ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 185 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-4
บทที่ 185 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-4
ลมพัดฝน
ลมไม่แรง
ฝนก็ชนะ
แสงอาทิตย์อัสดงสุดท้ายอาบพื้นดินเป็นสีทอง
จนทำให้เส้นทางเล็กๆ ที่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่ชัดเจนอีกต่อไป
หลิวรุ่ยอิ่งมองกระบี่ของเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
แต่เขาไม่ละสายตาจากโซ่บั่นเศียรในมือของดรุณบั่นเศียร
และวงแหวนที่ปลายโซ่เหล็ก
ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ย่อมมากความสามารถ
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไม่รู้ว่าดรุณบั่นเศียรนั้นตัดหัวคนไปเท่าไรแล้ว
แต่อย่างน้อยหัวของเขาก็ไม่ได้พิเศษอย่างที่เขาพูด
คอของเขาไม่แข็ง
กระดูกก็ธรรมดา
หากถูกโซ่บั่นเศียรนั้น คงจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากคนอื่นๆ
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นมือซ้ายไปสัมผัสที่หน้าอก
ใต้ชายเสื้อของเขาเก็บหนังสือไว้เล่มหนึ่งชื่อ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’
เมื่อตกที่นั่งลำบากต้องยอมถอยเพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่าง
หากห้ายอดดรุณมาถึงพร้อมกัน เขาจะยอมทิ้งวิชานี้และหลบหนีอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังไม่ได้เปิดเผยจุดประสงค์ของตน
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะเขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าตนมีอะไรพิเศษที่ทำให้เหล่าเทพสังหารจากสารทิศไล่ล่าเขาอย่างไม่ลดละเช่นนี้
แต่ในตอนนี้ มีเพียงดรุณบั่นเศียรที่ลงมือ
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงมั่นใจว่าเขาสามารถต่อสู้กับศัตรูได้
ต่อให้ท้ายที่สุดเขาอาจจะพ่ายแพ้ ถึงตอนนั้นโยน ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ออกไปก็ยังไม่สาย
ความเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวรุ่ยอิ่ง
ไม่ใช่เพราะฝีมือการฝึกยุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้น
แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจของเขาสงบมากขึ้น
แม้จะโดนฝนเปียกปอนจนดูเหนื่อยล้าและท้อแท้
แต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงความเหนื่อยล้าและความกังวลที่ต้องต่อสู้แม้แต่น้อย
นับตั้งแต่ออกจากกรมสอบสวนกลาง เขาก็เหมือนกระบี่ไร้ฝัก
แม้ในอดีตกระบี่นี้อาจจะยังไม่ได้แสดงความคมคายมากนัก
แต่ตอนนี้มันพร้อมแล้วที่จะเปล่งประกาย
หลิวรุ่ยอิ่งเหยียดแขนตรง
ชี้กระบี่ไปที่ดรุณบั่นเศียร
กระบี่นี้ยังคงไม่ได้ใช้พลังใดๆ
กระทั่งพลังกายก็ยังไม่ได้ใช้มากนัก
แต่ดวงตาของดรุณบั่นเศียรกลับหดตัวไม่หยุดหย่อน
ก่อนหน้านี้ กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสกับโซ่เหล็กของดรุณบั่นเศียร
ดรุณบั่นเศียรใช้วิชาของเขาทำให้หลิวรุ่ยอิ่งจมอยู่ใน ‘ความเศร้า’
เมื่อเขาสามารถทะลวงความเศร้าที่เป็นเพียงภาพลวงตานั้น
ดรุณบั่นเศียรก็รู้ว่าสภาพจิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งมั่นคงไม่เหมือนใคร
แต่ตอนนี้ พอได้เห็นเขาชักกระบี่ด้วยความสุขุม
เหนือปลายกระบี่ถึงแม้จะไม่มีพลังปราณหรือพลังกาย
ก็ยังทำให้ลมและฝนต้องหลีกทางให้กระบี่นี้ แล้วเลี่ยงไปอีกทาง
ดรุณบั่นเศียรรู้สึกว่า เหยื่อที่เขาควรจะได้มานั้น ตอนนี้ตัวเขาที่เป็นผู้ล่ากลับกลายเป็นเพียงขั้นบันไดให้เหยื่อนั้นได้เติบโต
แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ยอมรับเท่าไรนัก
แต่เขาก็ยังเอียงศีรษะเล็กน้อย
เพราะความสงบที่ส่งมาจากปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ความเศร้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก็เพราะขาดความสุข
หากใจสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งดีและร้ายได้อย่างสุขุม
แม้แต่ไม้เท้าไผ่และรองเท้าฟาง ก็ยังว่องไวกว่าควบขี่อาชาพันลี้
ขอเพียงเสื้อฟางกันฝนยามพิรุณกระหน่ำ ชีวิตก็อิสระเสรี
ยอมรับอย่างสงบ
แม้จะพ่ายแพ้ก็ยังต้องสงบ
แต่ความสงบนี้ไม่ใช่การยอมแพ้หรือการสิ้นหวัง
แต่เป็นการหยัดสู้ภายใต้การยอมรับกฎของธรรมชาติ!
ดังนั้น การชักกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ดรุณบั่นเศียรต้องหวาดกลัว
ลมพัดผ่านตัวหลิวรุ่ยอิ่งจากด้านหลัง ทะลุผ่านป่าไม้
ส่งเสียง ‘ฟิ้วๆ’ ลอดมา
แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหวีดที่เศร้าหมอง
เสียงหวีดหวิวนี้ทำให้ดรุณบั่นเศียรต้องหดคอเข้าไปอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพนี้แล้วใจก็ยิ่งสงบมากขึ้น
เขาก็เป็นมนุษย์
มีร่างกายเป็นเพียงเนื้อและเลือด
ไม่มีกระดูกหรือมือเป็นเหล็ก
และยิ่งไม่มีคอเป็นเหล็ก
เขาสามารถถูกบั่นเศียรได้เช่นกัน
ถึงแม้มันจะไม่ได้บั่นเศียรด้วยโซ่บั่นเศียรของตน
แต่อาจจะด้วยกระบี่ของตนนี่แหละ
หลิวรุ่ยอิ่งชูกระบี่ขึ้นเผชิญหน้ากับเสียงหวีดร้องที่โหยหวนนั้น
ธรรมลักษณ์บรมครูภายในกายเขาก็กระโดดขึ้นแท่นสวรรค์อย่างน่าประหลาด
ยามนี้
ธรรมลักษณ์บรมครูเป็นหนึ่งเดียวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
หัวใจเคลื่อนไหว
จิตเคลื่อนไหว
กระบี่เคลื่อนไหว
สามการเคลื่อนไหวนี้ไม่มีลำดับก่อนหลัง ไม่มีระดับสูงต่ำ ไม่แบ่งแยกลำดับ
แสงกระบี่เป็นพุ่งตรงเข้าหาคอของดรุณบั่นเศียร
ความเฉียบขาดของปราณกระบี่
ทะลุผ่านลมยามค่ำคืน
ฉีกทะลุสายฝนยามดึก
ฟ้าดินมีเพียงบรรยากาศของการเข่นฆ่าที่เงียบสงบ
ดรุณบั่นเศียรเห็นแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รีบควบคุมโซ่บั่นเศียรเพื่อป้องกันในระยะประชิด
แต่แสงกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งเร็วกว่าวงแหวนนั้นมาก
โซ่บั่นเศียรของดรุณบั่นเศียรต้องพึ่งพาโซ่เหล็กที่ยาวเพื่อควบคุม
ในขณะที่ตอนนี้กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ
ดวงตาจับจ้องไปยังกระบี่ที่กำลังจะแทงเข้าไปในคอของดรุณบั่นเศียร
ดรุณบั่นเศียรคิดหาทางรอดในยามวิกฤต
ยกโซ่เหล็กในมือขึ้นพันรอบคอ
“แกร๊ง!”
โซ่เหล็กสกัดการโจมตีของหลิวรุ่ยอิ่งไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งก็แทงทะลุช่องว่างของโซ่เหล็ก และทิ่มแทงเข้าที่ผิวหนังบริเวณหลอดลมของดรุณบั่นเศียร
ไม่ได้ทิ่มลึกมาก
แค่รอยแผลเผินๆ
เลือดที่ไหลออกมาก็ไม่มาก
ยังไม่เท่าเลือดกำเดาเมื่อมีไข้ในฤดูร้อน
แต่ดวงตาของดรุณบั่นเศียรก็ปิดความรู้สึกเหลือเชื่อไว้ไม่มิด
แม้แต่ดรุณทลายพรรณและดรุณกระดูกเคลื่อนที่เฝ้าดูการต่อสู้อย่างเงียบงันนั้น ก็เก็บสีหน้าและท่าทางเยาะเย้ยลง กลายเป็นความเคร่งขรึม
ถึงแม้พวกเขาจะดูถูกกันและกัน
แต่พวกเขาก็รู้แน่ชัดถึงความสามารถของดรุณบั่นเศียร
นั่นคืออยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา
ตนที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ แน่นอนว่าสามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ได้
แต่ถ้าลองสลับกับดรุณบั่นเศียร ก็คงจะทำได้เพียงเท่านี้เช่นกัน
ดรุณบั่นเศียรเปลี่ยนทิศทางของฝีเท้า
ถอยหลังไปไกลถึงสิบจั้งเศษๆ
เขาลูบคอของตัวเอง
มองดูจุดสีแดงที่ฝ่ามือ
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัว
ความกลัวนี้ไม่ใช่กลัวความตาย
แต่กลัวว่าตัวเองจะถูกบั่นเศียร
ใครจะคิดว่าวันหนึ่งดรุณบั่นเศียรจะกังวลว่าตัวเองจะถูกบั่นเศียร
เรื่องราวนี้กลับเหมือนตำนานเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่อง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ให้โอกาสดรุณบั่นเศียรได้หายใจ
เขาฟันกระบี่ออกไปอีกครั้ง
กระบี่นี้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ร่างของหลิวรุ่ยอิ่งราวกับกระบี่แหลมคม
นอกจากกระบี่ในมือเป็นกระบี่
ทุกส่วนในกายเขาก็ล้วนเป็นกระบี่
พลังที่แผ่ซ่านไปทั่ว
ทำให้ฝนที่ตกลงมาระหว่างทั้งคู่หยุดชะงักไป
ดรุณบั่นเศียรเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความสงสัย
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความแห้งแล้งชั่วขณะนี้เกิดจากพลังกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง
ฝนตกเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งนั้นต่อสู้ด้วยความจำเป็น
ดูเหมือนว่าตราบใดที่มีความสงบและมั่นคงพอ
แม้กระทั่งธรรมชาติก็จะเปิดทางให้
หญ้าบนพื้นดินถูกพัดพาขึ้น
เผยให้เห็นดินเหนียวชื้นใต้ต้นหญ้า
หลิวรุ่ยอิ่งย่ำเท้าลงไป รู้สึกถึงความเลอะเทอะของดินใต้ฝ่าเท้า
แต่เขาไม่ได้ลื่นล้มบนบันไดเหมือนคืนนั้น
เขาใช้โอกาสนี้ก่อนที่ร่างกายจะเสียสมดุล ก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่ง
ตอนนี้ ดรุณบั่นเศียรกับหลิวรุ่ยอิ่งห่างกันไม่เกินห้าจั้ง
“ระวัง!”
สุดท้ายดรุณทลายพรรณก็ไม่อาจทนได้ ถึงขั้นตะโกนออกมา
ดรุณบั่นเศียรถึงได้สติกลับมา และพบว่าหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ใกล้ตัวเขามาก
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงได้เหม่อลอย
หรือเป็นเพราะหลิวรุ่ยอิ่งทำให้ ‘ความเศร้า’ ของเขาสลายไป จากนั้นก็ทำให้คอของตนเป็นแผล?
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ดรุณบั่นเศียรปฏิบัติตามหลักการที่ว่า คนเราล้วนทุกข์ทรมาน โลกนี้เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
ไม่เคยคิดที่จะไปเข้าใจ
ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมักทำให้ ‘ความเศร้า’ ของเขาหนักอึ้งและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แต่เขาลืมหลักการหนึ่งไป
นั่นคือถ้าไม่รู้ว่าควรจะให้อภัยอะไร ก็ควรจะรู้สึกว่าทุกสิ่งในโลกนี้สามารถให้อภัยได้
ไม่มีการให้อภัย ก็ไม่มีความสงบ
ไม่มีความสงบ
ไม่ว่าอย่างไร ดรุณบั่นเศียรก็ไม่สามารถรับมือกับกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งได้
“ช่วยข้าด้วย!”
ดรุณบั่นเศียรร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น
แม้เขาจะปรับโซ่บั่นเศียรไว้หน้าตัวเองเพื่อป้องกันจุดสำคัญทั่วทั้งกายแล้ว
แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ดูเหมือนเขาจะเห็นภาพตัวเองกำลังจะถูกหลิวรุ่ยอิ่งแทงทะลุคอด้วยกระบี่นั้น
แม้ว่าดรุณทลายพรรณจะดูเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ
แต่เมื่อเห็นสหายของตนตกอยู่ในวิกฤติ เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือไปเสียทีเดียว
เขายกมือขึ้นสูงและปล่อยทรายพิษออกไปด้วยแรงทั้งหมด
ชั่วขณะนั้น ทรายพิษท่วมท้นท้องฟ้า พุ่งเข้าหาหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงต้องหยุดฝีเท้าลง
กระบี่ในมือของเขาหมุนวนเร็วราวกังหัน
ป้องกันทรายพิษเหล่านั้นไม่ให้ตกลงมา
ทรายพิษตกลงในพงหญ้าที่อยู่รอบตัวเขา เกิดกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้น
ทว่าไม่นานก็ถูกฝนที่ตกลงมาดับสิ้นอย่างรวดเร็ว
…………………………………………………………..