ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 173 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-12
บทที่ 173 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-12
“ชมหิมะหรือ เกรงว่ายังต้องรออีกระยะหนึ่ง…ยามนี้เพิ่งเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะแรกคาดว่ายังต้องรออีกสามวันห้าวันจึงจะมา”
ทังจงซงกล่าว
“อีกอย่างหิมะนี่มีอะไรน่าดูกัน ไม่สู้…”
เดิมทีทังจงซงอยากบอกว่า ไม่สู้ไปดื่มสุรากับเขา
แต่พบกันคราแรก ยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าชัดเจนก็เสียมารยาทขอนัดหมายเสียแล้ว นับว่าไม่เหมาะเลยจริงๆ
เขาจึงกลืนครึ่งประโยคหลังกลับลงไปทั้งเช่นนั้น
“เมื่อพบเห็นหมอกฝนเย็นชา ซอกซอยลึกล้ำซับซ้อนมามาก ย่อมอยากชมหิมะบ้าง”
แม่นางกล่าว
“ดินแดนทางใต้ไม่อาจเห็นหิมะในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ทว่าทิวทัศน์เมืองโบราณและโคมไฟที่จุดกันทุกเรือนทางตอนใต้ ไม่ใช่ว่าน่าชื่นชมกว่าหรอกหรือ”
ทังจงซงกล่าว
เขาไม่เคยไปดินแดนทางใต้มาก่อน
และยังไม่เคยไปอาณาจักรผิงหนานอ๋องมาก่อน
ไกลที่สุดนั้นไปถึงแค่เมืองติ้งซีอ๋องเท่านั้น
เขาจึงรู้สึกนับถือแม่นางผู้นี้ไม่น้อยที่เดินทางลำพังมาไกลถึงเพียงนี้
แต่ทังจงซงคิดว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องคิดถึงบ้านเกิดของตน จึงแต่งเรื่องทัศนียภาพของดินแดนทางใต้ขึ้นส่งเดช ด้วยอยากทำให้แม่นางผู้นี้รู้สึกเศร้าใจ
เขารู้ว่า
มีเพียงสองเวลาเท่านั้นที่สตรีจะละวางความระแวงลงได้ง่ายที่สุด
หนึ่งคือเวลาเมา
อีกหนึ่งคือเวลาเศร้า
ยามนี้ไม่มีสุรา และแน่ชัดว่าแม่นางผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่จะเมามายได้ง่ายๆ
จึงได้แต่ทำให้นางเศร้าใจเท่านั้น
หารู้ไม่ แม่นางผู้นี้พลันนิ่งเงียบไม่พูดจา
ท่าทีทั้งตัวนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ยังคงอ่อนโยนอย่างที่เคยเป็น
“ก็จริง…เมื่อไม่เคยเห็นหิมะแห่งติ้งซีก็ไม่นับว่าไปถึงแดนติ้งซีอ๋องแล้วจริงๆ ทว่าหลังจากชมหิมะแล้วเล่า”
ทังจงซงไม่อยากให้นิ่งเงียบไป จึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ว่ากันว่าหิมะแห่งติ้งซีเหมือนดอกสาลี่ในเดือนสามยิ่งนัก จริงหรือไม่”
แม่นางถาม
กลับเป็นการหลบเลี่ยงคำถามของทังจงซงได้อย่างแยบยล
“ถูกต้อง สองสิ่งนั้นเหมือนกันยิ่ง แม่นางเคยเห็นดอกสาลี่เดือนสามหรือ”
ทังจงซงถาม
“ไม่เคยเห็น ข้ามาชมหิมะ ส่วนดอกสาลี่นั้นต่อให้คล้ายกันเพียงใด จะอย่างไรมันก็ไม่ใช่หิมะ”
แม่นางกล่าว
“ถูกต้องยิ่งนัก สิ่งที่อยากเห็นต้องได้เห็นกับตา หากเอาแต่ตามหาของที่มาทดแทน ก็ดูเป็นการทำส่งๆ เกินไป”
ทังจงซงเอามือถูกันพลางเอ่ย
“เมื่อได้เห็นหิมะแล้ว ข้าจะเอามันใส่ขวดโหลกลับไป”
แม่นางกล่าว
“ใส่ขวดโหลนำกลับไปทางใต้หรือ”
ทังจงซงรู้สึกประหลาดใจนัก
ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูหนาวและมีหิมะตก สิ่งที่ทุกบ้านเรือนต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุดก็คือการกวาดหิมะ
ทังจงซงย่อมไม่เคยปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นนี้
เพราะเขาไม่เคยต้องลงมือกวาดหิมะด้วยตนเอง
แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนเดินทางไกลมาถึงที่นี่ เพียงเพื่อเอาหิมะใส่ขวดโหลและเอากลับไป
“นำกลับไปต้มชาดื่ม”
เมื่อแม่นางพูดจบก็เดินผ่านทังจงซงไป
ในเวลานั้นเอง พลันมีหิมะตกลงจากฟ้า
หิมะหนนี้มาเร็วกว่าหิมะแรกที่ทังจงซงคาดไว้ถึงห้าวัน
ยิ่งไปกว่านั้น หิมะหนนี้ยังตกติดต่อกันถึงสามวันสามคืน
แรกเริ่มหนักเช่นใด จนปิดฉากก็เป็นเช่นนั้น
ทังจงซงมองแผ่นหลังของแม่นางผู้นั้นจนลับไปท่ามกลางหิมะ จากนั้นก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มเยาะตน
นี่เขาถึงกับคนึงหาแม่นางที่เห็นใบหน้าไม่ชัดผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ หากพูดออกไปก็ช่างไม่เอาไหนจนผู้คนต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่
“มีที่พักใด ให้พวกเราสองคนได้วางห่อสัมภาระหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าในมือของเจ้าหมิงหมิงยังถือห่อผ้าอยู่ห่อหนึ่ง
คิดว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อช่วยให้เกาลัดคั่วน้ำตาลเหลือมือไว้กินของกิน
ได้พบเจอกับคุณหนูเช่นนี้นับว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลมีบุญทั้งสามชาติ[1]โดยแท้
“ที่อื่นข้าเองก็ไม่คุ้นเคย…แต่หากไม่รังเกียจก็สามารถนำไปไว้ที่ที่พักข้าก่อนได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แต่พอเอ่ยออกไป เขาก็นึกเสียใจเสียแล้ว…
การให้แม่นางสองคนนำห่อผ้าติดตัวไปเก็บยังที่พักของตน นี่เป็นหลักการเช่นใดกัน
หากมีพวกใจบาปหยาบช้า ไม่แน่ว่าจะเอาไปพูดจนเกิดเรื่องได้
ทว่าเจ้าหมิงหมิงกลับพยักหน้า ไม่มีท่าทีถือสาใดๆ
เรื่องนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งใจเต้นขึ้นมาอย่างประหลาด
‘เหตุใดถึงเสียงดังเพียงนี้’
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยขึ้นในใจ
เดิมทีที่พักของตนในหอทรงปัญญาเงียบสงบนัก
นั่นเพราะตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญาก็พำนักอยู่ไม่ไกลจากที่พักของตน คิดว่าไม่น่ามีคนกล้าเข้ามาทำเสียงดังในบริเวณนี้
เมื่อเดินเข้าไปอีกสองสามก้าว หลิวรุ่ยอิ่งจึงเห็นว่ามีหัวคนมุดออกมาจากบ้านหลังเล็กของตน
“เฮ้อ…”
เขาถอนใจหนักๆ หนหนึ่ง
ประสบการณ์บอกเขาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่อีกแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ออกว่าเหตุใดเมื่อตนอยู่ก็เกิดเรื่อง ไม่อยู่ก็ยังเกิดเรื่องอีก
พื้นรองเท้าพิลึกกึกกือ บทกวีไว้อาลัยพิลึกกึกกือ
ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนนอกหอทรงปัญญาแต่กลับมีคนต้องการยัดเยียดโซ่ตรวนใส่คอเขาให้จงได้ คล้ายบังคับให้เข้าร่วมด้วย
จิ่วซานปั้นกลับมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงพุ่งตัวเข้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว
เขาปลีกตัวจากกลุ่ม และเห็นว่าโอวหย่าหมิงกำลังสนทนาอยู่กับตี๋เหว่ยไท่
โอวเสี่ยวเอ๋อยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าซีดเผือด
ทั้งที่มุมปากและสองมือมีเลือดออก
จิ่วซานปั้นรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ทำได้เพียงกระโดดโหยงเหยงอยู่รอบตัวโอวเสี่ยวเอ๋อด้วยความร้อนใจ
“เอาละๆ อยู่นิ่งๆ หน่อย…ข้าไม่ตายหรอก!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นางยกมือขึ้นฟาดศีรษะจิ่วซานปั้นทันที
เดิมทีเลือดตรงบาดแผลแห้งสนิทแล้ว
นึกไม่ถึงว่าพอฟาดลงไปแผลก็ปริแตกอีก เลือดสดพลันไหลทะลักออกมา
ไหลลงมาที่ผมของจิ่วซานปั้น และยังสะบัดไปโดนคอเสื้อของเขาด้วย
จิ่วซานปั้นยิ่งเห็นก็ยิ่งร้อนใจ จึงใช้ปากคาบแผลตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือของโอวเสี่ยวเอ๋อที่กำลังมีเลือดไหลเอาไว้
“เจ้าทำอะไร?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อตัวแข็งทื่อไปก่อน รีบดึงมือออกจากปากของจิ่วซานปั้น
“ขะ…ข้าจะห้ามเลือดให้เจ้า!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ห้ามเลือด? ข้าว่าเจ้ากำลังดูดเลือดมากกว่า…กลัวว่าข้าตายไม่เร็วพอใช่หรือไม่?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวด้วยความโมโห
“ไม่ๆ ทำเช่นนี้ได้ผลยิ่งนัก ที่หมู่บ้านของข้าเมื่อก่อนนี้ ยามไปเลี้ยงแกะเลี้ยงวัวก็มักชนนั่นชนนี่ เมื่อใดที่มีเลือดออกข้าก็จะอมบาดแผลไว้ เพียงครู่เดียวก็จะไม่เจ็บแล้ว แผลก็หายเร็วด้วย”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เพิ่งพูดจบก็จะดึงมือโอวเสี่ยวเอ๋อมาอมไว้ในปากอีก
“พอแล้วๆ ข้ารู้แล้ว ข้าจะทำเอง!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
แม้ว่าบนบาดแผลของตนยังมีน้ำลายของจิ่วซานปั้นอยู่ แต่โอวเสี่ยวเอ๋อก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด นางอ้าปากและอมไว้ทันที
เมื่อจิ่วซานปั้นเห็นว่าโอวเสี่ยวเอ๋อฟังคำของตนก็ยิ้มเซื่องๆ ออกมา
‘ซื่อบื้อ…’
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นท่าทางเช่นนั้นของจิ่วซานปั้นก็แอบด่าในใจไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็กลอกตาขาวใส่เขา และหันหน้าหนีไม่สนใจอีก
“แผลที่มือเอาอมไว้ในปากได้ แล้วแผลที่มุมปากเล่าควรทำอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้ามาพลางพูด
เขามองเห็นจากไกลๆ ว่าโอวเสี่ยวเอ๋อยังเอามือฟาดหัวจิ่วซานปั้นได้อยู่ ก็รู้ว่านางไม่เป็นอะไรมาก
โอวเสี่ยวเอ๋อโมโหแทบตายกับคำพูดนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง
ปากของตนจะอมบาดแผลที่ปากได้อย่างไร
หากจิ่วซานปั้นเชื่อคำพูดของเขาขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาจูบปากนางหรอกหรือ
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้รังเกียจน้ำลายของจิ่วซานปั้นก็เพราะทุกคนล้วนเป็นสหายที่กินอาหารร่วมจานกัน
ผู้ใดจะพูดได้ว่าอาหารจานนั้นสะอาดหมดจด
อย่างไรก็ต้องมีน้ำลายผสมเข้าไป
แต่หากให้จิ่วซานปั้นเข้ามาจูบนางเช่นนี้
ด้วยนิสัยใจคอของโอวเสี่ยวเอ๋อแล้ว นางจะต้องชักกระบี่ชงโคไล่แทงเขาไปแปดร้อยลี้
ถ้าไม่แทงให้ตัวจิ่วซานปั้นเป็นรูทะลุสักหลายรูก็จะไม่มีวันหยุดเป็นแน่!
“ท่านไปทำธุระเถอะ ข้ากับเกาลัดคั่วน้ำตาลจะเข้าไปวางของก่อน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
จึงไม่สมควรไปรบกวนหลิวรุ่ยอิ่งมากเกินไป และจะพากาลัดคั่วน้ำตาลเดินเข้าไปข้างในเอง
“ได้อย่างไรกัน เสี่ยวเอ๋อของเราไม่ดีหรืออย่างไร เหตุใดออกไปครู่เดียวก็พาแม่นางสองคนกลับมาเสียแล้ว”
เมื่อโอวหย่าหมิงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังคิดจะอธิบาย กลับถูกโอวหย่าหมิงใช้สัญญาณมือหยุดคำพูดเอาไว้
“เรื่องอื่นไม่ต้องพูด ที่เสี่ยวเอ๋อได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ล้วนต้องโทษพวกเจ้าสองคน”
โอวหย่าหมิงกล่าวพลางชี้ไปยังหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้น
“โทษข้าหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้ปลายจมูกของตนขณะถามด้วยความสงสัยยิ่ง
“เดิมทีเสี่ยวเอ๋อจะมาชวนพวกเจ้าไปกินข้าว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าทั้งคู่ล้วนไม่อยู่”
โอวหย่าหมิงกล่าว
จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียด
“นี่เป็นมือของเหลี่ยงเฟิน!”
จิ่วซานปั้นกล่าวเมื่อเห็นแขนซ้ายที่ตกอยู่บนพื้น
“มือของเหลี่ยงเฟินหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร?!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยความสงสัย
เพราะทุกคนล้วนเห็นศพของเหลี่ยงเฟินมากับตา
ยิ่งไปกว่านั้นเหลี่ยงเฟินยังถูกฝังไปแล้ว เหตุใดจู่ๆ จึงมีแขนซ้ายข้างหนึ่งอยู่ที่นี่
“ข้ารู้ว่าเหลี่ยงเฟินตายแล้ว แต่นี่คือมือของเหลี่ยงเฟิน!”
จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างหนักแน่น
สี่พี่น้องเบญจลักขีที่เหลือก็อยู่ด้วย
เมื่อพวกเขาได้ยินจิ่วซานปั้นเอ่ยถึงพี่น้องที่ตายไปอีกครั้งก็เริ่มมีท่าทีไม่พอใจ
แต่เมื่อดูให้ละเอียดก็พบว่ามือของแขนซ้ายนี้เหมือนมือของเหลี่ยงเฟินจริงดังว่า
ความจริงแล้ว เพราะฝึกเล่นหมากและฝึกขว้างหมากบินมาแต่เล็ก มือของพวกเขาห้าพี่น้องจึงมีลักษณะเหมือนกัน
นิ้วมือทั้งห้าเรียวยาว
โดยเฉพาะที่ข้อนิ้วแรกของนิ้วชี้และนิ้วกลาง เนื่องจากจับหมากมานานปีจึงนูนออกมาและยังมีหูดหนาๆ อยู่ชั้นหนึ่งด้วย
เมื่อเทียบกับมือของตนในยามนี้ มือในแขนซ้ายข้างนี้ก็เหมือนกับมือของตนราวแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ในขณะที่กำลังไม่เข้าใจที่มาที่ไปอยู่นั้น ดวงตาของทั้งสี่คนกลับมองไปทางตี๋เหว่ยไท่
………………………………………
[1] มีบุญทั้งสามชาติ หมายถึง ในชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า