ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 153 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-4
บทที่ 153 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-4
“เจ้าดื่มสุราอีกแล้วใช่หรือไม่?!”
ตรงหน้าจิ่วซานปั้นกลับมีคนแค่คนเดียว ซึ่งก็คือย่าของเขา
“หลานไม่ได้ดื่ม…”
จิ่วซานปั้นเอาน้ำเต้าที่ใส่สุราไว้ไปซ่อนข้างหลังอย่างลนลานพลางเอ่ย
“เฮ้อ…เด็กโง่ เด็กโง่! เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังเช่นนี้”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
ด้วยรู้สึกผิด จิ่วซานปั้นได้แต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
แต่ว่าย่านั้น หนึ่งขี่ม้าไม่เป็น สองไม่เคยออกจากเรือน เหตุใดนางจึงหาตนพบ ซ้ำยังหาพบรวดเร็วปานนี้ด้วย
“ไม่ต้องหา ย่าอาศัยแค่จมูกเฒ่าๆ นี้ เพียงได้กลิ่นสุรา ไม่ว่าเจ้าไปแห่งหนใด ย่าล้วนหาเจ้าพบ!”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าวพลางชี้ที่จมูกของนาง
ราวกับว่านางมองเห็นทะลุเข้าไปในใจของจิ่วซานปั้นได้
“ที่ผ่านมา เจ้าสบายดีหรือไม่”
ย่าของจิ่วซานปั้นถามน้ำเสียงอบอุ่น
“ท่านย่าแสนดีของหลาน หลานได้รู้จักกับสหายสนิทอีกตั้งมากมาย! พวกเขาล้วนเก่งกาจนัก! ผู้หนึ่งคือหลิวรุ่ยอิ่งมาจากส่วนกลาง เคยพบเจอผู้คนมามาก เขาคอยดูแลหลานเป็นอย่างดี ยังมีสตรีแสนงดงามอีกผู้หนึ่ง นามว่าโอวเสี่ยวเอ๋อ เป็น ‘แก่นกระบี่’ แห่งสกุลโอว คนงดงาม จิตใจดี ฝีมือก็สูงส่ง กระบี่ชงโคของนางนั้นงดงามยิ่ง…”
จิ่วซานปั้นกล่าวกับย่าของตน
เพราะโอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้อยู่ข้างกายในเวลานี้ จิ่วซานปั้นจึงอยากชี้ให้ย่ามองหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เมื่อเขาหันมองไปรอบตัว ทั่วทั้งหลังบ้านเหลือเพียงตัวเขากับย่าสอง คนเท่านั้น ทั้งฉางอี้ซาน ทังจงซงและหลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ไปที่ใด
“เจ้าชอบสตรีผู้นั้นยิ่ง?”
ย่าของจิ่วซานปั้นถาม
“เหอะๆ พวกเราเป็นสหายสนิท…”
จิ่วซานปั้นลูบท้ายทอย กล่าวด้วยความเขินอาย
“สหาย? ย่ากับปู่ของเจ้าแรกเริ่มนั้นก็เป็นสหาย พ่อแม่ของเจ้าแรกเริ่มก็เป็นสหายเช่นกัน การเป็นสหายเดิมทีก็เป็นพื้นฐานของความรัก สามีภรรยาในหล้ามีผู้ใดบ้างที่ไม่เริ่มรู้จักมักคุ้นจากการเป็นสหาย จากนั้นจึงเกิดเป็นความรักซึ่งกันและกัน”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
อย่ามองแต่ว่าปกติจิ่วซานปั้นเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ที่จริงแล้วเขาเป็นเช่นนั้นในเวลาที่เอาแต่ดื่มสุราไม่หยุดต่างหาก
สุราของจิ่วซานปั้น ก็คือบ้านของเขา
ไม่ว่าจะสบายใจ ทุกข์ใจ ประหม่า หรือเดือดดาล ขอเพียงเติมสุราอึกหนึ่งเข้าในปาก เขาก็จะหาแหล่งพักพิงใจได้
ทว่าเวลานี้ย่าอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
นางเป็นผู้ที่ไม่เห็นดีเห็นงามเรื่องที่เขาดื่มสุรามาแต่ไร
ฉะนั้น จิ่วซานปั้นจึงออกจะรู้สึกขัดเขิน มีถ้อยคำนับหมื่นอัดอั้นอยู่ในอก แต่กลับเอ่ยออกมาไม่ได้แม้สักคำ
“อยากดื่มก็ดื่มเถิด เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว… ต่อให้ข้ากวดขันอีกสักเท่าใด ที่สุดแล้วเจ้าก็ต้องโบยบินไป มิใช่หรอกหรือ?”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าวด้วยท่าทีหดหู่
“บินไป? หลานจะบินไปที่ใดเล่า”
ได้ยินย่ากล่าวเช่นนั้น จิ่วซานปั้นจึงเอาน้ำเต้าใส่สุราที่อยู่ข้างหลังออกมา กรอกใส่ปากอึกหนึ่ง
อึกนี้ น้อยนิดนัก ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เขาดื่มยามปกติด้วยซ้ำ
ต้องรู้เสียก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มสุราต่อหน้าย่า
ทว่าแม้สุราจะเข้าปากไปแล้วแต่จิ่วซานปั้นกลับไม่กล้าลืนลงไป
นั่นเพราะการดื่มสุราต้องกลืนลงท้องจึงจะนับว่าดื่ม
แต่มาอมไว้ในปากเช่นนี้ จึงนับไม่ได้ว่าดื่มสุรา
ในใจของจิ่วซานปั้นยังคงพะว้าพะวังอยู่
ความคุ้นเคยอย่างหนึ่ง เมื่อทำมาเนิ่นนานแล้ว พูดไม่ได้ว่าคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ทันใด
แต่ว่าอมสุราเอาไว้เช่นนี้ กลับทำให้จิ่วซานปั้นลำบากยิ่งกว่าเก่า…
กลั้นไว้นาน ใบหน้าก็แดงไปหมด เขารีบใช้จมูกสูดอากาศหายใจหนึ่งครั้ง แต่กลับทำให้ตัวเองสำลัก สุราพุ่งออกจากรูจมูก และต้องกระแอมไออย่างหนัก
“ดูเจ้าสิ เห็นอยู่ว่าดื่มสุราไม่เป็น ทำไมต้องแสร้งทำเป็นหมดจอกไม่เมาด้วย”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
“หลานดื่มสุราเป็น!”
จิ่วซานปั้นกระแอมไอไปพลางๆ พร้อมแก้ต่างให้ตนไปพลาง
“คนดื่มสุราเป็น จะสำลักสุราหรือ?”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
จิ่วซานปั้นได้ยินก็หัวเราะออกมา
นึกถึงครั้งที่อยู่ในหมู่บ้านยอดนักดื่ม ย่าของตนก็คอยค่อนแคะเหน็บแนมเช่นนี้
แต่การค่อนแคะชนิดนี้กลับอบอุ่นนัก มันเรียกว่าความห่วงใย
วิธีที่แต่ละคนแสดงความห่วงใยล้วนต่างกัน
บางคนวันทั้งวันคอยถามไถ่ร้อนหนาว ถามตั้งแต่เส้นผมบนหัวไปจนถึงปลายเท้า ด้วยกลัวว่าจะพลาดสิ่งใดไป
บางคน ทุกวันลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง กับเรื่องเล็กน้อย ทำท่าไม่สนอกในใจ แม้ปากจะไม่พูด แต่เมื่ออีกฝ่ายตกทุกข์ได้ยากก็จะช่วยสุดกำลัง และแอบจัดการทุกสิ่งให้อย่างเงียบๆ
ย่าของจิ่วซานปั้นก็คืออย่างหลัง
แม้นางจะไม่มีความสามารถใหญ่หลวงอันใด แต่กลับใช้มือทั้งคู่ที่มิได้ คล่องแคล่วนัก สองขาที่เริ่มสั่นเทาของตน ดูแลให้จิ่วซานปั้นค่อยๆ เติบโตมา
จิ่วซานปั้นรักใคร่ย่าของเขายิ่งนัก แม้ภายนอกจะแสดงออกว่าทั้งกลัวและเคารพมากกว่าก็ตาม
“หาตาน้ำสุราพบแล้วหรือยัง”
ย่าของจิ่วซานปั้นถาม
“ยังเลย…หลานมาที่หอทรงปัญญาก่อน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ตอนนั้นย่าวางแผนนับร้อยนับพันให้เขาร่ำเรียนหนังสือ แต่เขากลับเอาแต่อยากเที่ยวเล่น
แต่เวลานี้เขามาหอทรงปัญญาก่อน จึงคิดว่าเรื่องนี้คงสร้างความดีใจให้ย่าได้บ้าง
“ความจริงแล้ว เจ้าก็เรียนหนังสือเก่ง แม้ว่าย่าจะอ่านสิ่งที่เจ้าเขียนเหล่านั้นไม่เข้าใจ แต่เขียนอักษรตั้งมากมาย แสดงว่าเก่งกาจไม่เบา เก่งกว่าปู่ของเจ้ามากนัก และเก่งกาจกว่าพ่อเจ้าไม่น้อยเช่นกัน!”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
จิ่วซานปั้นแย้มยิ้ม เขาดีใจหนักหนา ที่สุดก็สามารถดื่มสุราอึกใหญ่ได้โดยไม่ต้องพะว้าพะวงอีกแล้ว
หนนี้เขาไม่ได้อมไว้ในปากแต่กลืนลงไปอย่างราบรื่นเป็นที่สุด
เขาออกมาจากหมู่บ้านยอดนักดื่ม หาใช่เพราะต้องการจะหลบซ่อนจากสิ่งใด เพียงรู้สึกว่าตนเองอยู่ต่อไปก็จะไม่อาจได้รับการยอมรับจากย่าได้ตลอดไป
เขาหวังยิ่งว่าจะได้ยินคำยอมรับจากย่า
ต่อให้ความสามารถด้านบุ๋นของย่าจำกัดอยู่เพียงการรู้หนังสือ แต่เขาก็ยังหวังจะได้ยินคำยอมรับจากย่าสักคำ
เมื่อครู่เขาได้ยินแล้ว
หนำซ้ำได้ยินชันเจนแต่ก็ยังคลุมเครือ
ดังนั้นเขาอยากฟังอีกสักครั้ง
“เขียนอักษรตั้งมากมาย ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งกาจนี่…”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เขาจงใจถ่อมตนแต่ความจริงแล้วอยากให้ย่ากล่าวถ้อยคำยอมรับตนอีกครั้ง
“จะว่าไปก็ใช่ แต่ว่าในเมื่อเจ้าอยากเขียน ก็จงเขียนต่อไป เพียงเจ้าเขียนได้ดี จะต้องมีคนที่อ่านเข้าใจและชื่นชมในตัวเจ้า”
ย่าของจิ่วซานปั้นกล่าว
จิ่วซานปั้นห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย
แม้ว่าถ้อยคำประโยคนี้ของย่าจะมีเหตุผล แต่กลับค่อนข้างคลุมเครือ
สิ่งที่เขาอยากได้ยินคือคำชมเชยตรงไปตรงมาอย่างเมื่อครู่นี้
“หลานทำได้แน่นอน! หลานมาหอทรงปัญญาก็ด้วยเรื่องนี้ คนที่นี่ต่างก็ร่ำเรียนกันมามากมาย และล้วนอ่านสิ่งที่หลานเขียนกันเข้าใจทั้งสิ้น! ยิ่งไปกว่านั้นฉางไต้ซือ ท่านหนึ่งก็บอกว่าบทกวีที่ข้าเขียนไม่เลวเลย!”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
แต่เขาพูดโกหกเสียแล้ว
เพราะฉางอี้ซานไม่เคยบอกว่าบทกวีที่เขาเขียนไม่เลว เพียงได้ยินว่าเขาเขียนบทกวีเป็นเท่านั้น
ส่วนที่บอกว่าไม่เลว กลับเป็นคำที่เขากล่าวออกมาเองในคราวนั้น
ยามคนเราเร่งร้อนพิสูจน์ตนเอง ก็หนีไม่พ้นการอ้างเอาผู้ทรงอิทธิพลสักคนสองคนมาช่วยสนับสนุนตน
ต่อให้เป็นคำที่ปั้นแต่งเอาเอง แต่การอ้างว่ามาจากปากของผู้ทรงอิทธิพลก็ยังเติมเต็มความภาคภูมิใจให้ได้เป็นการชั่วคราว
แต่นี่หาใช่นิสัยที่ดี
การพูดโกหกไม่ว่าจะอย่างไรก็ล้วนไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นจะยิ่งทำให้ติดใจ การติดใจชนิดนี้ น่ากลัวกว่าติดสุราติดการพนันมากมายนัก
ติดสุราเพียงทำลายสติคน ติดการพนันเพียงทำลายชีวิตคน ทว่า การพูดโกหกจนติดเป็นนิสัยกลับสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของคนได้ ทั้งจากภายในสู่ภายนอก แต่บนจรดล่าง
นั่นเพราะหลอกผู้อื่นต้องหลอกตนเองก่อน
คนผู้หนึ่งที่ไม่มีความจริงแท้ให้ตน แล้วจะมีความแท้จริงในชีวิตได้อย่างไร?
รังแต่จะจมปลักอยู่กับความสมบูรณ์แบบที่ตนปั้นแต่งขึ้นและจะถูกครอบงำเข้าไปทุกทีๆ เนิ่นนานเข้าก็จะคิดว่าสมควรเป็นไปดังนี้
เมื่อเขายึดถือเอาคำโกหกเป็นความจริง คนผู้นั้นก็จะไม่มีตัวตนอีกต่อไป
จิ่วซานปั้นเป็นคนที่จริงแท้เป็นที่สุดมาแต่ไร ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้ตนเองจึงพูดโกหก
แต่ความรู้สึกจากการโกหกชนิดนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง
ถึงแม้รู้ดีว่าย่าของตนจะไม่ค้นหาหลักฐาน และไม่อาจหาหลักฐานได้
แต่ตัวเขาก็ยังคงรู้สึกคล้ายถูกเปิดโปงและไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
เขาอยากเอ่ยปากอธิบายกับย่าว่าฉางไต้ซือไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่สิ่งนั้นเป็นความปรารถนาของตน
แต่เขากลับเอ่ยออกไปไม่ได้ ถ้อยคำนี้ก็เหมือนสุราที่ดื่มไปอึกแรกก่อนหน้านี้ ที่ถูกเขาอมไว้ในปาก กลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
………………………..
“เกิดเรื่องใดขึ้นที่นี่?! เหตุใดจึงยิงศรสัญญาณ”
คนที่ฉางอี้ซานได้พบกลับเป็นองครักษ์หอทรงปัญญาสองนาย
เขาไม่ตอบ แต่หยิบแท่นฝนหมึกแท่นหนึ่งและพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากช่องในแขนเสื้อ
“พวกเจ้าทำอะไรกับพวกเขาทั้งสามคน”
ฉางอี้ซานถาม
หลังจากที่คนทั้งสองปรากฏตัวขึ้นใบหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งก็มีแต่รอยยิ้มรัญจวนใจ ทังจงซงคุกเข่าลงร่ำไห้ ฝ่ายจิ่วซานปั้นหลังจากพ่นสุราออกมาก็เหงื่อท่วมตัวซ้ำยังหน้าแดงก่ำไปหมด
“พวกเราคือองครักษ์หอทรงปัญญา ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”
คนทั้งสองถาม
ฉางอี้ซานยิ้มเย็น
องครักษ์หอทรงปัญญาจะไม่บอกย้ำว่าตนเองคือองครักษ์หอทรงปัญญา
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะไม่ได้สวมชุดบัณฑิตของจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด แต่ใบหน้าของตนฉางอี้ซานผู้นี้ ในหอทรงปัญญาไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
แม้ก่อนนี้เขาจะเคยบอกว่าองครักษ์หอทรงปัญญายึดถือแต่กฎไม่พลิกแพลง ไม่ไว้หน้าแม้แต่เขาก็ตาม
แต่อย่างไรเรื่องพิธีรีตองพื้นฐาน องครักษ์หอทรงปัญญาย่อมยังคงปฏิบัติอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วองครักษ์หอทรงปัญญาจะเป็นกลุ่มละห้านาย เมื่อศรสัญญาของตนถูกยิงขึ้น อย่างน้อยพวกที่มาก็ต้องเป็นกลุ่มสามคนจึงจะถูกต้อง
นั่นเพราะศรสัญญาณของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน ด้วยตำแหน่งและระดับการฝึกตนของเขา เมื่อยิงศรสัญญาณย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่
นับจากที่เขายิงศรสัญญาณคราก่อนก็ผ่านมากว่ายี่สิบสามปีแล้ว
ฉางอี้ซานพินิจทั้งสองคนอย่างละเอียด
คนทั้งสองสวมเกราะผ้าทอนูนลายดอกฮว้าน เป็นเครื่องแบบขององครักษ์หอทรงปัญญาจริง
แต่ฉางอี้ซานกลับเห็นว่าที่ร่องสนับไหล่ของคนทั้งสอง มีรอยเลือดอยู่!
ภายใต้เกราะผ้าทอนูนลายดอกฮว้านนี้ ทั้งสองยังสวมชุดสีแดงสดไว้อีกชั้นหนึ่ง
“อาคันตุกะชุดแดง?!”
ฉางอี้ซานร้องด้วยความตกใจ
“มองออกแล้วรึ?”
รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งสอง
“หอทรงปัญญาแยกตนสันโดษมาแต่ไร เพียงศึกษาการบุ๋น ไม่ข้องแวะใต้หล้าและยุทธภพ พวกเจ้าทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด”
ฉางอี้ซานถาม
“ในเมื่อท่านรู้ว่าพวกเราคืออาคันตุกะชุดแดง เช่นนั้นก็คงรู้ว่าพวกเราก็ไม่รู้เรื่องใดๆ เช่นกัน เพียงทำงานถวายชีวิตเท่านั้น”
คนทั้งสองกล่าว
“ทั้งสามคนนี้ไม่ใช่คนของหอทรงปัญญา ยังต้องเล่นงานเขาด้วยรึ”
ฉางอี้ซานกล่าว
มือซ้ายของเขายกแท่นฝนหมึกขึ้นมา
“ไม่ได้เล่นงานพวกเขา หรือพูดได้ว่าพวกเขาไม่ควรค่าให้อาคันตุกะชุดแดงเช่นเราต้องลงมือ…พวกเราก็แค่ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านกำลังจะต้องพบเจอแล้ว ก็นับว่าดีงามกว่ามากนัก!”
คนทั้งสองกล่าว
ว่าพลางดึงเกราะผ้าทอนูนลายดอกฮว้านบนตัวออก เผยชุดคลุมสีแดงที่อยู่เบื้องล่างให้เห็นเต็มตา
ชุดคลุมสีแดงนี้กว้างใหญ่ผิดปกติ สามารถห่อหุ้มทั้งตัวคนเอาไว้ภายใน เผยแต่หัวออกมาเท่านั้น แม้แต่เท้าก็ยังมองไม่เห็น
และชุดคลุมสีแดงนี้ก็สีสดผิดปกติ มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแผ่ออกมา หนักอึ้งยิ่งกว่ากลิ่นคาวเลือดในห้องใส่กรอบที่อยู่ทางด้านหลังเสียอีก
สีหน้าของฉางอี้ซานหนักอึ้ง
เขามองอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองแยกตัวจากกัน คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวาขนาบตนเอาไว้
……………………………….