ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 159 ภูผาทับซ้อนธารน้ำคดเคี้ยว-2
บทที่ 159 ภูผาทับซ้อนธารน้ำคดเคี้ยว-2
“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดหรือ”
ทังจงซงถาม
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลิวรุ่ยอิ่งก็กลายเป็นหัวใจหลักของคนกลุ่มนี้ไปเสียแล้ว
เดิมทีทังจงซงเป็นคนชอบใช้สมองออกความคิดและตัดสินใจเป็นที่สุด
แต่ตอนนี้มีหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ เขาก็ยินดีจะอยู่ว่างๆ สบายๆ
รู้สึกว่าการเดินตามไปเช่นนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไร ไม่มีสิ่งใดให้ไม่สบายใจหรือไม่พอใจ
“พวกเราควรทำงานของตนสักหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบป้ายคำสั่งที่ตี๋เหว่ยไท่ให้ตนในวันนั้นออกมาจากอกเสื้อพลางกล่าว
เขาอยากช่วยล้างความสงสัยให้จิ่วซานปั้น จากนั้นค่อยไปจัดการเรื่องของมนุษย์แท่งน้ำแข็งและเรื่องๆ ทีหลัง
“ดังนั้น ในวันนั้นเจ้ากลับไปยังที่พักก่อน หรือไปที่ริมแม่น้ำไหลสี่ฤดูพร้อมกับเหลี่ยงเฟินเพื่อประลองฝีมือกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขาไม่มีความทรงจำที่ครบถ้วนเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นเลย
เพียงได้ยินจากถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อของพี่น้องเบญจลักขีและจิ่วซานปั้นว่าศพของเหลี่ยงเฟินถูกพบในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น
“ข้ากลับที่พักก่อน”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งจึงพาทั้งสองคนไปยังที่พักของจิ่วซานปั้น
ตอนเดินไปถึงหน้าประตูบ้านหลังเล็ก จิ่วซานปั้นก็หยุดเดิน
“ตอนเขามาส่งข้า ที่นี่มีแต่ความมืด จากนั้นเขาก็ขว้างหมากบินขึ้นลงหลายครั้งเพื่อจุดโคมทั้งในลานบ้านและในบ้านจนสว่าง ข้าสนใจวิชาขว้างหมากแสนยอดเยี่ยมนี้ของเขาอย่างยิ่ง เขาจึงบอกว่าสอนให้ข้าได้ แต่ให้ข้ากลับไปรอในบ้านก่อน คล้ายว่าเขามีงานบางอย่างต้องทำ ส่วนที่รออยู่ในบ้านนานเท่าใด ข้าเองก็จำไม่ค่อยได้ แต่อย่างน้อยน่าจะราวหนึ่งหรือสองชั่วยาม จากนั้นเหลี่ยงเฟินก็มาหาข้า”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เป็นหนึ่งชั่วยามหรือว่าสองชั่วยามกันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขาจับประเด็นสำคัญได้อย่างหนึ่ง
ซึ่งก็คือหลังจากเหลี่ยงเฟินไปส่งจิ่วซานปั้นยังที่พักแล้ว เขาก็จากไปโดยลำพังเป็นเวลานาน
ระหว่างนั้นเขาได้พบกับผู้ใด ทำเรื่องใด
พี่น้องเบญจลักขีเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ฟังจากคำบอกเล่าของพวกเขาว่าเหลี่ยงเฟินไม่ได้กลับมาทั้งคืน รอจนพบตัวเขาอีกครั้งก็กลายเป็นศพ เนื้อตัวเน่าเปื่อยหมดแล้ว
ยิ่งทิ้งช่วงนานเท่าใด ก็จะยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น
คนที่จะไปพบได้และเรื่องที่ทำได้ในเวลาหนึ่งหรือสองชั่วยามย่อมแตกต่างกันอย่างยิ่ง
ฉะนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงอยากแน่ใจเรื่องเวลาซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญนี้
“ข้าไม่รู้…ตัวข้านี้ เดิมทีก็ไม่มีความรู้สึกเรื่องเวลา ระหว่างรอเขาก็ดื่มสุราไปพลาง ลองเขวี้ยงหมากเหมือนที่เขาทำก่อนหน้านี้ไปพลาง หาเรื่องทำรอเขาไปพลางๆ”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ตอนที่เหลี่ยงเฟินกลับมาหาเจ้า พวกเจ้าได้อยู่ในบ้านกันสักครู่ก่อนหรือไม่”
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าจิ่วซานปั้นไม่อาจบอกระยะเวลาช่วงนั้นได้ชัดเจนจริงๆ จึงทำได้แค่ถามเรื่องอื่นต่อไป
“ไม่ได้อยู่ เขาเขวี้ยงหมากเข้ามาในบ้านหนหนึ่ง เมื่อข้าเห็นก็รู้ว่าเขามาแล้ว แต่พอข้าออกไป ข้างนอกกลับไม่มีแม้แต่เงาคน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนไปพบกันได้อย่างไร”
ทังจงซงเองก็รู้สึกว่าจิ่วซานปั้นอธิบายได้พิลึกนัก
จิ่วซานปั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แต่ไม่ว่าเหลี่ยงเฟินทำการใดจะต้องอยู่ในกรอบเสมอ ไม่น่าออกนอกลู่นอกทาง
“เขาเอาแต่ขว้างหมากใส่เท้าข้า แต่ละก้าวพาข้าเดินมาจนถึงแม่น้ำไหลสี่ฤดู จากนั้นพวกเราสองคนยืนอยู่กับที่ พูดกันไม่กี่ประโยคก็เกิดไม่พอใจจึงประมือกัน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“กระบี่ของเจ้าเสียหายได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ก็เพราะไปรับหมากบินของเขาน่ะสิ แม้ข้าใช้กระบี่รับเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่กระบี่ของข้ากลับไม่เอาไหน…หลังจากรับหมากบินทั้งหมดไปแล้วกระบี่ก็หัก”
จิ่วซานปั้นเอ่ย
“จากนั้นเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งร้อนใจนัก
แต่จิ่วซานปั้นกลับเอาแต่เนิบนาบ พูดไม่กี่ประโยคก็ต้องดื่มสุราอึกหนึ่ง
แต่จู่ๆ ดวงตาของทังจงซงกลับเป็นประกายขึ้นมา
เมื่อครู่ตอนที่จิ่วซานปั้นคารวะหลิวรุ่ยอิ่งด้วยสุราหนึ่งอึกนั้น หลิวรุ่ยอิ่งใช้มือกะน้ำหนักขวดน้ำเต้าสุรา เขาได้ยินว่าสุราที่อยู่ในน้ำเต้าน่าจะมีประมาณครึ่งขวด
เมื่อดูจากความเร็วในการดื่มสุราของจิ่วซานปั้นสุราครึ่งขวดนี้ ควรดื่มหมดไปนานแล้วจึงจะถูก
แต่เสียงในขวดน้ำเต้าสุราที่จิ่วซานปั้นยกขึ้นและวางลงในเวลานี้ ฟังดูแล้วกลับยังคงมีอยู่ครึ่งขวด
ไม่มากและไม่น้อยจากเดิม
‘เคล็ดหวนต้นกำเนิดกลายสุรา…’
ทังจงซงท่องชื่อวิชาประหลาดนี้ในใจหนหนึ่ง
คิดว่าเมื่อมีโอกาสจะต้องไปสอบถามตาเฒ่าบัณฑิตจางดู
หากมีจริงดังว่า คิดว่าเขาน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง
“พอกระบี่ข้าหัก เหลี่ยงเฟินก็หยุดมือ แต่หลังจากนั้น พวกเราก็มาประลองหมัดและเท้ากันอีกยกหนึ่ง! เฮ้อ! หมัดและเท้าของเขาน่าสนใจยิ่ง เหมือนล่อให้ติดกับ มีเพียงรุกไม่มีรับ ชื่อวิถีรวมเป็นหนึ่งอะไรสักอย่าง….”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถึงเรื่องที่ตนสนใจก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งสนใจ
“สุดท้ายเจ้าจากที่นั่นมาได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขัดจังหวะจิ่วซานปั้นขึ้นมา
“ประลองกันเสร็จ ข้าก็จากมาทั้งอย่างนั้น แต่ข้าไม่ได้กลับไปเพราะกระบี่ข้าพังแล้ว ข้าอยากไปตีขึ้นใหม่สักเล่ม คิดว่าในเมื่อมาถึงแม่น้ำไหลสี่ฤดูแล้ว เช่นนั้นหากเดินต่อไปข้างหน้าอีกก็จะกลับไปยังเมืองจิ่งผิง และไปตีกระบี่เล่มใหม่ที่ร้านตีเหล็กของลู่หมิงหมิงได้”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางเผยมือออก
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
“จากนั้นเขาก็ไปที่ร้านอาหารแปลกๆ นั่น พูดคุยกับเถ้าแก่ประหลาดๆ ผู้นั้นว่าต้องการน้ำมาล้างหน้า ต่อมาพวกเราก็ได้พบกับพี่น้องเบญจลักขีที่เหลืออีกสี่คน และเรื่องหลังจากนั้นทุกคนก็ล้วนรู้กันแล้ว”
ทังจงซงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบไม่พูด
เพราะเขานึกถึงรายละเอียดข้อหนึ่งในคำพูดของจิ่วซานปั้นในวันนั้นขึ้นมาได้
นั่นก็คือตอนที่เหลี่ยงเฟินลงมืออีกครั้ง กลับมีหมากบินเพิ่มจากปกติมาสี่เม็ดโดยไร้สาเหตุ
แม้จะเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเพราะท้องฟ้ามืดมิดมองเห็นไม่ถนัดตา แต่จิ่วซานปั้นกลับพูดอย่างมั่นใจนัก
หากเป็นจริงดังนี้ ก็สามารถบอกได้แน่ชัดแค่เพียงว่าตอนที่เหลี่ยงเฟินประมือกับจิ่วซานปั้นในคืนนั้นยังมีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่นด้วย
“พวกเราไปดูที่แม่น้ำไหลสี่ฤดูกันเถอะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
การไล่ย้อนกลับไปยังจุดกำเนิด คือสิ่งสำคัญที่สุดในการสืบสวนคดี
แม้ตอนนี้จะผ่านมาแล้วหลายวัน แต่สถานที่โดยรวมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก หนำซ้ำยังมีจิ่วซานปั้นที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่ข้างกายด้วย
ให้เขากลับไปที่เกิดเหตุในเวลานั้น ก็ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงอาจนึกถึงบางเรื่องที่หลงลืมไปแล้วขึ้นมาก็ได้
ที่คนเราหลงลืมไปก็เพราะเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญเกินไป
แต่บ่อยครั้งนักที่ในความธรรมดาสามัญเหล่านั้นกลับแฝงเรื่องไม่ธรรมดาที่อยู่เหนือความคาดคิดไว้
และก็เป็นเพราะเรื่องไม่ธรรมดาเหล่านี้สั่งสมกันมากๆ เข้า จึงทำให้เกิดเรื่องที่ผิดจากปกติจนก่อตัวกันกลายเป็นข้อยกเว้น
เมื่อข้อยกเว้นมีมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น คนจึงตาย
…………………
“จะว่าไปแล้ว เหลี่ยงเฟินก็เป็นคนน่าสงสารผู้หนึ่งแท้ๆ”
จู่ๆ จิ่วซานปั้นก็กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง
“หมายความว่าอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขาเข้าใจเหลี่ยงเฟินไม่มากเท่าไร คำที่เคยสนทนากันก็ไม่เกินสิบประโยค
“เขาอ้างว้างเกินไป…”
จิ่วซานปั้นกล่าวถ้อยคำแสนคลุมเครืออย่างยิ่ง
คำว่าอ้างว้างนี้จะให้คำจำกัดความอย่างไร
หากเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความบันเทิงของตน ดำดิ่งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของตน นี่ก็นับว่าอ้างว้างด้วยหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกว่าเหลี่ยงเฟินเป็นคนอ้างว้าง
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองครักษ์ข้างกายตี๋เหว่ยไท่
ต้องสมาคมกับผู้คนหลากหลายประเภทอยู่แทบทุกชั่วขณะ ซึ่งก็หมายความว่าสามารถเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ
ฉะนั้น เขาจะอ้างว้างได้อย่างไร
เขาต้องมีกิจยุ่งอย่างยิ่งจึงจะถูก
และคนที่มีกิจยุ่งจะไม่อ้างว้าง
เพราะเขาแทบไม่มีเวลาของตนเอง
หากบอกว่าเหลี่ยงเฟินเป็นคนเย็นชาหลิวรุ่ยอิ่งยังค่อนข้างเห็นด้วยมากกว่า
เพราะเขาแทบไม่มีอารมณ์ไปสนใจคนที่อยู่นอกเหนือขอบเขตหน้าที่การงาน
“ความอ้างว้างประเภทนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขามักกินข้าวหรือไปไหนมาไหนคนเดียว แต่คือความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่งที่ข้าสัมผัสได้จากหมากบินทุกตัวที่เขาซัดออกมา ผู้ที่เด็ดเดี่ยวมักอ้างว้างยิ่งนัก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
แววตาของทังจงซงพลันหม่นหมอง
เหลี่ยงเฟินเด็ดเดี่ยว แล้วเขาจะไม่ใช่เหมือนกันหรือ
แม้ตนจะบรรเลงเพลงทุกค่ำคืน ดื่มสุราเคล้านารี แต่เมื่อขุดลงให้ถึงราก เขากลับอ้างว้างยิ่งนัก
ทังจงซงพลันรู้สึกเสียดายและหดหู่กับการตายของเหลี่ยงเฟิน
เพราะหากอยากพบเจอผู้ใดสักคนที่เหมือนกับตนบนโลกนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
แต่ในยามที่เขารู้ว่าคนผู้นี้เหมือนกับตนเอง คนผู้นั้นก็ได้ตายไปเสียแล้ว..
คนสองคนที่ต่างก็อ้างว้าง ไม่แน่ว่าอาจมีบางเรื่องที่สนทนาถูกคอกัน ไม่แน่ว่าอาจปลดเปลื้องความอ้างว้างไปเพราะเหตุนี้ด้วย
แม้จะปลดเปลื้องได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
แต่ยามนี้กลับไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว
เขาเพียงรู้ว่าใต้หล้าแห่งนี้ มีคนอ้างว้างแสนเด็ดเดี่ยวน้อยลงไปอีกผู้หนึ่งแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ทังจงซงรู้สึกว่าตนเองอ้างว้างมากยิ่งขึ้น
“ยังมีความรู้สึกอื่นใดอีกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขาเองก็อ้างว้าง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของทังจงซง
ฉะนั้นเขาจึงอยากให้หัวข้อนี้ผ่านไปไวๆ
แต่หลังจากจิ่วซานปั้นดื่มสุราไปอึกหนึ่ง กลับส่ายหัวเป็นนัยว่าไม่มีความรู้สึกอื่นอีกแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งถอนใจเบาๆ
ตี๋เหว่ยไท่เขียนบทกวีไว้อาลัยให้เหลี่ยงเฟิน เขาจดจำได้ชัดเจนยิ่ง
หากบทกวีนั้นไม่ได้มีองค์ประกอบที่เกินจริง หรือใช้วาทศิลป์จนมากเกินไป เช่นนั้นเหลี่ยงเฟินก็นับได้ว่าเป็นผู้กล้าที่ห้าวหาญโดยแท้
ผู้กล้าที่แท้จริง ใช่ว่าดูเพียงตบะยุทธ์ของเขาสูงแค่ไหน มีอำนาจและเงินทองมากมายเพียงใด แต่ต้องมองที่คุณธรรมและจิตใจร่วมด้วย
ทว่าคุณธรรมและจิตใจที่เป็นรูปธรรมนั้นคือสิ่งใด หลิวรุ่ยอิ่งก็อธิบายออกมาไม่ได้…
แต่เขากลับรู้สึกว่าผู้กล้าไม่ควรอ้างว้าง ผู้กล้าก็สามารถมีความสุขได้!
หากให้เขาต้องปั้นหน้าบึ้งตึง คิ้วขมวดอยู่ทุกวัน ผู้กล้าเช่นนี้ไม่ต้องเป็นก็ได้
ในยามที่ควรจริงจังก็ควรเคร่งขรึม ในยามที่ควรครึกครื้นก็ควรเบิกบาน เหตุใดจะเป็นผู้กล้าที่มีความสุขไม่ได้
“อย่างไรก็ควรเบิกบานบ้าง อย่าได้อ้างว้างเพียงนั้น”
แม้ว่าความคิดและอารมณ์กำลังอลหม่านอยู่
หลิวรุ่ยอิ่งกลับพูดออกมาได้เพียงประโยคเดียว
“พวกเราเดินเร็วหน่อยเถิด ไปดูที่เกิดเหตุให้แน่ชัด”
ทังจงซงโพล่งขึ้นมา
“เหตุใดจู่ๆ ถึงรีบร้อนเพียงนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างประหลาดใจ
เพราะเขามองออกว่าทังจงซงเหมือนจะกลับมากระปรี้กระเปร่าแล้ว
“ก็เพราะค่ำคืนนี้จะมีสุรานารีในหอจันทร์กระจ่าง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็มีความสุขแล้ว!”
ทังจงซงกล่าว
“ฮ่าๆๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะลั่น
พลางดึงตัวจิ่วซานปั้นให้รีบเดินตามไป
………………………………………