ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 181 บทนำปรมาจารย์วรรณกรรม-2
บทที่ 181 บทนำปรมาจารย์วรรณกรรม-2
มีบ้านเรือนอยู่ไกลๆ
ควันหลงพัดขึ้นจากบนหลังคาบ้านเรือนนั้น
หยกแขวนที่อยู่ตรงกลางนั้น กลับเป็นหยกแขวนที่เรียบเนียน สะอาด
ไม่มีการแกะสลักใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ผิวของมันถูกขัดเงาจนสะท้อนแสงได้
ถึงขนาดสะท้อนใบหน้าของคน ใช้แทนกระจกได้
อาภรณ์หรูหราเช่นนี้ ตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้สวมใส่มานานแล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ยังสวมชุดบัณฑิตตะวันแพรทองขั้นแปดทับไว้ด้านนอก
ยิ่งอาภรณ์ดี การเย็บปักก็ยิ่งละเอียด เนื้อผ้าก็ยิ่งบางเบา
ผ้าไหมย่อมแพงกว่าผ้าฝ้ายอยู่แล้ว
อาภรณ์ที่เขาสวมใส่ก่อนหน้านี้ทำจากผ้าฝ้ายของชาวนา เขาพับเก็บไว้ในตู้อย่างเรียบร้อย
มีกระดาษเล็กๆ วางอยู่ด้านบน
บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ลงแป้ง’
แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะสวมใส่อาภรณ์ที่เรียบง่าย
แต่อาภรณ์ผืนนี้กลับไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย
ทั้งที่เขาไปสวนหลังบ้านทุกวันเพื่อรดน้ำและใส่ปุ๋ยให้พืชผักที่ปลูกไว้
ทว่าอาภรณ์ของเขากลับไม่มีรอยโคลนติดอยู่แม้แต่น้อย
ตี๋เหว่ยไท่เดินไปที่โต๊ะ ผลักข้าวของที่วางอยู่ไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
จากนั้นเขาก็ปูกระดาษซวนจื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะให้เรียบร้อย
เขาไม่ได้ยึดมุมด้วยที่ทับกระดาษ
แต่กระดาษซวนจื่อนี้กลับติดแน่นบนโต๊ะเสมือนมีน้ำหนักพันชั่ง
เขาหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วจุ่มแท่นฝนหมึก มองดูปลายพู่กันดูดซับหมึกเข้าไปจนเต็ม
กระดาษนี้เป็นเพียงกระดาษธรรมดา
พู่กันก็เป็นเพียงพู่กันธรรมดา
ตี๋เหว่ยไท่ไม่เคยใช้ห้องอักษรชั้นเยี่ยม
ไม่ใช่เพราะเขาไม่มี แต่เพราะเขาไม่ต้องการใช้
สิ่งสำคัญของบทกวี ก็คือตัวบทกวีและบทประพันธ์
หากเขียนได้ดี แม้จะเขียนบนเปลือกไม้ คนทั้งใต้หล้าก็อยากคัดลอก
แต่หากเขียนไม่ดี แม้จะเขียนบนผ้าไหมและใช้ไม้ชั้นดีในการทำกรอบก็ไม่มีใครสนใจ
เมื่อปลายพู่กันดูดซับหมึกจนเต็ม ตี๋เหว่ยไท่จึงยกพู่กันขึ้นเขียนสามตัวอักษรใหญ่ตรงด้านบนสุดของกระดาษ ‘บทนำไร้นาม’
จากนั้น เขาหลับตาเพื่อเตรียมจิตใจอยู่ชั่วขณะ
ความคิดพลันไหลบ่าอย่างกะทันหัน
“ท่านประมุขหอ เริ่มลงพู่กันแล้วหรือ?!”
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในหอทรงปัญญาสนทนากันอย่างวุ่นวาย
ทุกคนหายใจคว่ำและจับจ้องไปที่ประกายเทพเจ็ดสีที่แผ่ขยายอย่างงดงามและหนักแน่น
ต่อมาพวกเขาต่างคุกเข่าลงกราบไหว้ไปยังทิศทางที่ประกายเทพเจ็ดสีนั้นปรากฏขึ้น ทิศทางที่ตี๋เหว่ยไท่อาศัยอยู่
ในขณะที่ประกายเทพเจ็ดสีกำลังส่องสว่างไสว ตี๋เหว่ยไท่ก็เริ่มขยับพู่กัน
มีคำกลอนว่า
วสันตฤดูเขียวขจีคลุมเมือง
ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล
ความฝันงดงามในอดีตมิเลือนราง
คีรีชลาสินธุ์ยังคงอยู่ที่เดิม
มือถือพู่กันชุ่มหมึก
ยืนเดียวดายบนระเบียงหอสูง
เผอิญพานพบสายลมวสันต์
อาทิตย์อัสดงอาบไล้สายชลแลทะเลสาบ
กวีนิพนธ์บทประพันธ์ทะยานสู่เมฆา
สร้างศาสตร์วรรณกรรมแก่ใต้หล้า
ร่องรอยเก้าตระกูล หอทรงปัญญาใหม่ ทะยานเหนือติ้งซี เขตแดนเชื่อมต่อเจิ้นเป่ย พันภูเขาหมื่นภูผาล้อมรอบ ควบคุมสรรพสิ่งสู่สี่ฤดู สมบัติล้ำค่าคือแก่นแท้ แสงวรรณกรรมสาดส่องแดนสุขสัญจร จิตวิญญาณงดงามก่อเกิดพรสวรรค์โดดเด่น ยึดครองผืนดินเดิม เมฆหมอกแห่งประวัติศาสตร์ อบอวลคุณธรรม หันหลังให้สงคราม เชิดหน้าชมราชธานีเกรียงไกร ยามอดีตเก้าตระกูลสง่าสูงส่ง วรรณกรรมเป็นหนึ่ง บัดนี้หอใหม่รุ่งโรจน์ผ่าเผย ปรมาจารย์บุ๋นยิ่งใหญ่ ศาลาสูงตระหง่าน บุปผาปลิดปลิว สระน้ำเรียงราย ทัศนียภาพอัศจรรย์ อารามแลยุทธภพ คำสอนแตกต่าง อินหยางกลมกลืน รุ่งโรจน์นิรันดร์ ราชาทรงธรรม วาจามิแบ่งแยก
เดือนสี่มาเยือน เข้าสู่เชงเม้ง ลมวสันต์พัดผ่าน สรรพสิ่งกลายเป็นหิมะขาว วรรณกรรมสง่าขจัดความชั่วช้า ใต้หล้ามากด้วยบทกวี เมามายบทประพันธ์นับพันปี รับพรสุขล้นจากเทพเหวินสวี่ซิง อ้างว้างด้วยอาลัยคนรัก บนกระดานทองคำ บางคราสูญสิ้นเสน่ห์ มังกรทะยานสู่สวรรค์ชั้นเก้า ไม่ควรค่าแก่การสรรเสริญ คุนยากกางครีบว่ายวน เผิงยากกระพือปีกบินสูง วีรบุรุษหยัดสู้ ชิงชัยกลางทุ่งกว้าง ชัยชนะของผู้อื่นจะคู่ควรกับตนได้อย่างไร ต้นไม้เขียวชอุ่มในลมประจิม ชาวประชาดิ้นรน ฝุ่นควันคละคลุ้งสารทิศ ผู้ใดจะนึกคิดปลายพู่กันคม สรรสร้างกลยุทธ์ใหญ่ยิ่ง
ผ่านอาคารวิจิตร ลัดเลาะราวบันไดหยกสลัก ความสดใสวัยหนุ่มสาวไม่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ใบหน้าผันผวนตามกาลเวลา หอทรงปัญญาน้อมนำสันติ เหนือใต้ห่างไกลสายตา ความรุ่งโรจน์ยังสถิต จันทร์สาดส่องมิสิ้น เหล่าศิษย์แวะเยือน ยืนหยัดกลางพายัพ จักรวาลร้อยเรียงเป็นหนึ่ง ทั่วหล้าเปรมปรีดิ์ จันทราหมุนเวียนประชันอาทิตย์อรุณสาดแสง สายน้ำวสันต์หมอกเหมันต์เคียงคู่ภูธารา พงไพรหนาทึบ สายชลคดเคี้ยว นภาสูงกระจ่าง ธารากว้างใหญ่ งานเขียนสง่า เปี่ยมชีวา สุริยายอแสงนรชาติลุ่มหลงเงินตรา จันทราลับขอบฟ้าเสียงเพลงดังพันลี้
ทอดอาลัย! โชคชะตาไม่เป็นใจ พายุแห่งชีวิต เซียนกวีขับเคลื่อนเมือง ร่ำไห้แด่ชะตา แปดผู้ยิ่งใหญ่ผลักดันวรรณกรรม เจ็ดหัตถ์นักปราชญ์ เขียนความรุ่งโรจน์เสื่อมสลายแห่งโลก
คร่ำครวญ ปิดหอลงกลอน สับสนล่องลอย มิรับรู้วันเวลาที่ผ่านพ้น
เศร้าสร้อย มัวเมาลาภยศ ขลาดเขลาเบาปัญญา ไม่เฉลียวภัยพินาศที่ใกล้เข้ามา
อาลัย วีรบุรุษแห่งหอทรงปัญญา เลือดเนื้อเรือนกาย แกร่งกล้าปัดป้องดาบคมเก้าตระกูล
โลกบุ๋นโกลาหล ทุกหนแห่งทรุดโทรม ตะวันจะลาลับ ฝืนยืนหยัดดิ้นรน กระนั้น หอทรงปัญญาผ่านความผันผวนไม่ถ้วน ได้รับเกียรติและอดสูร้อยชั่วอายุ บรรพบุรุษคุ้มครอง สู้เพื่อหนทางบุ๋นข้างหน้า ท้ายสุดกลับคืนสู่ความรุ่งเรือง
ยามนี้ สี่ฤดูไม่เยือกแข็ง ธรรมชาติกลับกลาย โครงสร้างผาชันผืนดินแปรเปลี่ยน หอสง่าสูงตระหง่าน มังกรขดเชิดหัวบนสันหลังคา สะพานหินศาลายาวระยิบระยับดั่งดวงดารา
กวีสังคีตหลอมรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ภาพวาดม้วนพงศาวดาร ทอดไกลถึงขอบฟ้า พู่กันดั่งมีด ข้ามสมุทรดุจเหยียบสันดอน วาจาบาดลึก ทะยานสู่ตำหนักสวรรค์ คำนับฉางเอ๋อ (เทพธิดาแห่งดวงจันทร์) กระต่ายหยกตำยา[1]ไม่สำเร็จ มิอาจรบกวนอู๋กังโค่นต้นกุ้ย[2]
ทุกการลงพู่กัน ลือเลื่องทั่วโลกบุ๋น สร้างชื่อทรงปัญญา รวมความงามทั่วหล้า อาศัยสิ่งเหล่านี้ กำจัดทรราช ลงโทษผู้ช่วงชิง ทำลายมอดแมลง คืนความสุกใสสู่ที่แห่งนี้ กำเนิดปรมาจารย์ ตำราก้องกังวาน กระฉ่อนมิขาดสาย ขวัญกำลังใจสูงส่ง
ซาบซึ้ง หอทรงปัญญาข้ารุ่งโรจน์สงบสุข หนทางภายหน้าก้าวไปพร้อมกาลเวลา
อาลัย หอทรงปัญญาข้ามุ่งมั่นกล้าหาญ ฟันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วนก้าวข้ามประตูมังกร
ชื่นชม หอทรงปัญญาข้ามากด้วยผู้มีพรสวรรค์ เห็นกระจ่างยามมังกรประชันพยัคฆ์
‘เหว่ยไท่ บัณฑิตผู้หนึ่ง พร่ำเพ้อโอ้อวด ทุกวาจาธรรมดาสิ้น ถ่อมตนยิ่ง จริงใจภักดี ล้างอัปยศด้วยแรงใจร้อนเร่า เชิดชูความสง่าในแดนมนุษย์ เลิกล้มเก้าตระกูล ส่งเสริมคุณธรรมแด่หล้า ฝันถึงวันได้ร่ำร้องกลางท้องทุ่ง เฝ้ารอนามตนบนกระดานทอง พากเพียรเขียนอ่าน ท่องตำรามิรู้จบ จงอย่าสอนหนังสือสังฆราช ชีวิตลอยล่องเหมือนฝัน แม้มากพลังก็ไร้ผล ข้าผู้เฒ่าเสียเวลากว่าหกสิบปี ย้อนนึกทุกครั้ง โศกเศร้าอาลัย น้ำตาหลั่งริน แต่ปีติทางที่เดิน ยินดีกับชีวิตที่ล่วงเลย ดาราเวียนวน สุขทุกข์ขึ้นลง วิถีสวรรค์ไม่เที่ยง หนังสือคงอยู่นิรันด์
อาวุธคมกริบ วีรบุรุษมิเคยสิ้นลม ทว่าเพื่อท่าน ขอเพียงพลังพุ่งทะยาน! วันแล้วคืนเล่า มองทิศอุดรกลางลมราตรี จักรวาลซ่อนใจ สายชลไหลหลาก มังกรเคลื่อนไหวเปลี่ยนผัน ก่อเมฆพ่นหมอก หงส์บินสูงลงต่ำ หลบซ่อนเร้นกาย เขาไท่ซานถล่มมิสูญสิ้น กิเลนเติบใหญ่มิเปลี่ยนรูปลักษณ์ โปรดปรานกวีเต็มอก สง่าเหนือผู้ใด บุปผาคงอยู่เช่นวันวาน หลงลืมว่าน้ำล้นมิอาจกลับคืน ชื่อเสียงเกียรติยศ ตระหง่านงดงาม สู่ติ้งซีเจิ้นเป่ยแดนรกร้าง รุดหน้าเหนือผิงหนานอันตง
บทกวี
กาลเวลาพันปีผันผวน
จักรวาลหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
ค้นหานับพันวันผ่านหน้าต่างหนาวเหน็บ
ยามหวนกลับก้าวเหยียบทางทองคำ
หน้าหนังสือเพียงคลี่เปิดแปรเปลี่ยนมากโข
ใต้หล้าว้าวุ่น
คนรุ่นหลังจงมีปณิธานดั่งหงส์
งานประชันพยัคฆ์มังกรยิ่งใหญ่กว้างขวาง
………………
ตี๋เหว่ยไท่เขียนถึงตรงนี้ก็หยุดพู่กัน
หากอิงตามความตั้งใจเดิมของเขา เขาพร้อมที่จะเขียนต่ออีกหลายบท
แต่หลังจากที่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
เขาเพียงต้องการกระตุ้นบัณฑิตในหอทรงปัญญาก่อนที่จะเข้าสู่งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมที่เมืองหลวง หากทำมากเกินไป ก็จะดูเร่าร้อนเกินไปและขาดความสง่างาม
การเขียนเช่นนี้ก็เหมือนกับการเขียนบทประพันธ์
หากใช้สำนวนที่มั่นคงและเชี่ยวชาญเกินไป ก็จะดูขาดความคิดสร้างสรรค์
แต่หากไม่มีการใช้สำนวนเป็นที่ยึดเหนี่ยว ก็จะดูเบาบางเกินไป
ตี๋เหว่ยไท่หยุดพู่กันไว้ที่ตำแหน่งชื่อเรื่องบทประพันธ์
เขาขีดฆ่าคำว่า ‘ไร้นาม’ ทิ้ง
และเปลี่ยนเป็น ‘หอทรงปัญญา’
แต่เขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงขีดฆ่าคำว่า ‘หอทรงปัญญา’ ทิ้งไปอีกครั้ง
เขาวางพู่กันลง แล้วเดินไปมาภายในห้อง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แต่หมึกบนกระดาษแห้งสนิทแล้ว
สุดท้ายตี๋เหว่ยไท่ก็กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง และเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น ‘บทนำปรมาจารย์วรรณกรรม’
หลังจากที่เขียนตัวอักษร ‘ปรมาจารย์’ ตัวสุดท้ายเสร็จ และวางพู่กันลง
ประกายเทพเจ็ดสีที่สว่างไสวนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับแสงอาทิตย์อัสดงและลมยามเย็น
………………………………………………
[1] กระต่ายหยกตำยา หนึ่งในตำนานเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน เรื่องมีอยู่ว่าฉางเอ๋อ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์สั่งให้กระต่ายหยกตำยาเพื่อรักษาชาวบ้านที่เป็นอหิวาตกโรค
[2] อู๋กังโค่นต้นกุ้ย หนึ่งในตำนานเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน อู๋กัง มีขวานเป็นอาวุธประจำกาย เป็นนักโทษสวรรค์ที่ถูกทำโทษให้คอยตัดต้นกุ้ย (ต้นของดอกหอมหมื่นลี้) เมื่อไรที่โค่นต้นกุ้ยลงสำเร็จ เขาจึงจะพ้นโทษ