ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 150 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-1
บทที่ 150 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-1
“เรื่องการใส่กรอบภาพนี้ก็คือการเอาบทกวียาวแผ่นนี้ติดไว้กับแผ่นรองเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดวางและกางออกมาแสดงได้สะดวก”
ฉางอี้ซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้ารับ
แม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าหลักการใส่กรอบควรทำเช่นใด แต่ของที่ใส่กรอบเสร็จแล้วนั้นเขากลับเคยเห็นมาไม่น้อย
ใต้เท้าผู้ตรวจการกองสัคคะเนตร ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนของเขาก็เป็นผู้มีสุนทรียะท่านหนึ่ง
ผู้มีสุนทรียะย่อมนิยมความประณีต ชมชอบของสูงส่งงดงาม
ในจวนของเขาก็มีผลงานภาพตัวอักษรและภาพวาดที่ใส่กรอบเสร็จแล้วอยู่ไม่น้อย
ที่ว่ากันว่ากรอบหนาใส่น้ำและหมึก[1] กรอบบางใส่สีชาดและสีคราม ก็คือหลักการเช่นนี้นั่นเอง
“ทว่าการใส่กรอบก็ซับซ้อนนัก งานแต่ละรูปแบบแต่ละสำนักล้วนมีกรอบที่รับกันเฉพาะตัว ประเด็นนี้ข้าเองก็ไม่กล้าพูดส่งเดช นั่นเพราะแต่ละคนล้วนมีความถนัดของตน”
ฉางอี้ซานเอ่ยแย้งกับตอนแรก
“ทว่าข้ามีสหายผู้หนึ่งและเขาก็อยู่บนถนนสายนี้ เขาเป็นนายช่างใหญ่แห่งการใส่กรอบภาพ ตั้งแต่หอทรงปัญญาไปจนถึงทั้งใต้หล้าล้วนยกให้เป็นที่หนึ่ง ข้าสามารถพาเจ้าไปสอบถามรายละเอียดได้”
ฉางอี้ซานกล่าวต่อ
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่าน….อาจารย์อาฉางแล้วขอรับ!”
หลิวรุ่ยอิ่งยังปรับคำพูดไม่ได้ในตอนแรก อาจารย์อาคำนี้ยังคงไม่คุ้นปากเอาเสียเลย
คนทั้งสี่เดินไปด้วยกัน ลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยจนมาถึงหน้าคฤหาสน์ใหญ่แห่งหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าบนถนนสายนี้ที่เดิมทีตนคิดว่ามีเพียงถนนสายหลักสายเดียว แต่เมื่อก้าวเข้าไประหว่างร้านรวงที่ตั้งกันเรียงรายกลับกลายเป็นที่อีกแห่งหนึ่ง
“สหายข้าผู้นี้มีนิสัยค่อนข้างแปลก อย่างไรพวกเจ้าจงให้อภัยเอาไว้ให้มาก”
ฉางอี้ซานกล่าว
“ท่านอาจารย์อาไม่ต้องกังวล พวกเราจะวางตนย่อมรู้จักกาลเทศะขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
โดยทั่วไปแล้วผู้คนที่มีความสามารถล้วนมีนิสัยประหลาด เรื่องนี้ไม่ได้เข้าใจยากเย็นอะไร ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
“ไม่ได้ ความแปลกของเขากลับไม่ใช่เรื่องนิสัยใจคอ แต่เป็นสิ่งที่เขาร้องขอและวิธีการสนทนา”
ฉางอี้ซานกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ว่าควรจะบอกกล่าวกับพวกของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างไร
แม้นี้จะเป็นความผิดปกติของผู้อื่น เมื่อเอ่ยออกไปไม่ได้ส่งผลเสียใดกับตน
แต่จะอย่างไรก็เป็นสหายของตน หากไม่คิดหาวิธีที่เหมาะควรสักวิธี คนไม่รู้จะนึกเอาว่าตนกำลังนินทาว่าร้ายสหายอยู่
“อย่างไรก็เข้าไปก่อนค่อยว่ากันเถิด…”
ฉางอี้ซานเอ่ยพลางผลักประตู เดินตรงเข้าไป
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายมีเรื่องปิดบังที่ยากจะพูด แต่เรื่องก็มาจนถึงขั้นนี้แล้ว จึงทำได้เพียงกัดฟันเดินตามฉางอี้ซานเข้าประตูไป
“หยุดนะ! ทำอะไร!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลิวรุ่ยอิ่งกำลังกวาดลานบ้าน เมื่อเห็นว่าจู่ๆ คนทั้งสี่ก็เดินดุ่มๆ เข้ามา จึงหยุดกวาดพื้นและเอ่ยปากถาม
ดูทีว่าคงเป็นบ่าวเฝ้าประตูของที่แห่งนี้
“ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้จักข้าหรอกหรือ”
ฉางอี้ซานถาม
“หากเจ้าถามข้าว่าบนไพ่ผายจิ่ว[2]ของข้ามี่กี่จุด มีไพ่ยาวกี่อัน ไพ่เรียงกี่อัน ข้าล้วนรู้ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ย่ำแย่ที่สุดข้าก็ยังสามารถจั่วเอาชุดนภาคู่[3]ออกมาได้ หรือหากเจ้าถามข้าว่าหอจันทร์กระจ่างมีแม่นางดาวเด่นคนใดบ้าง พวกนางชื่นชอบสิ่งใด ยามดื่มสุรากับแขกจะมีกิริยาเช่นใด ข้าก็ล้วนรู้ทั้งสิ้น แต่ว่าเจ้า ข้าไม่รู้จัก”
เด็กหนุ่มผู้นี้กล่าว
ฉางอี้ซานไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ครานี้ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์อาของตนกล่าวเมื่อครู่ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด
กระทั่งบ่าวเฝ้าประตูผู้หนึ่งก็ยังวางท่าใหญ่โตเพียงนี้ ถ้อยคำที่เอ่ยก็แปลกประหลาดปานนี้ เช่นนั้นเจ้าของเรือนจะดีไปได้สักเท่าไรกัน
“ข้าคือฉางอี้ซาน เป็นสหายสนิทของนายเจ้า ยามนี้มีธุระมาเยี่ยมเยือน รบกวนช่วยไปแจ้งให้สักครู่”
ฉางอี้ซานเอ่ยอย่างสุภาพ
เด็กหนุ่มพินิจคนทั้งสี่อย่างถี่ถ้วน กระทั่งเวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ซึ่งถึงกับทำให้ทังจงซงเริ่มอดรนทนไม่ไหว
แต่ติดที่ฉางอี้ซานอยู่ข้างกายเขา จึงต้องอดกลั้นเอาไว้ ไม่แสดงอาการออกมา
ในที่สุด เด็กหนุ่มผู้นี้ก็พยักหน้า ก่อนโยนไม้กวาดและถังน้ำในมือลงบนพื้น แล้วหันหน้าเดินเข้าไป
ถังน้ำทำจากทองเหลืองยามถูกโยนลงพื้นนั้นเสียงดังลั่นเป็นที่สุด!
พร้อมกับเสียงดัง ‘ตึ่งตั่ง’ น้ำในถังก็กระเด็นออกมาสี่ทิศ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าถังทองเหลืองใบนี้มีรอยบุบๆ เบี้ยวๆ อยู่ไม่น้อย ดูทีว่าเหตุการณ์เช่นที่เกิดในวันนี้จะต้องเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งเป็นแน่
ฉางอี้ซานยิ้มพลางส่ายหน้า
“บ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ เหตุใดจึงวางท่าใหญ่โตนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งไถ่ถาม
“ดังนั้น ความแปลกของสหายท่านผู้นั้น ก็ยังคือความแปลกเรื่องอารมณ์หรือขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้น… ความแปลกที่ข้าเอ่ยถึง ก็คือเขามักเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง”
ฉางอี้ซานกล่าว
“เจ็บป่วย?”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
ความเจ็บป่วยเดิมทีก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ หากร่วมด้วยร่างกาย ไม่ใคร่ดี ต่อให้ล้มหมอนนอนเสื่อติดต่อกันนานปี จะอย่างไรคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเรื่องนี้จะเรียกว่าแปลกได้อย่างไร
“เขาเจ็บป่วยไม่ใช่เป็นเรื่องทั่วไปอย่างที่พวกเราว่ากัน หากแต่เรื่องเล็กน้อยใดๆ ล้วนสามารถทำให้เขาเจ็บป่วยได้ทั้งสิ้น”
ฉางอี้ซานกล่าวต่อ
“หากเช้าวันนี้เจ้าชงชาแล้วมีก้านชาก้านหนึ่งผสมอยู่ เขาก็จะเจ็บป่วย และบอกว่าตนเองเป็นโรคก้านชา หากกลางคืนบังเอิญตื่นขึ้นมาขณะกำลังฝันอยู่แต่ยังฝันไม่จบ เช่นนั้นเขาก็จะเจ็บป่วยแล้ว บอกว่าตนเป็นโรคฝันขาดตอน”
หลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังจึงรู้ว่านี่เป็นอาการเจ็บป่วยไม่ผิดแน่ แต่กลับเป็นนิสัยที่ผิดปกติทั้งสิ้น
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่กรมสอบสวนกลางหรือค่ายทหารล้วนไม่ต้องจ่ายยาใดๆ เพียงใช้แส้ฟาดสักคราว เมื่อนั้นตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็จะสบายขึ้นมาในทันใด อย่างน้อย หนึ่งปีครึ่งปีก็จะไม่ “เจ็บป่วย” อีกเลย!
………………………..
ทว่าเวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางประการ
หลังจากเด็กรับใช้ผู้นั้นเข้าไปก็เป็นเวลาราวหนึ่งถ้วยชาแล้ว
ทว่าทั่วทั้งคฤหาสน์กลับดูนิ่งเงียบจนน่ากลัว
ราวกับมีแต่ความรกร้างว่างเปล่า ไร้กลิ่นอายมนุษย์
ดูจากท่าทีของเด็กรับใช้เมื่อครู่นี้ เขาต้องเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นแน่
ในเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไป ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะก้าวเท้าออกมาจึงจะถูก
แต่กลับไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้า
เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งยังได้ยินเสียงนกกระจอกสองสามตัวส่งเสียงร้องอย่างสำราญอยู่บนต้นไม้ข้างนอกเรือน
แต่ยามนี้กลับไม่ได้ยินเสียงที่พวกมันกระพือปีกบินจากไป แม้แต่เสียงร้องก็ยังหยุดลงกลางคันด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งหันหน้ามามองฉางอี้ซานและพบว่าหัวคิ้วเขาขมวดเข้ามาน้อยๆ คล้ายว่าเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติด้วยเช่นกัน
“ไม่ถูกต้อง!
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หลังจากเด็กรับใช้เข้าไป ประตูข้างในลานบ้านก็ไม่ได้ปิดเอาไว้
เวลานี้กลับมีกลิ่นคาวเลือดบางเบาลอยออกมา
“กลิ่นคาวเลือด?”
ทังจงซงก็ได้กลิ่นเช่นกัน
มีเพียงจิ่วซานปั้นที่เอาแต่ดื่มสุราไม่หยุด กลิ่นสุรากลบกลิ่นอื่นไปสิ้น จึงไม่ได้รู้สึกอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งอยากใช้จิตออกไปตรวจสอบดูสักคราว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจเข้าไปภายในประตูบานนั้นได้
ดูทีว่ามีคนใช้จิตผนึกมันไว้ด้วยเช่นกัน
ฉางอี้ซานและหลิวรุ่ยอิ่งหันมาสบตากัน เมื่อนั้นคนทั้งสองต่างก็ตัดสินใจอยู่ภายในใจ
จิตสามารถสกัดกั้นจิต แต่จิตไม่อาจสกัดตัวคนได้
ฉางอี้ซานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้ว่าคล้ายถูกท่อนไม้ฟาดเข้าอย่างแรงตรงท้ายทอย รู้สึกหนักๆ หน่วงๆ
จนเมื่อรู้ตัว หลิวรุ่ยอิ่งจึงเห็นว่าบ่าวเฝ้าประตูคนเมื่อครู่ล้มนอนอยู่กับพื้น มีรอยแผลที่เต็มไปด้วยเลือดสยดสยองที่อยู่ลำคอ และมีเลือดสดทะลักออกมาไม่หยุด
แต่เจ้าหนุ่มนี่กลับยังไม่ได้สิ้นใจ
เขาเบิกตากว้าง ปากพะงาบๆ เหมือนปลาอยู่ห่างน้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปดูและพบว่านี้คือรอยแผลจากกระบี่
กระบี่ไม่เพียงแทงทะลุเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอ ยังแทงทะลุเส้นเสียงของเขาด้วย ฉะนั้นในขณะที่เด็กรับใช้ผู้นี้กำลังดิ้นรนจวนเจียนตายกลับเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ส่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น คอทางด้านหลังก็คือกระดูกสันหลังของคน
และกระดูกสันหลังยังเป็นศูนย์รวมของเส้นลมปราณทั่วร่างกาย
เมื่อกระดูกสันหลังขาด จึงเป็นการตัดความเชื่อมโยงระหว่างมือเท้าทั้งสี่กับทั่วร่างกายไปด้วย
มือสังหารทำเช่นนี้เพื่อหาทางหนีทีไล่ให้ตนเอง
เมื่อตัดเส้นเสียง บ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ก็จะบอกไม่ได้ว่าเป็นผู้ใด ต่อให้ไม่รู้จัก อย่างน้อยก็ยังสามารถอธิบายลักษณะได้
เมื่อตัดเส้นประสาทก็ทำให้แม้จะเขียนหรือวาดเขาก็ไม่อาจทำได้อีก
หากเขายังสามารถใช้เลือดของตนเขียนอักษรสักตัวสองตัวก็จะทำให้พวกของหลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องถึงกับมืดแปดด้านดังมีหมอกเต็มหัวเช่นนี้
“ท่านอาจารย์อาคุ้นเคยกับบ่าวเฝ้าประตูผู้นี้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“คุ้นเคย บ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ติดตามเขามาสิบกว่าปีแล้ว ข้ารู้จักตั้งแต่เขายังเป็นเด็กจนยามนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ฉางอี้ซานกล่าว
“เขารู้หนังสือหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
หากไม่รู้หนังสือ มือสังหารย่อมไม่ต้องกังวลว่าบ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ จะขีดๆ เขียนๆ สิ่งใดเอาไว้ก่อนสิ้นใจ
นั่นเพราะการสังหารคนง่ายดายนัก และส่วนคอก็ยังเป็นจุดที่บอบบางที่สุดในร่างกายคนด้วย
การแทงทะลุเส้นเสียงก็ง่ายดายด้วยเช่นกัน เพียงลดปลายกระบี่ให้ต่ำลงสักสองสามชุ่น พอออกแรงแทงก็ขาดทันที
แต่หากอยากแทงทะลุลำคอและไปตัดกระดูกสันหลังจนขาดในคราวเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่มือสังหารทั่วไปจะทำได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากเลือดที่ออกมาในที่เกิดเหตุ บ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ต้องถูกแทงมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว และจากสิ่งนี้ก็เห็นได้ว่ามือสังหารลงมือรวดเร็วยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งยอมรับว่าด้วยระดับของเขาในเวลานี้ ไม่อาจลงมือได้เช่นนี้แต่อย่างใด
หากแยกทั้งสามขั้นตอนนี้ออกจากกัน ต่อให้เป็นบุรุษร่างกำยำที่ไม่เคยฝึกกระบี่มาก่อนก็ยังสามารถลงมือเช่นนี้ได้ แต่การลงมือต่อเนื่องกันทั้งหมดโดยใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่า ก็นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งตรวจสอบบาดแผลเมื่อครู่นี้พบว่าตัวกระบี่ที่สังหารบ่าวเฝ้าประตูผู้นี้เรียวบางอย่างยิ่ง ส่วนความยาวนั้นกลับไม่อาจรู้ได้
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ใช้กระบี่เรียวบาง มักฝึกเพลงกระบี่ชนิดว่องไว
นั่นเพราะกระบี่เรียวบางมีความคล่องแคล่ว ยามลงมือจึงสามารถเพิ่มความรวดเร็วขึ้นอีกได้
ทว่า เมื่อบุรุษร่างกำยำใช้กระบี่เข้าตัดกระดูกสันหลังคนจะต้องใช้กำลังอย่างมาก แต่มือสังหารผู้นี้กลับใช้เคล็ดวิชาที่ชำนาญตัดเส้นลมปราณจนขาด
เมื่อนั้นภาพเหตุการณ์ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของหลิวรุ่ยอิ่ง
บ่าวเฝ้าประตูผู้นี้ผลักประตูจะไปตามเจ้านายออกมาต้อนรับแขก
ในเวลานั้นเองร่างหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ขยับออกมาเล็กน้อย ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว แม้แต่เวลาจะส่งเสียงร้องก็ยังไม่มี
ทว่าเมื่อสูญเสียโอกาสนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสส่งเสียงได้อีกเลย
จากนั้นเพราะเขาเอียงตัวไปเห็นคนที่พุ่งเข้ามาจู่โจม จึงทำให้คอของตนต้องเป็นโพรงเช่นนี้
มือสังหารแทงเขาเพียงหนเดียว เริ่มจากออกแรงลงไปเพียงน้อยนิดเพื่อตัดเส้นเสียงของเขา จากนั้นขยับปลายกระบี่เบาๆ ออกแรงดันไปข้างหน้าให้เข้าไประหว่างข้อกระดูกไขสันหลัง เพื่อตัดเส้นลมปราณของบ่าวเฝ้าประตูจนขาด ทำให้เขาทรุดตัวลงนอนกับพื้น และทำได้เพียงรอความตายอยู่เงียบๆ
………………………………………
[1] น้ำและหมึก สีชาดและสีคราม คือสี่สีที่นิยมนำมาใช้ในภาพวาดแบบจีน
[2] ไพ่ผายจิ่ว หรือ ไพ่โดมิโน่ ไพ่ปายโกว ตัวไพ่มีลักษณะคล้ายโตมิโน มีจุดแถบสีต่างๆ อยู่บนล่างบนหน้าไพ่
[3] ชุดนภาคู่ คือ ชุดไพ่ที่เหมือนกันสองคู่