาและตำแหน่งของตนไว้ไม่ได้หรือ
ดูเหมือนล้วนมีเล็กน้อย แต่ไม่เพียงบริสุทธิ์ล้วนๆ
ทว่าความกลัวนี้อัดแน่นอย่างบริสุทธิ์
ดังนั้นเขาจึงต้องการการยืนยันจากเซียวจิ่นข่านที่นี่
ผู้คนมักต้องการฟังคำพูดมงคล นี่ก็เป็นความเชื่องมงายอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ นี่ก็นับเป็นทางเลือกของท่านเอง ชะตาชีวิตไม่ใช่ของปลอม แต่ชะตาชีวิตนี้ท่านเคยต่อสู้อย่างหนักเพื่อมัน โลกก็เป็นเช่นนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
แต่เห็นได้ชัดว่าตี๋เหว่ยไท่ยังฟังไม่พอ จึงรอให้เซียวจิ่นข่านกล่าวต่อ โลกก็เป็นเช่นนี้
“ตราบใดที่ท่านใช้เวลาสู้เพื่อมันมาก็จะไม่สูญเสียมันเร็วนักหรอก แม้แต่ท่านต้องการละทิ้งก็ทำไม่ได้ ท่านทำได้เพียงก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ตราบใดที่ไม่แสวงหา อย่าถามถึงอนาคต”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่หัวเราะอย่างขมขื่น
หลักการนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
เขาเพียงต้องการได้ยินเซียวจิ่นข่านบอกว่าเขาไม่มีเภทภัยหนักหน่วงใดทั้งปวง ช่วงเวลาในภายภาคหน้าจะยังราบรื่นและมั่นคงต่อไปก็เท่านั้น
แต่เซียวจิ่นข่านไม่ทำ
เดิมทีเขาสามารถพูดเช่นนี้ได้
แต่เขาไม่ชอบหลอกลวงผู้คน
แม้ว่าสิ่งนี้จะกล่าวได้ว่าเป็นการปลอบใจก็ตาม
แต่ช่องว่างหลังการปลอบให้สบายใจ มักจะยิ่งทำให้ผู้คนปล่อยวางได้ยาก
ครั้นถึงเวลาอาจจะหันกลับมาโกรธแค้นเซียวจิ่นข่านได้
อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าที่บอกผู้อื่นว่าปลอดภัยราบรื่น ดังนั้นเมื่อเกิดเภทภัยก็มักจะต้องหาแพะมารับบาปใช่หรือไม่
ผู้ใดให้บุบผาในคันฉ่องแก่ตนเอง ผู้นั้นก็เป็นแพะรับบาป
“พวกเขาทั้งสองหยุดประมือกันแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ยังจะดำเนินต่อไป”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เพราะพื้นรองเท้าคู่นั้นยังอยู่ในมือหลิวรุ่ยอิ่งหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ไม่ใช่ เพราะพื้นรองเท้าคู่นั้นเป็นของปลอม”
เซียวจิ่นข่านส่ายศีรษะ
เขาเติมสุราหนึ่งจอกให้ตี๋เหว่ยไท่
แต่มันกลับล้นออกมา
เดิมเขานึกว่าตี๋เหว่ยไท่ดื่มหมดแล้ว แต่ตี๋เหว่ยไท่เพียงแตะมันที่ริมฝีปากบางๆ เท่านั้น
ด้วยพลังหูและดวงจิตของเซียวจิ่นข่าน
ในจอกจะมีสุราหรือไม่ สุราจะมากน้อยเพียงใดย่อมรู้อย่างชัดเจน
แต่เขากลับพลาดมัน
นี่แสดงให้เห็นว่าความสนใจของเขาเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ที่นี่เลย
เช่นนั้นอยู่ที่ใดกันเล่า
คงจะอยู่กับหลิวรุ่ยอิ่งที่นั่นแน่
เซียวจิ่นข่านเป็นห่วงสหายคนนี้ยิ่งนัก
“ในที่สุดเจ้าก็ทำตัวเหมือนคนตาบอดเสียที”
ตี๋เหว่ยไท่เช็ดสุราบนโต๊ะจนแห้งสนิทพร้อมกล่าว
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง
นี่เป็นสัญชาตญาณ
เมื่อผู้ที่สมบูรณ์ครบมองเห็นผู้พิการล้วนสงสารเห็นใจก่อน จากนั้นก็จะแอบรู้สึกสุขลึกๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น
ตอนนี้ตี๋เหว่ยไท่ก็เป็นเช่นนี้
“เดิมข้าก็เป็นคนตาบอด ไม่จำเป็นต้องแสดงออก เช่นเดียวกันท่านเป็นถึงตะวันแพรทองขั้นแปด ประพฤติตนอย่างไรให้เหมือนคนไม่รู้หนังสือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
ตี๋เหว่ยไท่พูดไม่ออก
เพราะเขาไม่อาจทำตัวให้เหมือนคนไม่รู้หนังสือได้
ในอดีต เขาเคยทิ้งเครื่องเขียนตำรา กวาดเอกสารไปจนหมด อยากจะลองเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้หนังสือดู
แต่หลังจากเขาเดินไปตามริมถนนมองเห็นวิธีพูดน่าขันบนป้ายเหล่านั้น กระทั่งการเขียนอักษรผิดบนป้ายฉลาดอาหารจนทนไม่ไหวระเบิดหัวเราะออกมา เขาก็รู้ว่านี่เป็นทางตัน
มองไปทางใดตนล้วนรู้จักและรู้ดี หากให้เขาเขียนมัน เขาคงจะเขียนได้ดีกว่านี้หลายร้อยเท่า จะแสร้งทำเป็นคนไม่รู้หนังสือได้อย่างไร
ต่อให้ดวงตาของเขาจะบอดสนิทเช่นเซียวจิ่นข่านก็ไม่ได้ผล
เพราะคุ้นเคยและจำตำราเหล่านั้นได้ขึ้นใจ
ไม่ต้องมองก็สามารถพูดน้ำไหลไฟดับ
เขาเคยลองปิดสองตาของตนว่ายังสามารถเขียนอักษรได้หรือไม่
ผลก็คือ อักษรที่เขียนออกมาเอียงแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่ตวัดขีดโครงสร้างยังดูแข็งยิ่งกว่าลืมตาเขียนยามปกติเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อลืมตามองจะใส่ใจทุกขีดทุกจังหวะและคิดหน้าคิดหลังอย่างไม่อาจเลี่ยง
แต่หากมองไม่เห็น ก็จะไม่สนใจมัน แต่จะยิ่งใส่ใจกับจังหวะและรูปแบบของทั้งตัวอักษรให้มากขึ้น
การเขียนออกมาเช่นนี้ย่อมดีกว่ายามปกติเสียอีก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพื้นรองเท้านั่นเป็นของปลอม”
ตี๋เหว่ยไท่ถาม
เซียวจิ่นข่านไม่ตอบ
แต่เขาทั้งสองได้ยินเสียงร้องดังลั่นพร้อมกัน
เสียงกรีดร้องดังลั่นและเสียงกรีดร้องประหลาดก่อนหน้านี้ออกมาจากคนคนเดียวกัน แต่ช่างแตกต่างกันอย่างมาก
เสียงกรีดร้องแปลกๆ ก่อนหน้านี้แฝงไปด้วยความเหลือเชื่อและความหวาดกลัว
แต่เสียงร้องดังลั่นในตอนนี้มีเพียงความโกรธขึ้งล้วนๆ ไม่มีสิ่งใดอีก
………………………..
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้พื้นรองเท้าปลอมคู่หนึ่งมาต่อรองเงื่อนไขมากมายกับข้า!”
ยายเฒ่ากล่าว
สองมือทึ้งผมของตนเอง ราวกับอยากจะฉีกทึ้งหนังศีรษะออกมาอย่างไรอย่างนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งมองพื้นรองเท้าในมือแล้วไม่เข้าใจยิ่งนัก
เขาไหนเลยจะแยกออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม…
ตนตื่นมาก็พบพื้นรองเท้าประหลาดคู่หนึ่งเช่นนี้แล้ว
“ข้ามีเพียงพื้นรองเท้าคู่นี้เท่านั้น ท่านบอกว่าจริงก็จริง ท่านบอกว่าปลอมก็ปลอม ไยท่านพูดออกมาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เดิมบนพื้นรองเท้าเป็นดอกบัวสีหมึก เจ้าบอกว่าด้ายสีดำถูกเจ้าดึงทิ้งใช่หรือไม่!”
ยายเฒ่ากล่าวถาม
“ใช่ ข้าหยิบมันขึ้นมาแล้วถูมันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำด้ายสีดำยุ่งเหยิง ข้าจึงดึงมันออก”
หลิวรุ่ยอิ่งเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ
“ใต้ด้ายสีดำดอกบัวสีหมึกเป็นด้ายสีทองดอกบัวทองจริง แต่เจ้าดูดอกบัวสีทองบนพื้นรองเท้าในมือเจ้าสิ”
ยายเฒ่าสงบลง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าความโกรธของนางยังไม่หายไป แต่กลับยิ่งลึกลงไปอีก
สิ่งที่มองไม่เห็นกำลังบ่มเพาะก่อตัวอย่างช้าๆ รอการระเบิดครั้งใหญ่ยิ่งกว่า
หลิวรุ่ยอิ่งมองดอกบัวสีทองบนพื้นรองเท้าในมือก็ยังเป็นดอกบัวสีทอง เพียงแต่สีมันเพี้ยนไปเล็กน้อย
เมื่อมองดูปลายกระบี่ของตนอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าบนนั้นจะเปื้อนผงสีทองอยู่เล็กน้อย
“ด้ายนี้ย้อมสีทองหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจโดยพลัน!
“ด้ายทองตัดวิญญาณของข้าคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ต่อให้เจ้าจะดึงด้ายสีดำดอกบัวหมึกออกโดยไม่ตั้งใจก็ยังให้อภัยได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรด้ายสีทองนี้ไม่มีทางที่สีจะหลุดจางไป”
เพื่อเป็นการพิสูจน์ ยายเฒ่าดึงด้ายทองออกมาตอกบนรั้วด้านข้าง
หลิวรุ่ยอิ่งใช้กระบี่ขีดข่วน พบว่าไร้การเปลี่ยนแปลงจึงรู้ว่าสิ่งที่ยายเฒ่ากล่าวมานั้นเป็นความจริง
“แต่ว่า…ข้ามีเพียงพื้นรองเท้าคู่เดียวนี้จริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขารู้สึกจิตใจว่างเปล่าเล็กน้อย
เดิมคิดว่าพื้นรองเท้านี้เป็นสิ่งที่เติมเต็มความปรารถนาของนาง
การใช้สิ่งนี้เพื่อบีบบังคับย่อมทำให้นางทำสิ่งใดเด็ดขาดไม่ได้ ตนก็จะหาทางปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนนี้พื้นรองเท้าคู่นี้เป็นของปลอม เช่นนั้นจะใช้สิ่งนี้ควบคุมความสุมดุลได้อย่างไร
ยายเฒ่าไร้ข้อผูกมัด ย่อมปล่อยไปตามธรรมชาติ
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้สึกว่าระดับตบะของยายเฒ่าไม่สูงนักหรืออาจจะสูงกว่าตนเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถรับมือได้อย่างสิ้นเชิง
แต่กลอุบายชาญฉลาดของยายเฒ่านั้น หลิวรุ่ยอิ่งไล่ตามไม่ทัน
นับตั้งแต่นางแกล้งตาย แต่ความจริงแล้วซ่อนจิตสังหารแอบแฝงไว้
………………………..
“เจ้ารู้ว่าพื้นรองเท้านั่นเป็นของปลอมมาตั้งแต่แรกหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ไม่รู้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หากข้าไม่มั่นใจว่าเมื่อคืนเจ้าไม่อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงสงสัยว่าเจ้าเป็นคนมอบพื้นรองเท้านี้ให้หลิวรุ่ยอิ่งไปแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ข้าไม่ทำและไม่จำเป็นต้องทำร้ายเขา”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“พวกเจ้านักพรตอินหยางไม่ใช่ว่าล้วนมองทะลุวิถีแห่งโลกสวรรค์จึงเล่นตลกกับผู้อื่นเพื่อความสนุกเป็นครั้งคราวหรอกหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ที่ท่านกล่าวถึงคือชาวยุทธ์ลวงโลกที่ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายให้ท่านหน้าประตูเมืองเพียงสองตำลึงเงิน ไม่เหมือนนักพรตอินตัวจริงเช่นข้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“อาจารย์ของเจ้าสบายดีหรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“สถานที่สุขสบายเช่นเมืองจิ่งผิงนี้ช่างหาได้ยากในใต้หล้า เขาจะไม่สบายได้อย่างไร”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ทว่าช่วงนี้มีแขกมา เขาจึงยุ่งอยู่บ้าง”
เซียวจิ่นข่านกล่าวต่อ
“ผู้ใด”
ตี๋เหว่ยไท่ถามอย่างระวังตัว
แขกอาจารย์ของเซียวจิ่นข่านย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
“ท่านไม่ชอบเขา บอกท่านไปก็รังแต่จะทำให้ท่านยิ่งกังวล แต่ที่ข้าสามารถบอกท่านได้คือเขาเพียงมาพูดคุยดื่มสุรากับอาจารย์ข้าเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างปัญหาให้หอทรงปัญญาของท่าน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้า
นี่เป็นการมอบยาบรรเทาทุกข์ให้เขากิน แม้ว่ายังกังวลใจ แต่ก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“ความสามารถของหลิวรุ่ยอิ่ง ท่านคิดว่าจะสามารถคลายด้ายทองตัดวิญญาณได้หรือ แม้แต่ชั้นแรกก็ยังยากเสียยิ่งกว่ายากกระมัง…”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตอนนี้เองตี๋เหว่ยไท่จึงตระหนักได้ว่าตนมองข้ามรายละเอียดที่สำคัญไป
…………………………………………………