ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 191 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-2
บทที่ 191 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-2
“ข้าเพียงรู้สึกทอดถอนใจ พร้อมกับรู้สึกเร่งรีบอยู่บ้าง”
ทังจงซงกล่าว
“มีอะไรน่าทอดถอนใจหรือ ชีวิตดีเกินไปหรืออย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางเบ้ปาก
“ข้าทอดถอนใจที่นายกองหลิวของเรานั้นสมกับเป็นคนจากเมืองหลวงจริงๆ ได้เห็นสถานการณ์ใหญ่ๆ มากมาย! มีหญิงงามยืนอยู่ในห้องเช่นนี้ แต่ยังจิตใจแน่วแน่ทั้งยังนั่งอย่างสงบเสงี่ยมได้ ข้าน้อยชื่นชมยิ่งนัก!”
ทังจงซงถึงกับลุกขึ้นมาโค้งคำนับเพื่อแสดงความชื่นชม
คำพูดเสียดสีชัดเจน
“แล้วรีบอะไรกันล่ะ”
จิ่วซานปั้นถามขึ้นมาหลังจากที่พยายามยกหัวขึ้นจากจอกสุราของหญิงสาวข้างกายได้สักที
“ข้ารีบเพราะสหายของเราจนถึงตอนนี้ดื่มแต่สุราที่ถูกลงโทษเท่านั้น แต่สุราแห่งความสุขนี้กลับไม่ได้ดื่มเลยสักนิด!”
ทังจงซงพูดขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สนใจเขา
เขารู้สึกได้ถึงลมหอมที่พัดโชยมาจากด้านหลัง
เมื่อเขาหันกลับไป
สตรีนางหนึ่งก็นั่งลงข้างๆ เขาอย่างสง่างาม มือของนางถือจอกสุรา
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นหญิงสาวผู้นี้ ถึงแม้นางจะงดงามจนไม่สามารถอธิบายได้ แต่ทั้งตัวนางกลับมีกลิ่นอายที่เหนือกว่า
บนศีรษะของนางประดับด้วยดอกไม้ของฤดูใบไม้ผลิ
เข้ากับคิ้วงามและขมับบาง
เกรงว่าหากยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้ แม้แต่ผึ้งและผีเสื้อก็อาจจะสับสนได้
“คุณชาย!”
หญิงสาวเปิดริมฝีปากเบาๆ พูดอย่างอ่อนโยน
ท่ามกลางความมึนงง หลิวรุ่ยอิ่งรับจอกสุรานั้นและยกขึ้นดื่มจนหมด
“เป็นอย่างไรบ้าง นายกองหลิวมีความสุขหรือไม่”
ทังจงซงถามขึ้น
ประโยคนี้มาจากการพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขา ขณะที่ดื่มสุราในกระโจม
“มีความสุข มีความสุข!”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เขาเองก็ฟังออกถึงนัยยะในคำพูดของทังจงซง
จึงตอบกลับด้วยคำพูดเดียวกับที่เคยใช้ในตอนนั้น
เพียงแต่เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าทังจงซงยิ้ม ดวงตาทั้งคู่แจ่มชัดและสดใส
ไม่มีแม้แต่เงาของความกังวล
หลิวรุ่ยอิ่งโล่งใจ
รู้สึกว่าสหายของเขาค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืดนั้นแล้ว
คนเรามักจะหลงอยู่กับความรุ่งโรจน์ในอดีตจนไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้
ที่จริงแล้วสิ่งที่ทำให้คนทนไม่ได้มากที่สุดก็คือความต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
“คุณชายมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวรับจอกสุราที่หลิวรุ่ยอิ่งดื่มจนหมดแล้วถามขึ้น
“เจ้าคิดว่าข้ามาจากที่ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ
เขานึกถึงค่ำคืนนั้นในโรงเตี๊ยมพูนโชคที่เมืองจี๋อิงทันที
บัณฑิตจางบอกว่าคนจากทุกที่ล้วนมีลักษณะที่ไม่สามารถลบล้างได้
เขาอยากทดสอบสายตาของหญิงสาวในโรงเตี๊ยมนี้โดยไม่ตั้งใจ
“อย่างน้อยก็ไม่ได้มาจากหอทรงปัญญาของเรา”
หญิงสาวกล่าว
คำตอบนี้ถือว่าค่อนข้างชาญฉลาด
ในโลกกว้างใหญ่นี้ นอกจากหอทรงปัญญาแล้ว ยังมีที่มาที่ไปมากมาย
แต่ด้วยการพูดเช่นนี้ ก็เหมือนชี้ชัดตัวตนของหลิวรุ่ยอิ่งว่ามาจากภายนอก
“ขอถามควรเรียกแม่นางว่าอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ชิงเฉี่ยน[1]เจ้าค่ะ”
หญิงสาวตอบ
“ร่ำสุราอย่างไม่เร่งร้อนและร้องเพลงเบาๆ นั้นก็น่าสนุกไม่น้อย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คุณชายลองเดาดูสิว่าข้ามาจากที่ใด”
ชิงเฉี่ยนถาม
“เจ้าก็คงไม่ได้มาจากหอทรงปัญญานี้แน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางยิ้ม
ไม่คาดคิดว่าคำพูดนี้จะถูกปล่อยออกมา
ชิงเฉี่ยนกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง
“คุณชาย คำพูดที่แสนฉลาดนี้ พูดครั้งแรกอาจถือเป็นเรื่องสนุก แต่หากใช้ซ้ำอีกครั้ง ท่านไม่คิดว่ามันจะน่าเบื่อหน่ายบ้างหรือ”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถูกอีกฝ่ายพูดใส่อย่างไม่ทุกข์ร้อน ใจก็รู้สึกว่าเสียหน้าอยู่บ้าง
แต่ในสถานที่เช่นนี้ ส่วนใหญ่ก็พูดจามีวาทศิลป์กันทั้งนั้น
เมื่อคนอื่นประชดประชันเจ้า หากเจ้าต้องการตอบโต้ก็ต้องประชดประชันกลับ
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งมาสถานที่เช่นนี้ไม่บ่อย
ไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่เช่นนี้เหมือนทังจงซง
อีกทั้งชิงเฉี่ยนดูเหมือนจะโศกเศร้าเล็กน้อย
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น
ไม่สามารถเป็นอิสระและสบายใจได้เหมือนทังจงซง
“ข้าไม่ทราบว่าคุณชายมาจากที่ใด แต่กลิ่นอายการฆ่าฟันของคุณชายยังไม่จางหายไป เกรงว่าการใช้จอกสุรานี้อาจไม่เหมาะสมนัก”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
ม่านตาของหลิวรุ่ยอิ่งหดลงกะทันหัน
จ้องมองใบหน้าชิงเฉี่ยนอย่างตรงไปตรงมา
แต่ชิงเฉี่ยนไม่ได้ใส่ใจ
ยังคงดื่มสุราที่ตัวเองรินไว้อย่างไม่สนใจ
จากนั้นสั่งให้บริวารไปเอาชามหยกมาหนึ่งใบ
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา
ทำให้ทั้งห้องที่เคยสนุกสนานเงียบลงเล็กน้อย
คำว่าฆ่าฟันไม่ควรปรากฏในสถานที่อ่อนโยนนี้
อีกทั้งหลิวรุ่ยอิ่งเองก็มาถึงช้ามาก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาทั้งสองด้านนี้แล้ว จะไม่ทำให้คนสงสัยได้อย่างไร
“พวกเราลูกหลานชาวยุทธ์ ล้วนแต่มีหัวใจแห่งความกล้าหาญและจริงใจ หากขาดจิตวิญญาณของการฆ่าฟันไป คงทำให้คนหัวเราะเยาะว่าเราอ่อนแอและไร้ความสามารถไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางยิ้ม
แม้เขาจะพยายามปิดบังและหลีกเลี่ยงได้ดีเยี่ยม
แต่เขาเห็นว่าฉางอี้ซานที่กำลังจะยกจอกสุราเข้าปาก ก็หยุดลังเลไปชั่วขณะก่อนจะดื่มลงไป
“สิ่งที่ข้าพูดถึงคือกลิ่นอายในการฆ่าฟัน ไม่ใช่ความห้าวหาญในยุทธภพที่คุณชายพูดถึง อีกอย่าง ต้องขี่ม้าถือกระบี่พเนจรสุดขอบฟ้าจึงจะถือว่าเป็นลูกหลานแห่งยุทธภพหรือ”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
จากนั้นนางก็รินสุราเต็มชามหยก
ประคองทั้งสองมือ ยื่นไปตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งช้าๆ
“เช่นนั้นเจ้าว่าอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นลูกหลานแห่งยุทธภพนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ชิงเฉี่ยนไม่ตอบ
แต่นางยื่นชามหยกที่เต็มไปด้วยสุราในมือของนางไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย
“มีสาวงามยกสุราให้ คุณชายยังจะลังเลอะไรอีก”
ทังจงซงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยยั่วยุ
“หากดื่มไม่ได้ ช้าช่วยเจ้าได้นะ!”
จิ่วซานปั้นก็เริ่มตะโกนตาม
“ข้าต้องดื่มชามนี้จนหมด เจ้าถึงจะพูดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ใส่ใจกับการขัดจังหวะของทั้งสอง
เขารับชามหยกนั้นมาแล้วพูดกับชิงเฉี่ยน
“คุณชายมีโลกของท่านเอง แต่ในแดนเล็กๆ ของหอจันทร์กระจ่างนี้ก็เป็นโลกของเราเช่นกันไม่ใช่หรือ โลกของคุณชายคงมีกฎของมัน แต่กฎของหอจันทร์กระจ่างนี้คือต้องดื่มสุราก่อนพูดคุย”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ
เขาไม่อยากจะดื่มสุรามากเช่นนี้ตั้งแต่เริ่มจริงๆ
เพราะหลังจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกหิว ตั้งแต่นั่งลงจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ทานอะไรเลยสักคำ
แต่เขาก็อยากฟังชิงเฉี่ยนพูดให้จบจริงๆ
ดังนั้นสุรานี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ดื่มก็ต้องดื่ม
หลิวรุ่ยอิ่งจิบสุราช้าๆ จนหมดชาม
หวังว่ามันจะไหลลงท้องช้าๆ หน่อย
เพื่อไม่ให้ตัวเองเมาเร็วเกินไป
หลังจากดื่มจนหมด หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะหยิบตะเกียบเพื่อคีบอาหาร
กลับถูกชิงเฉี่ยนกดที่หลังมือด้วยนิ้ว
“ลูกหลานแห่งยุทธภพก็คือลูกหลานแห่งยุทธภพ ชีวิตนี้มีที่ใดไม่ใช่ยุทธภพ ชีวิตนี้มีที่ใดไม่มีลูกหลาน เมื่อรวมกันแล้วไม่ใช่ว่าเป็นลูกหลานแห่งยุทธภพหรอกหรือ”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
ถึงแม้คำพูดนี้จะไม่ผิด
แต่พูดออกมาก็เหมือนกับไม่ได้พูด
เมื่อคิดว่าตัวเองดื่มสุราชามใหญ่จนหมด แต่ได้คำตอบเช่นนี้กลับมา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าตัวเองขาดทุนมาก
“แม่นางชิงเฉี่ยนกล่าวได้ถูกต้องมาก ข้าน้อยชื่นชม! ขอดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก!”
ทังจงซงลุกขึ้นยกจอกพูด
“ไม่กล้ารับเจ้าค่ะ หากท่านจะชื่นชมด้วยการดื่ม ก็ควรดื่มกับสหายของท่านมากกว่า”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
“ข้ากับเขาก็ตั้งใจจะดื่มและร้องเพลงกันเต็มที่อยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่เราพูดกันแต่เรื่องโอหังอวดดี ไม่มีเสน่ห์อย่างวาจาที่แม่นางเอ่ย”
ทังจงซงกล่าว
“เมื่อครู่ฟังท่านเอ่ยว่าต้องการให้เขาดื่มสุราแห่งความสุข แต่ข้ารู้สึกว่าหากกลิ่นอายของการฆ่าฟันบนตัวคุณชายนี้ไม่สามารถลดลงได้บ้าง เกรงว่าคืนนี้เขาจะไม่มีสุราสักจอกที่ทำให้รู้สึกสุขใจ ไม่สู้เราทั้งสองร่วมมือกันช่วยเขาสักหน่อย”
ชิงเฉี่ยนกล่าว
หลังจากนั้นนางก็รินสุราเต็มชามให้หลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง และรินสุราให้ตัวเองอีกหนึ่งจอก
หลังจากลุกขึ้น นางและทังจงซงส่งสัญญาณให้กัน ก่อนจะพร้อมใจกันยกจอกสุรามาทางหลิวรุ่ยอิ่ง
“สหาย ข้าตั้งใจอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระให้เจ้าบ้าง แต่แม่นางผู้นี้ไม่ยอม ข้าก็ไม่มีทางเลือก!”
ทังจงซงใช้โอกาสที่ชนจอกกระซิบกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“เจ้าขึ้นชื่อว่าเป็นมือหนึ่งเรื่องระหว่างชายหญิงยังมีช่วงขี้ขลาดตาขาวด้วยหรือ ข้าว่าเจ้าน่าจะตั้งตารอสิ่งนี้อยู่ต่างหาก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ
“หมดจอกแสดงความเคารพ!”
ชิงเฉี่ยนกดปากจอกลง ส่งสัญญาณให้ทั้งสองดื่ม
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจจะพูดอะไรกับทังจงซงเพิ่มเติม
แต่เห็นเขาถอยกลับแล้วเริ่มดื่ม
ไม่มีทางเลือก มองดูน้ำสุราใสๆ ในชาม
เขาทำได้เพียงกลั้นใจดื่มมันลงไป
เพียงแต่ชามนี้เขาไม่ได้จิบเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป
ถึงอย่างไร สถานการณ์ก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ในงานเลี้ยงสุราไม่มีกลวิธีหรือความยืดหยุ่นเหมือนในสนามรบ
มีเพียงกระดกสุราลงไปทีละคำ นั่นต่างหากที่เป็นกฎเกณฑ์
………………………………………………….
[1] ชิงเฉี่ยน (轻浅) เล่นคำกับ 浅吟清唱 (เฉี่ยนหยินชิงช่าง) หมายถึง ดื่มสุราช้าๆ และร้องเพลงเบาๆ ใช้บรรยายการพักผ่อนของขุนนางจีนมัยโบราณ