ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 187 ความตระหนักรู้-2
บทที่ 187 ความตระหนักรู้-2
แต่การหมุนตัวครั้งนี้
หลิวรุ่ยอิ่งก็พบความจริงหนึ่ง
นั่นคือพลังภายในของเขามีจำกัด
พลังของดรุณทลายพรรณและดรุณบั่นเศียรก็มีจำกัดเช่นกัน
และยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีธรรมลักษณ์บรมครูอยู่
กระบี่และโซ่บั่นเศียรนั้นใช้งานได้ไม่สิ้นสุด
แต่ทรายพิษไม่เป็นเช่นนั้น
“ยอดเยี่ยมจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นบนแขนเสื้อของเขาถูกทรายพิษกัดกร่อนจนเกิดรูเล็กๆ
โชคดีที่เครื่องแบบนายกองกรมสอบสวนมีคุณภาพดีเยี่ยม ไม่ทำให้เนื้อหนังได้รับอันตราย
ไม่เช่นนั้น เขาคงทำได้เพียงนอนรอความตายเท่านั้น
ดรุณทลายพรรณจ้องดรุณบั่นเศียรเขม็งแล้วพูดว่า
“ทำไม่ได้ก็ไปอยู่ข้างๆ สิ! ที่ไหนก็ต้องโดนฝน หรือเจ้าอยากโดนฝนโลหิต”
“ไม่ใช่ข้าทำไม่ได้นะ!”
ดรุณบั่นเศียรยืนกรานปกป้องตัวเอง
หลิวรุ่ยอิ่งมองรูบนแขนเสื้อของเขา
ยิ่งมองยิ่งรู้สึกโกรธ
เครื่องแบบนายกองนี้ เขาเคยรักษามันไว้อย่างดี
แต่ตอนนี้บนแขนเสื้อกลับมีตำหนิเล็กๆ อยู่
ถึงแม้จะไม่เด่นชัด
และคนอื่นอาจจะมองไม่เห็น
แต่เพราะเขารู้ จึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
แม้ทรายพิษจะไม่ได้สัมผัสกับผิวหนังของหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เขาก็ยังตกเป็นเหยื่อของพิษ
เพราะทรายพิษของดรุณทลายพรรณนั้น นอกจากจะทำให้ผิวหนังแตกละเอียด และเลือดเนื้อเปื่อยยุ่ยแล้ว
ยังมีพิษอีกชนิดหนึ่ง
‘พิษพิโรธ’
ความโกรธเป็นอารมณ์ธรรมดาของมนุษย์
จะเป็นพิษได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งทราบดีว่าห้ายอดดรุณนี้ แต่ละคนสัมพันธ์กับอารมณ์ลบหนึ่งอารมณ์
แต่ขณะที่ลืมตัว เขาก็ยังตกเป็นเหยื่อ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนดีที่จะทนทุกข์ได้ทั้งหมด
เขาก็มักจะโกรธเช่นกัน
ในความเป็นจริง ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยโกรธเลย
ที่กล่าวว่าผู้ใหญ่มีความรอบคอบ
เพียงแค่เห็นมามาก รู้จักเยอะ และคร้านที่จะคิดถึงมันอีก
ไม่นึกถึง ก็จะไม่โกรธ
แต่หากไม่นึกถึง ก็ไม่มีทางที่จะมีความสุขได้
มีเรื่องที่ทำให้มีความสุข ก็จะมีเรื่องที่ทำให้โกรธเช่นกัน
ชีวิตคือการใช้เวลาผ่านการมีความสุขและความโกรธไปซ้ำๆ
ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
แม้แต่คนตายก็เหมือนกัน
ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนตาย คิดว่าคงไม่มีใครที่ไม่โกรธเลย
ความโกรธมักจะเลี่ยงที่จะด่าว่าคนอื่นไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนโกรธจนทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์
คนที่กำลังจะตายไม่สามารถเอ่ยปากด่าคนอื่นได้ และไม่มีพลังเหลือเพื่อระบายอารมณ์
แต่ในใจของเขาก็ยังต้องตำหนิชะตากรรมที่ไม่ยอมให้เขามีเวลาเพิ่มอีกสักหน่อย
หลิวรุ่ยอิ่งก็ด่าคนได้
แต่เขาด่าคนน้อยมาก
เมื่อเขาโกรธ เขาจะทุบไหสุราของเซียวจิ่นข่านจนแหลกละเอียด
แต่นั่นก็เป็นไหสุราที่เขาดื่มจนหมดแล้วเท่านั้น
ไหที่ยังมีสุราอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยแตะ
ถึงแม้ว่าการทุบไหสุราที่ยังมีสุราอยู่เต็มจะทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
แต่เมื่อทุบแล้ว กลิ่นสุราจะคละคลุ้งไปหมด ทำให้คนนอนไม่หลับ
เซียวจิ่นข่านต่างหากที่อยากจะลองสัมผัสความรู้สึกของการนอนหลับในห้องที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา
เขาเคยแอบวางไหที่มีสุราอยู่ปะปนกับไหว่างข้างเตียงในตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งโกรธ
แต่เมื่อหยิบมันขึ้นมาหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ทันทีว่าน้ำหนักไม่ถูกต้อง
หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็วางมันกลับลงไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากวางไหนั้นลงไปแล้ว การหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้ว
เพราะความรู้สึกที่อยากทุบไหเพื่อระบายอารมณ์นั้นหายไปมากแล้ว
ตอนนั้น เซียวจิ่นข่านตาเป็นประกาย เขาพบว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหายโกรธได้
แต่ทุกอย่างก็ยังมีข้อยกเว้นเสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งทุบไหซึ่งเต็มไปด้วยสุราที่แอบซ่อนไว้จนแหลกละเอียด
ทว่า การทุบข้าวของก็ยังเป็นเหตุการณ์ที่น้อยมาก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น
ในเวลาอื่นๆ หลิวรุ่ยอิ่งมักจะเลือกขี่ม้า
เขานั่งอยู่บนหลังม้า
เสียงลมกระหึ่มข้างหู
ทิวทัศน์สองข้างทางทอดยาวออกไปเพราะความเร็วของม้าที่วิ่งไป จนกระทั่งมองเห็นไม่ชัดเจน
เพียงแต่ท้องฟ้าด้านหน้ายังคงสว่างไสว
หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองท้องฟ้านั้น
ขี่ม้าด้วยความพยายามอย่างหนัก
แทบอยากให้เท้าม้าเหยียบขึ้นไปบนเมฆ
ขี่ไปขี่มา ม้าก็เหนื่อย
ความเร็วก็ช้าลง
หลิวรุ่ยอิ่งก็เหนื่อย
ไม่ใช่เหนื่อยเพราะขี่ม้า
แต่เพราะคนที่โกรธมักจะรู้สึกเหนื่อย
แต่ทุกครั้งที่ขี่ม้าตอนโกรธ มันทำให้เขาแน่วแน่มากขึ้น
แม้ว่าจะมีความแน่วแน่ในอะไรบางอย่าง แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน
แต่เขารู้สึกว่าตัวเองสงบมากขึ้น
ระหว่างทางกลับ เขามักจะจูงม้าเดินกลับช้าๆ
หันหลังให้อาทิตย์อัสดง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เดินบนทางเก่า
ระหว่างฟ้าดินก็ไม่มีลมตะวันตกพัดผ่าน
ม้าของกรมสอบสวนแต่ละตัวมีสุขภาพดีและแข็งแรง
แต่เขายังคงรู้สึกเหมือนเป็นคนหัวใจสลายที่อยู่บนขอบฟ้า
ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนถึงพระจันทร์ขึ้น หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งกลับถึงคอกม้า
ชายชราเลี้ยงม้าเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้ามา จึงจุดยาเส้นหนึ่งมวน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมชายชราเลี้ยงม้าผู้นี้ถึงต้องสูบยาเส้นทุกครั้งที่เห็นเขา
เขาจึงเอ่ยปากถาม
“เพียงแค่บังเอิญเท่านั้น”
ชายชราเลี้ยงม้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นด้วยหรือ ปกติข้าเห็นท่านจากไกลๆ ท่านก็ไม่ได้สูบยาเส้นนี่!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดเสียว่า เมื่อไหร่ข้าเจอเจ้า ข้าก็อยากสูบยาเส้น”
ชายชราเลี้ยงม้าดูดยาเส้นยาว พร้อมพูดขึ้น
“เหตุใดเจอข้าแล้วอยากสูบยาเส้น เซียวจิ่นข่านก็บอกว่าเขาเจอข้าแล้วอยากดื่มสุรา”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“นั่นเขาหาข้ออ้าง เพราะเขาอยากดื่มสุราตลอดเวลา แต่พอข้าเห็นเจ้าแล้วอยากสูบยาเส้นจริงๆ”
ชายชราเลี้ยงม้าเอ่ย
“ถ้าท่านไม่บอกเหตุผล วันนี้ข้าจะไม่กลับไปเลย!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยความโมโห
“ไม่กลับก็ดี พรุ่งนี้เช้าเจ้ายังสามารถช่วยข้าทำงานได้”
ชายชราเลี้ยงม้าพูดอย่างเฉยเมย
เขาไม่กลัวการข่มขู่ของหลิวรุ่ยอิ่ง
ในความเป็นจริง คำพูดนี้ก็ข่มขู่ใครไม่ได้จริงๆ
ที่คอกม้ากว้างขวางเหลือเกิน
ตราบใดที่เขาไม่รังเกียจความสกปรกและกลิ่นเหม็น
กระทั่งนอนในกองมูลม้าก็ไม่มีใครสนใจ
“ท่านจะไม่บอกจริงๆ หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เจ้าอยากรู้หรือ”
ชายชราเลี้ยงม้าถามกลับ
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
“เพราะข้าไม่ได้เห็นคนหนุ่มนิสัยเช่นเจ้าทำงานในกรมสอบสวนมานานแล้ว”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“ข้ามีนิสัยเช่นนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ท่านสูบยาเส้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ
เขารู้สึกว่าชายชราเลี้ยงม้ากำลังหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามเขา
“มีนิสัยนั้นหมายถึงมีความชัดเจนในตัวเอง แต่ควันยาเส้นนี้นุ่มนวลกว่าน้ำอีก”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“ที่ต่ำกว่าจะมีน้ำขัง แต่ไม่ว่าข้าจะพ่นไปทางไหน มันก็สามารถขยายไปรอบๆ ได้ แม้บางครั้งจะช้า แต่มันก็ทำได้เสมอ”
ชายชราเลี้ยงม้าดูดยาเส้นอีกครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งถูกควันทำให้สำลักไอ
“ดังนั้น การที่มันเลือนรางหรือนุ่มนวลไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่หนักหน่วงทำให้รู้สึกถึงความเป็นจริง แต่เมื่อมันตกลงไป ก็จะเร็วกว่าสิ่งอื่น ความเลือนรางและนุ่มนวลดูเหมือนจะเสียเวลาไปมาก แต่ตราบใดที่มีทิศทาง ช้าหน่อย สายหน่อย มันก็ไม่เป็นไร”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
เขายื่นกระบอกยาเส้นให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยสูบยาเส้น
เขาเพียงแค่เลียนแบบท่าทางของชายชราเลี้ยงม้า ดูดเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ควันไหลลงปอด
แล้วพ่นออกมาจากช่องปากอย่างช้าๆ
ความรู้สึกนี้วิเศษมาก
หลิวรุ่ยอิ่งเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง
“สิ่งนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะโต้ตอบด้วยคำพูดเพื่อความสบายใจ
จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น เคาะกระบอกยาเส้นให้ดับก่อนจะคืนให้ชายชราเลี้ยงม้า
…………………..
ดรุณทลายพรรณเห็นหลิวรุ่ยอิ่งหลับตา
อ้าปากเล็กน้อย
หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หายใจออก
คืนที่มีฝนในช่วงต้นวสันตฤดู มักจะหนาวเย็นกว่าในเวลากลางวันมาก
หลิวรุ่ยอิ่งหายใจออกมาเป็นละอองขาว
เหมือนกับว่าเขาสูบยาเส้นเข้าไปจริงๆ
จากนั้นก็ลืมตาขึ้น มองไปทางคนสองคนที่อยู่ตรงข้าม
“เจ้าทำได้อย่างไรน่ะ!”
ดรุณทลายพรรณถามด้วยความตื่นตระหนก
พิษของเขาออกฤทธิ์แล้วชัดๆ
แต่กลับถูกหลิวรุ่ยอิ่งขจัดออกจนหมดสิ้นในช่วงหายใจเข้าออกนี้
“พิษที่โจมตีร่างกายนั้นต้องใช้ยาแก้พิษ พิษที่โจมตีจิตใจก็ต้องใช้ยารักษาจิตใจ เจ้าไม่มียาแก้พิษ แต่ข้ามียารักษาจิตใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาตั้งกระบี่ขึ้นตรง
ไม่สนใจโคลนเลอะเทอะที่ตัวและรูเล็กๆ ที่ปลายแขนเสื้อ
“ไม่มียาแก้พิษ พวกเราล้วนเท่าเทียมกัน ทว่าข้าไม่มียารักษาจิตใจ ฉะนั้นเจ้าเป็นฝ่ายชนะ”
ดรุณทลายพรรณส่ายศีรษะ พูดด้วยความเจ็บปวด
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครยินดียอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองได้
……………………………………………………………….