ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 170 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-9
บทที่ 170 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-9
ไม่ว่าจะเป็นดอกชงโค ดอกอิงฮวา ดอกท้อ หรือดอกซิ่งฮวา
หลังจากพยายามเบ่งบานไปจนหมดหนึ่งฤดูกาล ล้วนไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมแห่งการโรยราไปได้
ทว่าการซ่อนกายไว้อย่างลึกล้ำและการบ่มเพาะตลอดฤดูหนาว ทำให้พวกมันยังคงเบ่งบานได้อีกครั้งในฤดูกาลนี้ของปีหน้า
หากรอยยิ้มของคนก็เป็นเช่นนี้ได้ จะดีเพียงใด
น่าเสียดายที่รอยยิ้มของคน ล้วนเป็นความรู้สึกเพียงชั่วอึดใจ
มันไม่มีเวลาให้บ่มเพาะ และไม่มีโอกาสให้ยิ้มอีกครั้ง
ครั้งนี้ยิ้มไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะยิ้มได้อีกครั้ง
ทว่าในอารามและยุทธภพล้วนมีเรื่องเล่าขานเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือ ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าใด รอยยิ้มยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ดาบและกระบี่ถูกชักออกมามากครั้งเท่าใด รอยยิ้มก็จะน้อยลงเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องราวเกินคาดเดาในแดนมนุษย์นั้นมากมายยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในแผนการและหลักเหตุผลมากนัก
ปลายกระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋อจ่ออยู่ที่ลำคอของคนประหลาดพันผ้า
แต่ก็ทำได้เพียงจ่ออยู่ตรงนั้น
นางขับพลังปราณทั่วร่าง แต่ก็ยังไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้โอวเสี่ยวเอ๋อจึงยิ้มไม่ออก
นี่ยังนับเป็นคอของมนุษย์อีกหรือ
โอวเสี่ยวเอ๋อยังคิดว่าตนแทงแผ่นเหล็กเสียอีก
แต่ต่อให้เป็นแผ่นเหล็กจริงๆ
ความคมของกระบี่ชงโคและพลังยุทธที่นางรวบรวมเข้าจู่โจมเป็นจุดเดียวก็ควรแทงทะลุไปได้ในหนเดียวจึงจะถูก
คนประหลาดพันผ้าใช้สองนิ้วคีบปลายกระบี่ชงโคเบาๆ เพื่อขยับออกให้พ้นคอ
จากนั้นก็มองโอวเสี่ยวเอ๋อ ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง
แม้ใบหน้าทั้งหมดของเขาถูกผ้าพันปิดไว้จนหมด
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยังสัมผัสได้ว่าเขามีสีหน้ายิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง
โอวเสี่ยวเอ๋อเม้มริมฝีปากแน่น
มุมปากมีเลือดสดไหลออกมาสายหนึ่ง
ยามนี้นางไม่ได้หวาดกลัวแล้ว
แต่เคียดแค้น
ทั้งที่แทงกระบี่ออกไปในนามของความรับผิดชอบและการปกป้อง
แต่จนใจนักที่ความสามารถของตนมีจำกัด
ไม่อาจแบกรับเป้าหมายที่หนักหน่วงเพียงนี้ได้
เวลานี้ ทำได้เพียงปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจเท่านั้น
คนประหลาดพันผ้าไม่รู้หยิบเม็ดหมากออกมาจากที่ใดอีก
เขาคีบเม็ดหมากเล่นอยู่ระหว่างนิ้วมือ
ไม่รู้เพราะเหตุใด โอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกว่าคนประหลาดพันผ้ามีกลิ่นอายของมนุษย์มากขึ้น
กลิ่นอายมนุษย์นี้ ไม่ได้หมายถึงความมีน้ำใจ
บางคนนิสัยเย็นชา มีกลิ่นอายของมนุษย์บางเบา
บางคนน้ำใจอบอุ่น มีกลิ่นอายของมนุษย์ชัดเจนยิ่งนัก
กลิ่นอายของมนุษย์ที่โอวเสี่ยวเอ๋อหมายถึงก็คือวิธีที่เขาแสดงอาการ
คนประหลาดพันผ้าผู้นี้เรียกได้ว่าเหมือนเครื่องมือที่ไขลานเสร็จแล้วเครื่องหนึ่ง
ทุกอิริยาบถล้วนตายตัวไม่พลิกแพลง
เห็นชัดว่าการสังหารคน ไม่ใช่เป้าหมายของเขาในวันนี้
ที่เขาลงมือกับโอวเสี่ยวเอ๋อก็เพียงเพราะโอวเสี่ยวเอ๋อเข้ามาขัดขวางสิ่งที่เขากำลังทำและกำลังจะสำเร็จก็เท่านั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นเม็ดหมากพลิกไปมาบนนิ้วมือของเขาหลายรอบ จากนั้นก็ซัดเข้ามาตรงหน้านางห่างออกไปสิบชุ่น
หมากบินเม็ดนี้ร่วงลงพื้นราวกับวาดเส้นแบ่งความเป็นตายเส้นหนึ่ง
ถ้าโอวเสี่ยวเอ๋อไม่รู้ความและขืนข้ามหมากเม็ดนี้มา เขาอาจจะลงมือถึงที่สุดก็เป็นได้
คนประหลาดพันผ้าเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อเหม่อมองหมากบนพื้นเม็ดนี้ไม่วางตา จึงหันหลังกลับไปอย่างพึงพอใจ และเริ่มพลิกค้นตู้และเตียงของหลิวรุ่ยอิ่งต่อ
โอวเสี่ยวเอ๋อมองเม็ดหมากที่อยู่บนพื้นนี้
พลันคิดถึงคืนวันนั้น…
…………………
คืนวันนั้น ทุกคนต่างนึกว่านางหลงลืมไปนานแล้ว หรือไม่ก็จดจำคืนวันนั้นไม่ได้แต่อย่างใด
คืนวันนั้น เป็นคืนก่อนที่นางจะเข้ามายังตระกูลโอว
จุดเริ่มของคืนวันนั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นกระบี่สั้นเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในลำคอของบิดานาง
นั่นคือ บิดาบังเกิดเกล้าของนาง
และนับจากนั้นเป็นต้นมา นางจึงได้รู้ว่าเมื่อกระบี่แทงเข้าไปในลำคอของคนเลือดจะไม่ไหลออกมามากนัก จะมีเลือดกระเด็นออกมาเพียงสายหนึ่ง
นางเห็นกับตาว่าบิดาของนางล้มลงกับพื้น และสิ่งแรกที่เขาทำคือลูบหัวนางด้วยความรัก
จากนั้นนางก็เดินเข้ามาอย่างเยือกเย็น เก็บดาบของบิดาขึ้นมา และยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู
บิดาของโอวเสี่ยวเอ๋อใช้ดาบ
แต่ก่อนคืนวันนั้นโอวเสี่ยวเอ๋อกลับไม่รู้แต่อย่างใดว่าบิดาของนางใช้ดาบ
เพียงรู้สึกว่าบิดาของตนมีธุระยุ่งนัก ทุกคราวที่ออกจากเรือนจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานจึงค่อยกลับมา
คราวก่อนที่บิดาออกจากเรือนไปโอวเสี่ยวเอ๋อเพิ่งจะพูดเป็น
นางสอบถามมารดาด้วยเสียงอือๆ อาๆ ฟังไม่ชัดเจนว่าบิดาไปที่แห่งใด
มารดาบอกว่าบิดาไปทำธุระที่รัฐเวยใต้ ในดินแดนของหนานผิงอ๋อง เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วก็จะกลับมา
จากนั้นมารดาก็เริ่มสอนให้นางฝึกการใช้ดาบ
เพียงแต่ดาบที่นางใช้ในเวลานั้นไม่ใช่ดาบจริง
แต่เป็นมีดสั้นเล่มหนึ่ง
แม้จะบอกว่าเป็นการฝึกดาบ แต่ก็เป็นเพียงการถือมีดสั้นแทงสะเปะสะปะเข้าไปในเบาะที่ยัดนุ่นเอาไว้จนเต็มเท่านั้น
ทว่าจะมีมารดาคนใดที่ให้มีดสั้นแก่บุตรสาวที่เพิ่งพูดได้ไว้เป็นของเล่น
เด็กหญิงตัวน้อยล้วนชอบเล่นขายของ ชอบตุ๊กตาผ้าทั้งสิ้น
โอวเสี่ยวเอ๋อก็เช่นกัน
นางมีตุ๊กตาผ้ารูปร่างกระต่ายตัวหนึ่ง
นางจำไม่ได้ว่าตุ๊กตาตัวนี้มาจากที่ใด รู้แต่เพียงว่ายามลืมตาขึ้นมาทุกวันในตอนเช้าก็จะเห็นมันนอนอยู่ข้างกายตน
ตอนนั้นโอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้ชอบตุ๊กตาผ้าตัวนี้
เพราะรูปร่างของมันไม่งดงามแม้แต่น้อย
หูสองข้างใหญ่ไม่เท่ากัน มือข้างหนึ่งยังขาดไปครึ่งหนึ่ง เหลือเส้นด้ายสองสามเส้นเชื่อมต่อเอาไว้เท่านั้น
ตอนที่นางรู้ว่าตนเองชอบตุ๊กตาผ้านี้อย่างยิ่ง ก็คือหลังจากที่นางใช้มีดสั้นแทงเบาะยัดนุ่นจนขาดวิ่นแล้ว
มารดาเอาเบาะนั้นไป และเปลี่ยนมาใช้ตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นของนางแทน
โอวเสี่ยวเอ๋อแทงไม่ลง
สองมือของนางถือมีดสั้นเเละร้องไห้ขึ้นมา
มารดายืนมองนางอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่ปลอบทั้งไม่เร่งรัดนาง
มารดาเพียงใช้มือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้นางตอนที่นางร้องไห้เสร็จเท่านั้น
จากนั้นบอกว่า
“ในชีวิตจะมีสิ่งของมากมายที่อยู่เคียงข้างเจ้ามาเนิ่นนาน ดูคล้ายว่ามีค่ายิ่งและไม่อาจละทิ้งไปได้ แต่เจ้าจะต้องเรียนรู้และตัดใจทิ้งให้ได้ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องตาย เจ้าอยากตายหรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อจะเข้าใจว่าการตายคือสิ่งใดได้อย่างไร
และคำถามนี้ก็ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับนางในวัยนั้น
มารดาเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง เอาแต่สะอึกสะอื้นอยู่นาน
นางจึงเอามีดสั้นจากมือของโอวเสี่ยวเอ๋อมา
หวดมีดตัดหัวตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นขาด
โอวเสี่ยวเอ๋อร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครึ้ง
“หนนี้แม่ช่วยทำให้เจ้า หนหน้าเจ้าต้องทำเอง ไม่เช่นนั้นเมื่อหัวขาดแล้ว เจ้าก็จะกินข้าวไม่ได้ ทั้งดื่มน้ำไม่ได้ และพูดจาไม่ได้”
มารดากล่าว
จากนั้นนางก็เอาตุ๊กตาผ้าตัวนั้นไปเย็บหัวกับตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง
แม้แต่แขนที่ขาดอยู่นางก็เย็บให้ติดกันด้วย
แต่รอยเย็บของมารดาละเอียดยิ่ง และยังเย็บซ้ำถึงสองรอบ
แข็งแรงขึ้นมากนัก
และในเวลาเดียวกันก็ยิ่งตัดขาดได้ยากเก่าเดิมด้วย
โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นเด็กร่าเริงยิ่งนัก
นับตั้งแต่นางพูดได้ นางก็พร่ำพูดมากมายอยู่ทุกวัน
ฉะนั้น นางจึงไม่เข้าใจเรื่องการไม่กินไม่ดื่ม เพราะนางไม่รู้ว่าไม่กินไม่ดื่มจะเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่หากไม่พูด จะต้องทำให้นางเป็นทุกข์มากแน่
นางคลำลำคอของตน และมองมีดสั้นที่มารดาวางไว้ตรงนั้น
พึมพำกับตัวเองพักหนึ่ง จึงจับมีดสั้นขึ้นมาอีกครั้ง
โอวเสี่ยวเอ๋อคิดว่าตนเองจับมีดสั้นหนนี้แน่นกว่าครั้งใดๆ ก่อนหน้านี้
เมื่อตุ๊กตากระต่ายเย็บเสร็จแล้ว นางเห็นว่ามารดาใส่ผ้าลายตารางผืนหนึ่งไว้ตรงส่วนคอเดิมของมัน
ในสายตาของโอวเสี่ยวเอ๋อแล้วสีสดใสของผ้านี้ไม่เข้ากับสิ่งใดเลย
เพราะไม่ว่าของใดๆ ภายในเรือนของนางล้วนเป็นสีดำ
โต๊ะเป็นสีดำ เก้าอี้เป็นสีดำ ถ้วยชามตะเกียบเป็นสีดำ
แม้แต่เสื้อผ้าของมารดา ก็ยังเป็นสีดำทั้งหมด
บางครั้งมารดาพาโอวเสี่ยวเอ๋อซื้อของที่ตลาด คนมากมายยังเข้าใจผิดว่ามารดาของนางเป็นหญิงที่เพิ่งเป็นม่ายด้วย
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ โอวเสี่ยวเอ๋อมักเถียงด้วยเหตุผลว่า
“ข้ามีบิดานะ! เพียงแต่เวลานี้เขาออกเดินทางไปไกล สักพักก็จะกลับมา!”
ผู้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ มักมีสีหน้ากระจ่างใจขึ้นมา
เพราะไม่ว่าบ้านเรือนใดๆ เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตก็จะบอกลูกๆ ว่าพ่อแม่ออกเดินทางไปไกล รอจนเจ้าเติบโตสักหน่อยก็จะไปหาเขาได้ หรือไม่ก็ให้เจ้าโตอีกหน่อยเขาก็จะกลับมา
โอวเสี่ยวเอ๋อเคยถามมารดาว่าเหตุใดของทุกอย่างในเรือนล้วนเป็นสีดำ เพราะเหตุใดนางจึงมักสวมเสื้อผ้าสีดำ
มารดาบอกนางว่าเพราะสีดำสูงค่านัก
เพราะสีดำคือสีแห่งความตาย
การมีชีวิตอยู่ง่ายดาย ยามอยากตายบางหนกลับยากเย็นนัก
เรื่องที่ยิ่งยากเย็นก็จะยิ่งสูงค่า
ภายหลังโอวเสี่ยวเอ๋อใช้มีดสั้นได้อย่างคล่องแคล่วและสามารถตัดหัวตุ๊กตากระต่ายได้แล้ว
แม้ว่ามารดาจะเย็บกลับไปมาสองรอบก็ยังไม่เป็นผล
ภายหลังมารดาจึงเปลี่ยนมาใช้กระต่ายจริง
ด้วยเหตุนี้โอวเสี่ยวเอ๋อจึงไม่ชอบกระต่ายเป็นที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่ว่านางสังหารกระต่ายมามากมาย
แต่เป็นเพราะว่าทุกครั้งที่นางสังหารกระต่ายตัวหนึ่ง อาหารทั้งสามมื้อในวันนั้น ก็จะต้องกินกระต่ายตัวนั้นให้หมด
เมื่อนางเห็นกระต่ายก็จะนึกถึงภาพกระต่ายตัวที่ถูกถลกหนังหั่นเป็นชิ้น และถูกมารดาเอาใส่ในกระทะ
เมื่อนางเห็นกระต่ายก็จะนึกถึงรสชาติของเนื้อกระต่าย
ตอนที่บิดากลับมา เป็นหลังเที่ยงของวันหนึ่ง
วันนั้นคล้ายว่ามารดาจะมีลางสังหรณ์
เดิมทีทุกวันตอนเช้า มารดาจะให้นางฆ่ากระต่าย แต่วันนั้นกลับเปลี่ยนมาเป็นเวลาบ่าย
เมื่อบิดาเข้าประตูมา
นางกำลังเช็ดคราบเลือดบนมีดสั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อเหม่อมองคราบเลือดบนมีดสั้นอย่างใจลอย
กระทั่งไม่ได้สังเกตเห็นว่าบิดามายืนอยู่ข้างหลังตนอย่างเงียบๆ และกำลังมองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
นางยื่นนิ้วชี้ออกไปแต้มเลือดบนมีดสั้นแล้วเอาใส่ปาก
ภาพสุดท้ายที่เข้ามาในม่านตาก็คือใบหน้าแสนตื่นตกใจของบิดา
ภายหลังโอวเสี่ยวเอ๋อจึงได้รู้ว่า
บนมีดสั้นนั้นอาบพิษเอาไว้
และพิษนั้น มีเพียงต้องใช้น้ำมันร้อนจึงจะสามารถถอนพิษได้
………………………………………