ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 154 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-5
บทที่ 154 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-5
ยามนี้เข้าวสันตฤดูมานานแล้ว
เมื่ออาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนายปลดเปลื้องการปลอมตัวและเผยให้เห็นชุดแดงบนตัวนั้น ฉางอี้ซานก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่บีบคั้นเข้ามาจากทุกทิศรอบกาย
เป็นวรยุทธ์ชนิดใดกันแน่จึงทำให้บรรยากาศคลุ้มคลั่งรุนแรงเพียงนี้
ฉางอี้ซานไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ทั้งยังคาดคิดไม่ถึงด้วย
แม้ว่าในหลายปีมานี้ชื่อเสียงของอาคันตุกะชุดแดงเป็นที่โจษจันไปทั่วใต้หล้า
แต่เรื่องที่มาของอาคันตุกะชุดแดงนั้นกลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้
รู้เพียงพวกเขาสังกัดพรรคหนึ่ง นามว่า อาภรณ์แดงฉาน
ทว่าพรรคนี้อยู่ที่ใด รับบัญชาจากผู้ใด มีหลักการใด ได้แต่ต้องนึกคิดเอาเองเท่านั้น
แต่ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด ล้วนลงมืออย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้ ไม่เคยปิดบังอำพรางแต่อย่างใด
ด้วยอาภรณ์แดงทั้งกายนั้นสะดุดตาอย่างยิ่ง อีกทั้งในยามที่คนของพรรคอาภรณ์แดงฉานลงมือจะต้องสวมชุดสีแดงทุกครั้ง จึงไม่เคยอำพรางตนมาแต่ไร
อย่างน้อยจนถึงวันนี้ เรื่องที่ฉางอี้ซานได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับพรรคอาภรณ์แดงฉานมีทั้งเรื่องดีและร้ายอย่างละครึ่ง
แน่นอนว่าพวกเขาเคยลงมือสังหารหมู่ที่ฟังแล้วน่าสยดสยองหลายครั้ง แต่ผู้คนที่เขาสังหารล้วนเป็นพวกโจรภูเขาชั่วช้าที่ข่มเหงคนดี
ทั้งยังเคยสังหารหมู่โดยไร้เหตุผลอีกหลายครั้ง คนที่เขาสังหารเป็นผู้คุ้มภัยมีชื่อผู้หนึ่งในอาณาจักรผิงหนานอ๋อง รวมทั้งทำลายโรงจำนำของผู้คุ้มภัยผู้นั้นด้วย
แต่พวกเขาก็เคยซื้อธัญพืชมาช่วยบรรเทาทุกข์ในช่วงเวลาอดอยากยากแค้น และยังเคยส่งคนไปกั้นน้ำยามมีอุทกภัย
เป็นเช่นเด็กผู้หนึ่ง วันนี้พอใจก็ดีกับใต้หล้าเป็นที่สุด วันพรุ่งไม่พอใจก็เบ้ปากไม่ไยดีเจ้า และถึงขั้นหาทางขัดขาเจ้าให้ล้มเมื่อเดินผ่านเจ้าไป
เพียงแต่เมื่อถูกขัดขาล้ม อย่างไรก็ยังลุกขึ้นได้
แต่หากตายแล้ว กลับลุกขึ้นยืนไม่ได้แล้ว
ฉะนั้น จะว่าไปแล้วหลักการลงมือของพรรคอาภรณ์แดงฉานนั้นเรียบง่ายนัก มีเพียงตายหรือเป็น
“อาภรณ์แดงฉานส่งคนมาเพียงสองคน ช่างให้เกียรติข้าแซ่ฉางเสียจริง!”
ฉางอี้ซานกล่าว
“ไม่ใช่ให้เกียรติท่าน แต่ให้เกียรติตี๋เหว่ยไท่”
อาคันตุกะชุดแดงหนึ่งในนั้นเอ่ยปาก
“หมายความว่าอย่างไร”
ฉางอี้ซานถาม
“เพราะพวกเรารู้จักให้ความเคารพ”
อาคันตุกะชุดแดงอีกคนหนึ่งกล่าว
“เคารพหรือ พวกเจ้าอ้างตัวเป็นองครักษ์ของหอทรงปัญญา ซ้ำยังลงมือกับแขกคนสำคัญของหอทรงปัญญาข้า นี่คือความเคารพของพวกเจ้าหรือ”
ฉางอี้ซานกล่าวทั้งสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเราไม่ได้เคารพพิธีรีตรองเหล่านั้น แม้ยามราชสีห์จับกระต่ายยังต้องทุ่มเทสุดกำลัง”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งกล่าว
ฉางอี้ซานยิ้มเย็น
นานแล้วที่ไม่มีคนกล่าววาจายโสเพียงนี้ต่อหน้าเขา แม้แต่ตี๋เหว่ยไท่ก็ยังไม่เคย
ฟังจากน้ำเสียงของสองคนนี้ ราวกับว่าผู้ที่มาทั้งสองมีฐานะสูงส่งยิ่ง
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ใดคือราชสีห์ ผู้ใดคือกระต่าย”
ฉางอี้ซานกล่าว
“แต่ไรมาเคยได้ยินว่าสัตว์แข็งแกร่งอยู่ลำพัง มีเพียงวัวกับแพะที่อยู่กันเป็นฝูง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ผู้ที่ลงมือเพียงลำพังคล้ายว่าจะเป็นข้าน้อยเสียมากกว่า”
ฉางอี้ซานกล่าวต่อ
อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนิ่งเงียบไม่พูดจา
ชุดคลุมสีแดงบนกายก็ไม่ไหวติงเช่นกัน
ฉางอี้ซานเพ่งสายตาไปที่ตัวอาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่ง และแยกจิตไปคลุมอาคันตุกะชุดแดงอีกผู้หนึ่งเอาไว้
เนื่องด้วยนอกจากส่วนหัวของอาคันตุกะชุดแดงสองผู้นี้แล้ว ส่วนอื่นๆ ของร่าง ล้วนอยู่ภายในชุดสีแดงที่ใหญ่และกว้าง เมื่อใดที่พวกเขาลงมือย่อมตั้งตัวไม่ทัน
กับสิ่งที่ไม่รู้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องรู้สึกหวาดกลัว
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ผู้คนเลือกนอนในเวลาค่ำคืน
นั่นเพราะยามกลางวันสว่างชัดแจ้ง รอบทิศล้วนมองเห็นชัดเจน ต่อให้มีเงามืดบ้าง แต่ก็ไม่ได้มืดสนิท
แต่ในยามราตรีกลับไม่เหมือนกัน
ต่อให้เป็นสิ่งของที่คุ้นเคยสักเท่าใดในยามกลางวัน แต่เมื่อถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ต่อให้ดวงจันทร์สว่างอีกเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
ฉางอี้ซานเองก็หวาดกลัวความไม่รู้ ดังนั้นตกกลางคืนเขาก็นอนเช่นกัน
ในเมื่อหวาดกลัว ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปคิดถึง ไม่ต้องไปดู ไม่ต้องไปพิจารณามันเสียเลย
งัวเงียนอนหลับไป รอจนเมื่อตื่นขึ้นก็มีแสงสว่างเจิดจ้าแล้ว ไม่ใช่ว่าทั้งเป็นสุขทั้งดีงามหรอกหรือ!
ทว่าเวลานี้ท้องฟ้ายังคงสว่างนัก ตะวันก็ยังลอยสูง
แต่ไม่ว่าดวงตะวันจะสูงอีกเพียงใดก็ไม่อาจส่องให้ข้างในชุดแดงที่กว้างใหญ่ของอาคันตุกะชุดแดงสว่างขึ้นได้
ฉางอี้ซานไม่รู้ว่าในมือที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมสีแดงของคนทั้งสองจะแฝงเร้นด้วยอาวุธลับเต็มมือ หรือกำลังถือดาบ หรือเป็นกระบี่ที่ยังไม่ได้ชักออกมา
ไอสังหารรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฉางอี้ซานรู้สึกว่าตัวเขาเย็นขึ้นเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่คิดว่านี่เป็นความจริง
เพราะบทลงเอยของพวกหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคนนั้น เห็นชัดอยู่ว่าต้องโดนวิชาควบคุมจิตชนิดหนึ่งเข้า
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองก็โดนวิชานี้ด้วยเช่นกัน
ฉางอี้ซานมีข้อดีที่สุดข้อหนึ่งก็คือเขาจะวางตนอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดอยู่เสมอ
ไม่ว่ากับผู้ใดที่อยู่รอบกาย หรือเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้น เขาล้วนแหงนหน้าขึ้นมอง[1]ทั้งสิ้น
เพราะเขาคิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงสามารถมองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองแล้วรู้สึกว่าไม่มีความหมายใดแล้วจริงๆ ค่อยลุกขึ้นยืน เพื่อมองในระดับเดียวกัน ไปจนถึงก้มลงมองก็ยังทันการณ์ทั้งสิ้น
แต่เมื่อเห็นว่ามีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนแท่นฝนหมึกของตนชั้นหนึ่ง เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา
ฉางอี้ซานไม่ชอบอากาศเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง
ในฤดูหนาวหากเขาไม่ไปในที่ที่อบอุ่น เขาก็จะกอดเตาไฟอยู่แต่ในห้อง มองแสงอาทิตย์อันอบอุ่นข้างนอกหน้าต่าง
ด้วยระดับการฝึกตนของเขา ถึงขั้นที่ร้อนหนาวไม่อาจกล้ำกรายมานานแล้ว
ดังนั้น การโหยหาความอบอุ่นเช่นนี้ก็เป็นเพียงความเคยชินประเภทหนึ่งเท่านั้น
แต่เขาเป็นคนที่เกิดและเติบโตในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง แล้วเหตุใดจึงฝักใฝ่ในความอบอุ่นถึงเพียงนี้ ควรปรับตัวได้นานแล้วถึงจะถูก
ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไอสังหารเช่นนี้ ฉางอี้ซานกลับนึกถึงภาพที่ตนเล่นหิมะตอนยังเด็ก
ภาพที่ถือหิมะไว้ในมือ เพียงเผลอไผลชั่วอึดใจมันก็ละลายกลายเป็นน้ำจนหมด ทำให้เขาเศร้าเสียใจนัก
แต่เมื่อมือน้อยๆ ที่เย็นเฉียบจนแดงก่ำของตนรู้สึกถึงความเจ็บแสบตามมากลับยิ่งทำให้เขาเดือดร้อนใจ
ด้วยเหตุนี้เอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาจึงหมายหัวเอาไว้ว่าหิมะคือสิ่งที่แล้งน้ำใจที่สุดในใต้หล้า
ทั้งที่ข้าประคองเจ้าไว้ในอุ้งมือ ประคบประหงมอย่างระมัดระวัง เจ้าไม่เพียงช่วงชิงความอบอุ่นจากมือทั้งคู่ของข้าไปเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมหยุดอยู่เป็นเพื่อนข้าแม้สักชั่วอึดใจ
ยอมละลายกลายเป็นน้ำไหลลงตามซอกนิ้วมือดีกว่ารวมกันอยู่บนมือข้า
ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
แต่เวลานี้ ฉางอี้ซานกลับอิจฉาหิมะยิ่งนัก
เพราะเมื่อใดที่มันพึงพอใจก็สามารถกลายเป็นน้ำแข็ง ยามที่ไม่พอใจก็สามารถละลายกลายเป็นน้ำได้
แต่ตนเอง ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจก็ล้วนจำต้องเอาตัวรอดไปวันๆ อยู่ในโลกหล้าอันน่าสะอิดสะเอียนแห่งนี้
แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างดียิ่ง ดีเสียจนจะมีสักกี่คนในใต้หล้านี้ที่ดีได้ทัดเทียมเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเพียงแค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงริษยาความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของหิมะยิ่งนัก
………………………..
เมื่อตั้งสติกลับมาได้ เขาพบว่าตรงหน้ามีหิมะตกหนักอยู่จริงๆ
เขาเอื้อมมือออกไปรับเกล็ดหิมะสองสามเกล็ด พบว่าเกล็ดหิมะเหล่านี้ไม่ละลายไปในมือเขา
“หิมะนี้ตกลงมาได้ดียิ่ง”
ฉางอี้ซานกล่าวออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“หิมะนี้เป็นอย่างที่ท่านชื่นชอบ”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งกล่าว
“ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใดพวกเจ้าล้วนให้ข้าได้หรือ”
ฉางอี้ซานถาม
“ไม่ได้ พวกเราเป็นคน ไม่ใช่เทพเซียน”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
“แล้วเหตุใดจึงบอกว่าหิมะนี้เป็นอย่างที่ข้าชื่นชอบเล่า”
ฉางอี้ซานถาม
อาคันตุกะชุดแดงไม่เอ่ยคำใด
คำถามนี้ เขาไม่อาจตอบได้
แต่สิ่งที่พวกเขาใช้ก็คือวิชาควบคุมจิตชนิดหนึ่งจริงๆ
วิชาชนิดนี้ เรียกว่าหิมะล่องแดนมนุษย์
แต่ที่ใช้กับพวกของหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคน ก็คือวสันต์หวนปฐพี
ไม่ว่าจะมีนามใด ภาพลวงตาก็คือภาพลวงตา
แต่ภาพลวงตานี้ไม่ได้อุปโลกน์ขึ้นมาลอยๆ ที่จริงแล้วมันก็เหมือนกับนอนหลับฝัน
ทิวามีความคิด ราตรีจึงจะฝันได้
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือกระตุ้นจุดที่อ่อนแอในส่วนลึกที่สุดของใจคนขึ้นมานั่นเอง
คนผู้หนึ่งไม่ว่าภายนอกจะแข็งแกร่งเพียงใด ภายในจิตใจของเขาจะต้องมีความอ่อนแอเล็กๆ อยู่ส่วนหนึ่ง
ซึ่งนี่ก็คือเขตหวงห้าม
แม้กระทั่งบางครั้งตนเองยังหลงลืมไปนานแล้ว
หรือต่อให้ไม่ได้หลงลืม ก็จะไม่ล่วงล้ำเข้าไปง่ายๆ เป็นเด็ดขาด
ไม่มีผู้ใดที่ไม่โหยหาความอ่อนโยนและความอบอุ่น
เมื่อใดที่ความโหยหานี้หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไม่อาจถอนตัวได้
ฉางอี้ซานยิ้มน้อยๆ กำมือจนกลายเป็นหมัด
แต่เกล็ดหิมะนั้นกลับเป็นเหมือนกระดาษ มันแหลกละเอียด พอแบมือออกอีกครั้งก็มีเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนร่วงลงมา
จากนั้น หิมะที่ตกหนักตรงหน้าพลันหายวับไปกับตา
อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนเห็นภาพนี้พลันขมวดคิ้วน้อยๆ
พวกเขาประเมินระดับจิตของฉางอี้ซานต่ำเกินไป
คิดไม่ถึงว่าเขาสามารถควบคุมความอ่อนแอในจิตใจได้
เขาไม่ยอมเข้าไป เพราะเขาไม่ต้องการ
แต่หากเขาต้องการเข้าไป ก็ยังสามารถถอนตัวออกมาได้ทุกเมื่อ
ทว่า สายตาที่ฉางอี้ซานมองอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองในยามนี้กลับอ่อนโยลงมาก
เพราะภาพเมื่อครู่นี้ช่างงดงามเหลือเกิน
โดยเฉพาะที่เวลานี้ทั้งสองยื่นมือออกมานอกชุดคลุมสีแดงนั้นแล้ว
มือข้างหนึ่งถือกระบี่เล่มหนึ่ง
เป็นกระบี่สีเหลืองประกาย ราวกับตีออกมาจากทองคำบริสุทธิ์
หิมะขาว ชุดคลุมสีแดง กระบี่ทอง
นี่เป็นภาพน่าประทับใจเพียงใด
ฉางอี้ซานเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง
บัณฑิตยอมละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป
เวลานี้เขารู้สึกประทับใจจนน้ำตาเอ่อ
เขาอยากดื่มสุรา และยังอยากเขียนบทกวีด้วย
แม้อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนนี้จะมาด้วยเจตนาร้าย แต่เขาก็ยังอยากร่ำสุรากับทั้งสอง จากนั้นก็เขียนบทกวีเรื่อยๆ สักหลายๆ บทมอบให้พวกเขาทั้งสอง
“ยามพวกเจ้าสังหารคน ล้วนมีภาพเช่นนี้หรือ”
ฉางอี้ซานถาม
………………………………………
[1] แหงนหน้าขึ้นมอง หมายถึง ประเมินสูงเอาไว้ก่อน