ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 18 ยินดีติดกับ-3
บทที่ 18 ยินดีติดกับ-3
ในวังติ้งซีอ๋อง
ไม่รู้ว่าเริ่นหยางทำได้อย่างไร เขาหลอกทัพอีกาดำที่เมื่อเริ่มสู้ก็ไม่กลัวตายกลุ่มนี้เสียสนิท
แต่ในยามนี้เขากำลังพาหลานชายมาครัวหลังของวังอ๋องโดยมีทัพอีกาดำคอยติดตาม
เห็นเพียงเริ่นหยางพันกระบี่ตกปลาอีกครั้งอย่างใส่ใจ เขายืนอยู่ข้างกำแพงและเอาเสื้อคลุมยาวสีดำใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งออกมา คอเสื้อแขนเสื้อล้วนกลัดไว้ สวมบนกายแล้วมิดชิดแนบสนิท จากนั้นพับผ้าสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งให้เรียบร้อยและปิดไว้ตรงจมูกปาก
ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เรียกหลานชายไปตักน้ำมาล้างมือ
สำหรับเริ่นหยาง การกินเป็นงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนยิ่งอย่างหนึ่ง
คนล้วนต้องกินข้าวทุกวัน แต่คนส่วนใหญ่จนชั่วชีวิตแล้วยังเรียกไม่ได้ว่ากินข้าวเป็น
จุดนี้ ขอเพียงเจ้านั่งโต๊ะก็ดูออกได้
ราชวงศ์ก่อนมีผู้วิเศษคนหนึ่งยึดเอาการกินเป็นวิถี รวมการกินเป็นขอบเขตห้าประการ
ขั้นแรกก็คือกิน
‘อิ่มท้อง’ อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือภาษาชาวบ้านที่ว่ากินอิ่มอย่าปล่อยให้ท้องหิว นี่เป็นความพึงใจขั้นพื้นฐาน เพราะถ้าแม้แต่การกินอิ่มในขั้นแรกยังทำไม่ได้ คนผู้นั้นก็อยู่ไม่นานแล้ว
ขั้นที่สองคือชอบกิน
ผู้มาถึงขั้นนี้มีความกระหาย โหยหาการกิน วันปกตินัดรวมสหายรู้ใจสองสามคนสั่งอาหารบนโต๊ะประมาณหนึ่งกินให้อิ่มหนำ ถึงจุดครื้นเครงต้มเหล้าอีกสองจินและร้องตะโกนเฮฮาก็เป็นเรื่องสุขใจอย่างหนึ่ง
ขั้นที่สามคือกินเป็น
ผู้อยู่ขอบเขตนี้บ่มเพาะและใส่ใจการกินเป็นงานอดิเรก สืบรู้ว่าที่ใดมีอาหารเลิศรสก็จะต้องไปหามา สิ่งที่แสวงคือคำว่าพิเศษ
ก่อนหน้านี้ไม่นานเริ่นหยางก็เพิ่งมาถึงขั้นที่สาม
ขั้นที่สี่คือรู้แจ้งในการกิน
ขั้นนี้เริ่มลงลึกสู่วัตถุดิบและรสชาติแล้ว วิชาอินหยางห้าธาตุคืนสู่จักรวาลในปาก ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถี แต่ก็สดใหม่เลิศรสจนถึงที่สุด
ทุกตะเกียบทุกคำรวมเป็นหลักการสูงสุด ทุกการลิ้มรสสร้างสวรรค์ด้วยตัวมันเอง
ส่วนขั้นที่ห้า…เพราะยุคสมัยนานเกินไปจึงไม่มีผู้สืบทอด
โดยสรุปแล้ว สำหรับเริ่นหยางความดีงามไร้ขอบเขตของการกินนี้สามารถเทียบเคียงได้กับหลานชายของตนและกระบี่ตกปลาในมือ
กล่าวถึงตรงนี้ คนที่เขานับถือที่สุดคงเป็นหม่าเหวินเชาแห่งโรงเตี๊ยมพูนโชคสาขาหลักในเมืองหลวง
เล่ากันว่าเขาทะลวงเก้าภูเขารวบรวมอาหารป่าหายากในโลกด้วยมีดทำอาหารสองเล่ม จากนั้นบรรลุสัจธรรมด้วยการทำอาหาร มือซ้ายตะหลิวมือขวากระบวย วิทยายุทธ์คุมไฟใต้หล้าหามีผู้ใดเหนือกว่าเขาไม่
ตอนนั้น เริ่นหยางมีโชคได้กินครั้งหนึ่ง อาหารบนโต๊ะสะอาดรสเลิศ วัตถุดิบกลับเป็นของหาง่ายทั้งสิ้น อย่างเช่น ผักกาดเขียว เต้าหู้ ปลา ไก่เป็นต้น
เขาคีบตะเกียบลองชิม แค่กลิ่นหอมสดชื่นตอนเข้าปากก็วิ่งถึงในกระเพาะ แล่นถึงหน้าผากด้วยตัวมันเอง
เริ่นหยางเดินวนรอบห้องครัวสองสามหน ทัพอีกาดำก็ถือดาบวนเวียนตามอยู่หลังก้นเขาเช่นกัน
สุดท้าย คนครัวเดิมของวังอ๋องสองสามคนชี้แผงเนื้อด้านข้างอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีควายสดใหม่ตัวหนึ่งที่เพิ่งเชือดเช้านี้
เริ่นหยางเลือกขาควายท่อนหนึ่ง หยิบรวมเนื้อมีเอ็นส่วนขา ไม่บางไม่มัน
จากนั้นเลือกมีดคมมาลอกหนังออก
ใช้สุราสามส่วน น้ำสองส่วนตุ๋นจนเปื่อยเต็มที่ ใส่ซีอิ๊วอีกกระบวยหนึ่งแล้วเคี่ยวให้แห้ง
เด็กน้อยต้องเหยียบเก้าอี้เพื่อเอื้อมถึงเตา เขาใช้ตะเกียบจิ้มเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ปากโดยไม่สนใจความร้อนระอุในหม้อ กลิ่นหอมที่กระจายออกทำให้ทัพอีกาดำผู้เป็นเหมือนเสาไม้โดยรอบกลืนน้ำลายกันเป็นแถบ
………………………..
ในโรงเตี๊ยมหัวเมืองรัฐติง
สืออีเฟิงกลืนสุราอาหารเต็มโต๊ะนี้อย่างยากลำบาก
เขาเป็นคนทางใต้ กินรสชาติอ่อน
อาหารเนื้อของแดนพายัพคาวเกินไป สุราก็เข้มข้นมากเกิน
ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดครึ้ม เขารู้สึกอยากหาคนคุยด้วย
แล้วก็เริ่มสงสัยทางเลือกของตนเองโดยไม่มีสาเหตุ
แต่สิ่งที่เขาแสวงหาก็เป็นแค่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม
หรือบอกว่าตราบใดที่ยังไม่ตาย ก็ควรใช้ชีวิตให้ดีต่อไป
พอลองคิดดู เขาอยู่อย่างสงบมาห้าปีกว่าแล้ว
ในห้องพักแขกมีเก้าอี้นอนหวายโบราณตัวหนึ่ง เขานั่งถือกาสุราดื่มจากปากของมันตรงๆ อยู่บนนั้น ดันตัวไปด้านหลังไม่หยุด ดันเข้าไป…
เก้าอี้หวายนี้คงมีอายุบ้างแล้ว มันดังเอี๊ยดอ๊าดไม่หยุดตามการขยับตัวของสืออีเฟิง
ตรงสุดทางเดินเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ากะกำลังพิงหัวสัปหงกอยู่บนเสา
วันนี้ไม่นับว่าคนเยอะ เขาก็แอบพักเสวยสุขครึ่งวันได้
ยิ่งกว่านั้นยังมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะทอดมาข้างหูอยู่เนืองๆ ยามนี้มันเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ดีที่สุดในโลก
อีกด้านหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งตามเหล่าผู้คุ้มกันมาถึงหน้าประตูที่ว่าการ
‘หลิวรุ่ยอิ่งเอ๋ยหลิวรุ่ยอิ่ง พอก้าวเท้านี้ออกไปไม่ว่าเป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงหรือแดนสวรรค์นุ่มนวลเจ้าก็เลือกไม่ได้แล้ว!’
ในโถงหลัก คนรับใช้เข้าออกขนสุราจากคลังไม่หยุดหย่อน
แม้ฮั่ววั่งบอกว่าตกรางวัลทังจงซงเป็นสุราดีสามร้อยหู แต่ตนมาถึงที่นี่คนเดียว ไม่มีอะไรในมือ ได้แต่ให้ทังหมิงใช้เหล้าดีที่สุดของห้องใต้ดินในที่ว่าการรัฐติงนี้ไปก่อน ต่อให้ขนยอดสุราธาราหยกในวังของเขามาก็ยังต้องใช้เวลาไม่ใช่หรือ
“เรียนท่านอ๋อง ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ หลิวรุ่ยอิ่ง ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือกองสัคคะเนตร ใต้บังคับบัญชาใต้เท้าผู้กำกับการกรมสอบสวนกลาง ขึ้นตรงต่อฉิงจงอ๋องมาขอเข้าพบขอรับ!”
ขณะนี้เอง คนเฝ้าประตูผู้มีหน้าที่รายงานเข้าโถงหลักมากล่าวเสียงดัง
ทังจงซงได้ยินหัวใจพลันบีบ
เจ้าหลิวรุ่ยอิ่งนี่ช้าหรือเร็วกว่านี้ไม่มา ดันมาเผชิญหน้ากับฮั่ววั่งตอนนี้…แต่หันไปเห็นบิดาตนทำหน้าเรียบเฉยก็เข้าใจทั้งหมดทันที
“คนของกรมสอบสวนมาขอพบข้าถึงรัฐติงได้อย่างไร ท่านอ๋อง ท่านคิดว่านี่…”
ทังหมิงเอ่ยขอคำชี้แนะ
“ในเมื่อมารัฐติงเพื่อขอพบผู้ควบคุมรัฐทัง ย่อมให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ข้าจะไม่ยึดตำแหน่งเจ้าบ้าน ไม่ต้องห่วง”
ฮั่ววั่งกล่าวสบายๆ ให้คนด้านข้างรินชาอีกถ้วย
‘ทังหมิง…เจ้าฉลาดเสียเหลือเกิน ถึงขั้นวางแผนมาถึงข้า! กรมสอบสวนจับคนของเจ้า เจ้าคิดจะให้ข้าออกหน้าแทนเจ้ารึ ไม่ต้องคิดหาทางให้เหนื่อยช่างฉลาดนัก!’
ฮั่ววั่งมีจิตสังหารต่อทังหมิงตั้งนานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะตนหลงใหลในวิถียุทธ์กระบี่ดาราจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ต้องนำทัพใหญ่ปราบปรามราชสำนักทุ่งหญ้าถึงที่สุดเพื่อตัดภัยในภายหน้าตลอดกาลด้วยตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทังหมิงย่อมกลายเป็นคนไร้ประโยชน์
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ย่อมมีที่ที่เขาควรไป
แต่ตอนนี้กลับรีบร้อนไม่ได้ ตนยังต้องพึ่งให้เขาปกครองรัฐติงและป้องกันรักษาชายแดน จึงได้แต่รับหน้าคล้อยตามเขาอย่างไม่มีทางเลือก
“ท่านอ๋อง ท่านกำหนดให้กระหม่อมดื่มสามร้อยหูหมดภายในวันนี้ แต่เวลาวันนี้เหลือไม่มากแล้ว ไม่สู้ร่วมดื่มด้วยกันตอนจัดงานเลี้ยงรับแขกให้ท่านอ๋อง ท่านว่าดีหรือไม่”
ทังจงซงก้าวขึ้นมาเอ่ย
“อ้อ? พูดแบบนี้เจ้ากำลังต่อรองกับข้า?”
ฮั่ววั่งรู้สึกคุณชายทังผู้นี้เป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจคนหนึ่ง
แม้ดื้อรั้นหัวแข็ง แต่กลับมีความทะนงบางอย่าง
ความทะนงนี้ฮั่ววั่งก็อธิบายไม่ถูก แค่รู้สึกเขาแตกต่างจากพวกรุ่นที่สองทั่วไป
คนคนหนึ่งไม่ว่าสวมเสื้อผ้าล้าหลังเพียงใด กลัดกระดุมผิดตำแหน่งแค่ไหน ล้วนยากปกปิดตัวตนในกระดูกเขา
ก็เหมือนกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งห่อในผ้าขี้ริ้ว
ขอเพียงเข้าใกล้มัน ไม่ว่าใครก็สัมผัสถึงส่วนคมของมันได้
ดั่งหยกรอสลัก ดุจเพชรรอเจียระไน
“กระหม่อมไหนเลยจะกล้าต่อรองกับท่านอ๋อง…เพียงแต่…เพียงแต่…”
“ไม่ต้องคิดเยอะ พูดออกมาเลย”
“เพียงแต่สุราที่ท่านอ๋องตกรางวัลกระหม่อมวันนี้ความจริงเป็นสุราเดิมในห้องใต้ดินที่ว่าการ ไม่พูดว่ากระหม่อมเคยดื่มสุรานี้เป็นหมื่นไหแต่อย่างน้อยก็สามพันไห กระทั่งนึกถึงในปากยังรับรสสุราได้ กระหม่อมอยากรอของล้ำค่าในวังท่านอ๋องจริงๆ …หากวันนั้นมาถึง กระหม่อมจะประเดิมทันที! ดื่มสามร้อยหูไม่เหลือไม่กระเด็นสักหยด ใครก็ห้ามคิดแย่งกระหม่อม!”
พูดถึงดื่มสุรา ทังจงซงเรียกได้ว่าหาญกล้าจริงใจ เจออะไรไม่ยุติธรรมจะโกรธมาก คำสัญญามีค่าดั่งทองพันชั่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเงาหลังของทังจงซงไกลๆ มองท่ามือเหล่านั้นไม่รู้กำลังฮึกเหิมตื่นเต้นพูดอะไรอยู่อีก
เมื่อนึกถึงทังจงซง นึกถึงตอนดื่มร่วมกันคืนนั้น ในใจหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอบอุ่น และขจัดการมองที่ว่าการรัฐติงเป็นศัตรูไปไม่น้อยเช่นกัน
“ไม่ทราบผู้แทนการตรวจสอบพิเศษมาพบข้ามีเรื่องอะไร โหย่วเจี้ยน ทำไมเจ้าไม่รบกับทหารหมาป่าแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าอยู่เมืองจี๋อิงแล้วยังกลับมาหัวเมืองรัฐติงอีก”
ทังหมิงชิงลงมือก่อน หลิวรุ่ยอิ่งถูกตอกหน้าจนพูดไม่ออกสักคำ
เฮ่อโหย่วเจี้ยนก็ไม่ตอบ กลับค้อมศีรษะคารวะฮั่ววั่ง
จนถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้รู้เจตนาไม่ซื่อของทังหมิง
เขาไม่ได้อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ยืมดอกไม้ถวายพระ[1]เพื่อตีวัวข้ามภูเขา[2]
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นถึงผู้แทนการตรวจสอบพิเศษ ตามหลักเป็นขุนนางเหมือนทังหมิงแต่ระดับต่างกัน ทว่าได้เจอฮั่ววั่งผู้เป็นหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้ายามปัจจุบัน เขายังคงคารวะอย่างนอบน้อม
ฮั่ววั่งยกฝ่ามือขวาไปงั้นๆ ไม่เอ่ยคำใด
ราวกับเป็นแค่คนนอกที่บังเอิญผ่านมา
“ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อโหย่วเจี้ยนใต้บังคับบัญชาของผู้ควบคุมรัฐทังสมคบกับข้าศึก ข้าน้อยมาจับคนในนามคุกหลวงกรมสอบสวน ข้าผู้แทนใคร่ครวญถึงสถานการณ์พิเศษของชายแดนรัฐติงในช่วงนี้ เลยตั้งใจมาแจ้งให้ผู้ควบคุมรัฐทังทราบก่อนส่งตัวไปลงโทษ”
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งสติ กล่าวด้วยแผนซ้อนแผน ขณะเดียวกันยังยื่นจดหมายลับของคุกหลวงออกไปด้วย
“สหาย! คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้!”
ได้ยินคำเรียกของทังจงซง ทังหมิงกับฮั่ววั่งสับสนเล็กน้อย
ทำไมพริบตาเดียวเจ้ารุ่นสองที่รู้จักแต่ดื่มสุราเล่นพนันร้องเพลงอยู่หอนางโลมผู้นี้ถึงเรียกผู้แทนการตรวจสอบพิเศษจากเมืองหลวงว่าสหายแล้ว
“กระหม่อมได้รู้จักกับสหายจงซงตอนอยู่เมืองจี๋อิง ติ้งซีอ๋องกับผู้ควบคุมรัฐทังไม่ต้องสงสัย”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าทังจงซงนิสัยเรียบง่าย ทำอะไรไม่คำนึงถึงข้อห้าม กลัวความสัมพันธ์ของตนกับเขาจะทำให้เขาพัวพันไปด้วยโดยไม่จำเป็น จึงรีบออกปากชี้แจง
“ท่านอ๋อง ท่านพ่อ ผู้แทนการตรวจสอบหลิวเป็นถึงวีรบุรุษหนุ่มเชียวนะ! จึๆ อายุห่างกับข้าไม่เท่าไร แต่อนาคตไกลกว่าข้าเยอะ! จากกันคราวก่อนบอกไว้ว่าเจอกันที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาในบ้านข้าเลย!”
ทังจงซงชมหลิวรุ่ยอิ่งเสียอย่างนั้น ไม่ได้คำนึงเลยว่าตรงหน้าเป็นสถานการณ์แบบใด เหมือนมีคนที่ตนรู้จักดีเพิ่มมาคนหนึ่งจึงยิ่งครึกครื้นก็เท่านั้น
“เว่ยฉี่หลินสบายดี?”
ฮั่ววั่งออกปากถาม
“ใต้เท้าผู้บังคับการกรมสบายดี”
ในที่สุด ฮั่ววั่งยังคงสนใจ
อย่างไรทังหมิงก็เป็นผู้ควบคุมรัฐในเขตติ้งซีอ๋อง หากตนไม่อยู่ที่นี่ยังพอว่า แต่บัดนี้เรื่องราวปะทะมาตรงหน้าแล้ว หากตนยังไม่เอ่ยคำใดอีก จบเรื่องแล้วแพร่ออกไปคงยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าทหารและขุนนางใต้อาณัติผิดหวัง หนำซ้ำยังให้เห็นว่าตนอ่อนแอกว่าหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋อง เรื่องแว่นแคว้นเรื่องส่วนตัว ตนล้วนต้องสอดแทรก
เพียงแต่เรื่องส่วนรวมและส่วนตัวในยามนี้แตกต่างจากที่ทังหมิงคิดเอาไว้ตอนแรกราวฟ้ากับดิน
………………………..
ในโรงเตี๊ยม
เสี่ยวเอ้อร์ที่เข้างานตื่นกะทันหัน
ไม่พ้นเป็นเพราะเสียงกล่อมนอนนั่นหยุดลงฉับพลัน
เขาสะลึมสะลือมองรอบข้าง ลูบหน้าเรียกสติ
สืออีเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนดังเดิม กาสุราในมือกลับหกอยู่บนพื้น
อาหารบนโต๊ะแทบไม่ได้ขยับ มีแค่ผัดไป่เหอ[3]จานเดียวที่กินหมดเกลี้ยง
นัยน์ตาเขาปิดน้อยๆ สีหน้าแดงก่ำ มุมปากอ้าหน่อยหนึ่ง
มือที่ควรถือกาสุราไว้ห้อยอยู่ข้างที่วางแขนของเก้าอี้นอน งูน้อยสีแดงสายหนึ่งหยดลงตามปลายนิ้ว
‘ติ๋งติ๋ง…’
…………………………………….
[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ หมายถึงเอาของคนอื่นมาให้เป็นน้ำใจ
[2] ตีวัวข้ามภูเขา หมายถึงโจมตีเข้าเป้าโดยไม่ต้องสัมผัส เป็นวิทยายุทธ์อย่างหนึ่งด้วย
[3] ไป่เหอ กลีบดอกลิลลี