ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 182 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-1
บทที่ 182 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-1
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังเดินกลับห้อง
เขาก็มองเห็นประกายเทพเจ็ดสีอันวิจิตรและยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน
แม้เขาจะไม่ทราบเรื่องราวหรือเหตุผลที่แท้จริง
แต่ทุกครั้งที่ตี๋เหว่ยไท่เขียนตัวอักษรหนึ่งตัว
ตัวอักษรนั้นจะไหลตามประกายเทพ ไหลเข้าไปในใจของหลิวรุ่ยอิ่ง
ทุกตัวอักษรราวกับกำลังเคาะที่ประตูหัวใจของเขาเบาๆ
จนเขาต้องหยุดก้าวเดิน
ทำได้เพียงมองไปยังทิศทางที่ประกายเทพปรากฏขึ้นอย่างเหม่อลอย
ที่จริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น
ทังจงซงและโอวเสี่ยวเอ๋อก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ยกเว้นจิ่วซานปั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังคงดื่มสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย มองไปรอบๆ รู้สึกแปลกใจที่เห็นหลิวรุ่ยอิ่งและอีกสองคนหยุดเดินกะทันหัน
เมื่อประกายเทพเจิดจ้านั้นจางหายไป หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้สติกลับคืนมา และเห็นจิ่วซานปั้นมีสีหน้างุนงง
“เมื่อครู่พวกเจ้าเป็นอะไรไป”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“เจ้าไม่เห็นประกายเทพเจ็ดสีที่ปรากฏเมื่อครู่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เห็นสิ แล้วอย่างไรหรือ”
จิ่วซานปั้นพูดด้วยท่าทีสบายๆ
“เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ความรู้สึกที่ทุกตัวอักษรทุกคำพูดแทรกซึมเข้าไปในหัวใจนั้นแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกเหมือนตนหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้แต่ถามออกไปด้วยคำถามที่คลุมเครือ
“ไม่มี…แต่ประกายนั้นสวยดีนะ”
จิ่วซานปั้นตอบ
หลิวรุ่ยอิ่ง ทังจงซงและโอวเสี่ยวเอ๋อสบตากันครั้งหนึ่ง
จากสายตาของพวกเขา หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันแน่นอน
แต่จากสายตาของพวกเขา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแปลกใจที่จิ่วซานปั้นไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
“บางทีอาจจะขึ้นอยู่กับคนกระมัง”
ทังจงซงกล่าวด้วยความรู้สึกบางอย่าง
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
มรรคต่างกัน ก็ยากที่จะร่วมมือกัน
หากคนต่างกัน ก็ยากที่จะมีความรู้สึกผูกพัน
ตี๋เหว่ยไท่มีขั้นฝึกตนสายบุ๋นเป็นตะวันแพรทองขั้นแปด สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าจิตวิญญาณทางวรรณกรรมของเขาแน่วแน่และแข็งแกร่งมากพอ
มากเสียจนยามลงพู่กันยังก่อเกิดชีวิต
สามารถดึงดูดแรงสั่นสะเทือนของฟ้าดินได้เช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งถามตัวเอง เขาไม่มีจิตใจที่หลงใหลในวรรณกรรม
แม้จะมี ก็ถูกชิ้นงานทรงพลังของตี๋เหว่ยไท่ที่สะเทือนจิตใจนี้ทำลายไปแล้ว
แต่ใจที่หลงใหลในวรรณกรรมของจิ่วซานปั้นจะแน่วแน่และแกร่งกล้าขนาดนั้นเลยหรือ
กระทั่งบทประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ของตี๋เหว่ยไท่ก็ยังไม่อาจสั่นไหวได้เลยหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อ
เขารู้สึกว่าต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่นอน
แม้ว่าจิ่วซานปั้นเองก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ชัดเจน
ถึงอย่างไร ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจปฏิเสธได้
ประกายเทพเจ็ดสีที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ทำให้แสงตะวันอัสดงดูหม่นหมองไป
ตอนนี้เมื่อมองไปที่ขอบฟ้า พบว่าจริงๆ แล้วยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มจุดตะเกียง
หลิวรุ่ยอิ่ง ทังจงซง โอวเสี่ยวเอ๋อ และจิ่วซานปั้นนัดเวลากันเรียบร้อย จึงกลับบ้านของตัวเองไป
เมื่อเข้าห้อง เขาเห็นเจ้าหมิงหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองสีสันแห่งวสันตฤดูของสวนหลังบ้านอย่างเหม่อลอย
ทั้งที่จริงๆ แล้วสวนหลังบ้านนั้นไม่มีสีสันแห่งวสันตฤดูเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่เดิมก็เป็นบ้านร้างอยู่แล้ว
สวนหลังบ้านไม่มีใครดูแลมานานแล้ว
ไม่เหมือนกับสวนหลังบ้านของตี๋เหว่ยไท่หรือเซียวจิ่นข่านที่เต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่ม
หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหมิงหมิงกำลังมองอะไรอยู่
“ชู่ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งที่เตรียมจะเอ่ยปากขอโทษ
ถึงอย่างไร เจ้าหมิงหมิงก็เป็นแขกที่มาจากแดนไกล
ตนทิ้งให้สองนายบ่าวนั่งอยู่ในบ้านนานเช่นนี้ ทั้งในด้านของความรู้สึกและเหตุผลก็ดูจะไม่เหมาะสม
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นแขกที่มาจากสถานที่ห่างไกลเช่นกัน
อย่างไรเสีย เขาก็มาถึงก่อนเจ้าหมิงหมิงหลายวัน
เกาลัดคั่วน้ำตาลส่งสัญญาณเป็นเชิงให้เขาเงียบ
จากนั้นก็ชี้ไปที่เจ้าหมิงหมิง
คล้ายจะบอกให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องพูดอะไรออกมา เพื่อไม่ให้รบกวนอารมณ์ของเจ้าหมิงหมิงที่กำลังชื่นชมทัศนียภาพในสวนหลังบ้าน
หลิวรุ่ยอิ่งเกาศีรษะเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็มองไปยังสวนหลังบ้านเช่นกัน
สายตาของเขาพาดผ่านทุกชุ่นของพื้นดิน ตามขอบกำแพงหินและทางเดินเล็กๆ
แต่เขาก็ไม่มีจุดใดเลยที่จะทำให้เขาหยุดมองได้
“ท่านไม่เห็นหรือ”
จู่ๆ เจ้าหมิงหมิงก็ถามขึ้น
“หืม?”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจคำถามของเจ้าหมิงหมิง
ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
“ท่านรู้สึกว่าสวนนี้แห้งแล้งและไม่มีอะไรน่าสนใจใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อ
“ฮ่าๆ ข้าไม่พบอะไรที่น่าสนใจเลยจริงๆ “
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะตอบ
แม้เขาจะหัวเราะ
แต่นั่นเป็นเพียงการปกปิดความอายของเขาเท่านั้น
“ตอนเด็กๆ ข้าไม่ชอบทัศนียภาพที่เบียดเสียดเกินไป ความเขียวขจีทั้งสวนไม่สู้ความเขียวขจีท่ามกลางทุ่งร้าง ท่านดูที่ผิวขรุขระของกำแพงดินและหญ้าข้างทางเล็กๆ นั้นสิ มันทำให้ฤดูใบไม้ผลิมีชีวิตชีวากว่าสวนที่มีต้นไม้หนาทึบไม่ใช่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งกวาดสายตามองไปรอบสวนอีกครั้งตามคำพูดของเจ้าหมิงหมิง
พบว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริง
แต่ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ จากปากเจ้าหมิงหมิงนั้นเล็กมากจริงๆ
เล็กจนถ้าไม่ตั้งใจมองก็ไม่อาจสังเกตเห็นได้เลย
“ชีวิตคนเราก็เหมือนต้นหญ้าเล็กๆ และหญ้าอ่อน ไม่จำเป็นต้องมีสีสันที่แสนโดดเด่น แต่ตราบใดที่มันยังงอกเงยอยู่ที่นั่น แม้ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใด ใครกล้าพูดได้ว่ามันไม่ใช่สัญญาณของฤดูใบไม้ผลิ?”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
เขาเคยคิดว่าเจ้าหมิงหมิงเป็นเพียงคุณหนูของตระกูลร่ำรวย
แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่านางจะมีความคิดและการรับรู้ที่ลึกซึ้งเช่นนี้
ดอกตะไคร่น้ำเล็กจ้อยราวเมล็ดข้าว พยายามเบ่งบานเหมือนดอกโบตั๋น
เทียบกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านและเถาวัลย์ที่เลื้อยพันกันในสวนของตี๋เหว่ยไท่หรือเซียวจิ่นข่านแล้ว
หญ้าเล็กๆ และต้นอ่อนในสวนหลังบ้านของหลิวรุ่ยอิ่ง กลับสามารถสะท้อน ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ได้ดียิ่งกว่า
“ความคิดเห็นของคุณหนูเจ้าช่างลึกซึ้งและไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าเห็นประกายเทพเจ็ดสีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หรือไม่”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็เอ่ยถามขึ้น
“ประกายเทพเจ็ดสีหรือ”
เจ้าหมิงหมิงหันกลับมาตอบด้วยความงุนงง
“ไม่มีอะไร เพียงแต่เมื่อครู่นี้มีแสงสว่างปรากฏขึ้นไกลๆ ข้าเดาว่าจากในบ้านเจ้าคงมองไม่เห็นกระมัง”
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้สึกตกใจ แต่เขาก็ยังกล่าวอย่างใจเย็น
แต่เขาเริ่มมีข้อสงสัยในใจ
เพราะประกายเทพเจ็ดสีของสายบุ๋นนั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ตราบใดที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยฝึกเขียนหรืออ่านหนังสือล้วนสามารถสัมผัสได้
แต่เหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้ เจ้าหมิงหมิงกลับไม่รู้อะไรเลย
เรื่องที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่คิดมากได้อย่างไร
นอกเสียจากว่า…
“ท่านนายกองหลิว!”
ขณะที่ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเริ่มมีความสงสัยต่อเจ้าหมิงหมิงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีเสียงเรียกหาดังมาจากนอกบ้าน
“มีเรื่องอะไรหรือ”
ผู้ที่มานั้นสวมอาภรณ์สบายๆ ง่ายต่อการเคลื่อนไหว
รวบผมสูงและมวยไว้กลางศีรษะ
ดูเหมือนจะเป็นเด็กรับใช้
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหลิวรุ่ยอิ่งตึงเครียด ไม่มีโอกาสได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นคนแปลกหน้าอยู่เบื้องหน้ากะทันหัน ก็จับกระบี่ตามสัญชาตญาณทันที
“ท่านนายกองหลิว มีคนจากกรมสอบสวนมาหาท่าน ตอนนี้พวกเขามาถึงแดนสุขสัญจรแล้วขอรับ”
เด็กรับใช้ผู้นี้เอ่ยขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งนึกสงสัยในใจ
เพราะข้อมูลเกี่ยวกับพรรคอาภรณ์แดงฉานและข่าวการตายของซ่างกวานไจซิงประมุขหอเด็ดดาราที่เขาถืออยู่ยังไม่ได้ถูกส่งออกไป
เหตุใดกรมสอบสวนถึงส่งคนมาหุนหันพลันแล่นเช่นนี้
“ข้ารู้แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงให้เด็กรับใช้ที่มาแจ้งข่าวออกไปก่อน
จากนั้นเขาก็รู้สึกผิดพลางหันกลับไปมองเจ้าหมิงหมิง
“คืนนี้อย่างไรดี”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“คืนนี้ที่หอจันทร์กระจ่างบนถนนยาวของหอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ตกลง เช่นนั้นข้ากับเกาลัดคั่วน้ำตาลจะไปหาโรงเตี๊ยมแถวนั้นเพื่อพักแรมก่อน”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แม้เขาจะอยากพูดกับเจ้าหมิงหมิงเพิ่มอีกสักหน่อย
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเจ้าหมิงหมิงจะออกไปก่อน ใจเขากลับรู้สึกโล่งอกโดยไม่มีสาเหตุ
ความคิดที่แปลกและขัดแย้งเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
เขาพาเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลออกจากสวน
เขาชี้บอกทางให้พวกนาง
เกาลัดคั่วน้ำตาลในเวลานี้กลับเงียบแปลกๆ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะขนมนางหมดหรือเปล่า
นางจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี
แต่เด็กหญิงที่ชื่อเกาลัดคั่วน้ำตาลนี้ มีอารมณ์เช่นนี้เป็นระยะๆ
ร้องไห้เมื่อควรจะร้องไห้ หัวเราะเมื่อควรจะหัวเราะ ไม่เคยรู้จักคำว่าโศกเศร้าเลย
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูสองคนนั้นเดินจากไปจนเลือนราง แล้วหมุนตัวเตรียมไปแดนสุขสัญจรเพื่อดูว่ากรมสอบสวนส่งใครมา และผู้ที่มานั้นมีจุดประสงค์อะไร
เพิ่งจะก้าวออกไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นว่ามีเงาคนยืนอยู่ไม่ไกล
เป็นเด็กรับใช้ที่มาส่งข่าวก่อนหน้านี้
“ยังมีธุระอะไรอีกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขาคิดว่าเด็กรับใช้คนนี้ยังมีอะไรจะพูดกับเขา เพราะเมื่อครู่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านคงจะไม่สะดวกนัก
“ท่านนายกองหลิว ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าแค่รอท่านอยู่ที่นี่ เพื่อเดินทางไปพร้อมกับท่าน”
เด็กรับใช้โค้งตัวพร้อมเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
คงจะเป็นหูตาที่หอทรงปัญญาวางไว้ข้างกายเขา
ภายนอกพูดว่าจะไปด้วยกัน แสดงออกมาอย่างสุภาพและมีมารยาท
แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูตนว่าคนจากกรมสอบสวนมีเจตนาอะไรกันแน่ถึงมาเยือนหอทรงปัญญาอย่างเปิดเผย
หลิวรุ่ยอิ่งมาที่นี่คนเดียว ถึงแม้จะสามารถเป็นตัวแทนกรมสอบสวนกลางได้
แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนเดียวก็ยังคงเป็นคนเดียว
การไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตก็นับเป็นการให้เกียรติหอทรงปัญญาอีกทางหนึ่ง
ก็เหมือนที่ไม่ตั้งอาคารกรมสอบสวนในเมืองอ๋องของทั้งห้าอาณาจักร
แต่เมื่อได้ยินว่ายามนี้กรมสอบสวนได้ส่งคนมาถึงแล้ว จะไม่ทำให้คนในหอทรงปัญญาเป็นกังวลได้อย่างไร
แม้จะไม่ถึงกับหวาดระแวงเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย แต่อย่างน้อยก็ควรจะเตรียมพร้อมและระมัดระวังให้ดี
เด็กรับใช้อยู่ข้างหน้า หลิวรุ่ยอิ่งตามอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนมีระยะห่างประมาณครึ่งจั้งเศษๆ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้พูดอะไร
เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไร เด็กรับใช้คนนี้ก็เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น
เขาตั้งใจจะพูดคุยกับเด็กรับใช้คนนี้เพื่อหยั่งเชิง
ดูว่าจะได้ข้อมูลอะไรจากปากเขาหรือไม่
แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าจะอย่างไรก็ช่างมันเถอะ
ในเมื่อหอทรงปัญญาส่งเขามานำทางตนได้ ก็คงจะมาจากการคัดเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
เด็กรับใช้ผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านเรื่องราวของโลกใบนี้ แต่ที่จริงแล้วเขาต้องฉลาดเฉลียว กล้าหาญ และรอบคอบเป็นแน่
หากเขาเปิดปากพูด ไม่แน่ว่าสุดท้ายผู้ที่เสียเปรียบอาจเป็นตัวเขาเองก็ได้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่าตนมีฝีปากที่ยอดเยี่ยม
แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กรับใช้ แต่การตามติดบัณฑิตทุกวันก็เหมือนซึมซับทั้งหูทั้งตาไปด้วย เหมือนคนส่งอาหารที่แม้จะไม่ทำอาหาร แต่ก็ยังได้กลิ่นควันกลิ่นน้ำมันติดตัว
หากไม่ใช้มีด ไม่จุดเตา ใครจะแยกแยะได้?
“นี่ไม่ใช่ทางไปแดนสุขสัญจร!”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็หยุดฝีเท้าลงและพูดขึ้นมา
“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทางไปแดนสุขสัญจร”
เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น
เขาก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
เพียงแต่ยังไม่ได้หันกลับมา ยังคงหันหลังให้กับหลิวรุ่ยอิ่ง
“กรมสอบสวนไม่ได้ส่งใครมากระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
………………………………………………….