ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 193 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-4
บทที่ 193 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-4
ในห้องส่วนตัว
หลิวรุ่ยอิ่งต้องทนรับสุราที่ถูกบังคับให้ดื่มเป็นจำนวนมาก ยามนี้เขากลับรู้สึกมึนเมาเหมือนกำลังล่องลอย
คนดื่มสุรามักจะเลี่ยงการดื่มยามท้องว่าง
ยิ่งห้ามดื่มรวดเดียว
แต่คืนนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับฝ่าฝืนทั้งสองสิ่งนี้
เวลานี้เขาเพิ่งเดินออกจากห้องส่วนตัว โดยแกล้งบอกว่าจะออกไปถ่ายเบาเล็กน้อย
แต่จริงๆ แล้วเขาอยากออกไปเดินเล่น ระบายฤทธิ์สุราออกจากร่างกาย
‘ชิงเฉี่ยนผู้นี้…ที่จริงแล้วไม่เบาและไม่นุ่มนวลเลยสักนิด‘
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
เวลานี้เอง เขาพลันได้ยินเสียงวุ่นวายขึ้นมา
คนลึกลับที่เพิ่งข่มขู่จินเฉาโหย่วเยวี่ยกำลังบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวทีละห้อง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร
แต่ดูท่าแล้ว เหมือนกำลังตามหาคน
เด็กรับใช้ในหอจันทร์กระจ่างพยายามออกมาขวาง
เพราะผู้ที่สามารถนั่งในห้องส่วนตัวเหล่านี้ได้ ไม่ร่ำรวยก็สูงศักดิ์
แม้แต่หอจันทร์กระจ่างเองก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาขุ่นเคืองได้
แต่คนลึกลับผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ไว้หน้าใครแม้แต่น้อย
แค่ยกแขนขึ้น ก็ทำให้เด็กรับใช้เหล่านั้นกระเด็น
คนในห้องส่วนตัวส่วนหน้าๆ ยังคงเป็นมิตร
คิดว่าแค่มีคนเข้าผิดห้อง ไม่ได้สอบถามมาก
จนกระทั่งมีคนหนึ่งจับชายเสื้อของคนลึกลับนั้น และเทสุราลงบนหัวเขา
สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยปิดประตูแน่นหนา
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว คนลึกลับนั้นจะก่อความวุ่นวาย
แต่จะมีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของตัวเองอีกเล่า
ตาไม่เห็น ใจก็ไม่ว้าวุ่น
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยที่ใจใฝ่หา ‘ความสงบ’ มาทั้งชีวิต กลับสลายสิ้นในคืนนี้
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร บุกห้องส่วนตัวของข้า เจ้ามีกี่ชีวิตกัน?”
ในห้องส่วนตัวมีคนหนึ่งยังคงโวยวายอยู่
แต่คนลึกลับนั้นเป็นคนใบ้
เดิมทีก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว
จึงทำได้เพียงตอบโต้ด้วยความเงียบ
เขามองไปที่ตะเกียบบนโต๊ะ
ยื่นมือไปคว้า
ตะเกียบคู่หนึ่งก็หายไปจากมือเขาโดยไม่มีใครรู้ตัว
และไม่สนใจสุราที่ยังไหลลงบนใบหน้า
เขาใช้ตะเกียบคู่นั้นเสียบเข้าไปในรูจมูกของคนที่กำลังโวยวาย
คนในห้องส่วนตัวต่างตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงเตรียมกลับไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อเตือนทุกคน
ใครจะรู้ว่าคนลึกลับผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม
เพียงพริบตาก็แซงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาผลักประตูห้องส่วนตัวที่หลิวรุ่ยอิ่งอยู่
เห็นว่าชิงเฉี่ยนกำลังนั่งหันหลังให้ประตู
เขาเดินไปดึงข้อมือของชิงเฉี่ยนเพื่อพานางออกไป
ไม่คิดว่าจะถูกฉางอี้ซานใช้จอกสุราจับมือเขาไว้อย่างแน่นหนา
“สหาย การกระทำเช่นนี้มันไม่เสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือ”
ฉางอี้ซานเอ่ยเรียบๆ
คนลึกลับเปิดปาก แล้วใช้มือชี้ไปที่ปากของเขา
ฉางอี้ซานเห็นว่าในปากของเขาว่างเปล่า
ปรากฏว่าเขาไม่ใช่คนใบ้
แต่เพราะลิ้นของเขาถูกตัดทิ้งไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
สีหน้าของฉางอี้ซานเคร่งขรึมขึ้น
เขาหยิบแท่นฝนหมึกของตัวเองออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ
คนลึกลับเข้าใจความหมายของฉางอี้ซาน
ยื่นมือจุ่มหมึกเขียนลงบนโต๊ะว่า
‘ข้าจะพานางออกไปจากที่นี่’
“ชิงเฉี่ยนเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง เจ้าจะพานางออกไปได้อย่างไร”
ฉางอี้ซานเอ่ยขึ้น
เขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถพาสตรีของหอจันทร์กระจ่างไปได้โดยไม่มีการแลกเปลี่ยน
และดูจากท่าทางของเขา ก็ไม่มีท่าทีว่าจะไถ่ตัวชิงเฉี่ยน
คนลึกลับจุ่มมือลงไปในน้ำหมึกอีกครั้ง
วงกลมล้อมรอบประโยคที่เขาเขียนไว้เมื่อครู่
และขีดเส้นใต้คำว่า ‘ออกไป’
“อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
หลิวรุ่ยอิ่งบุกเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วพูดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
ฉางอี้ซานเอ่ยถาม
“เขาฆ่าคน”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
แม้ว่าผู้ตายจะเสียชีวิตในหอจันทร์กระจ่าง
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากมีคนเสียชีวิตก็ย่อมเกี่ยวข้องกับหอทรงปัญญา
ฉางอี้ซานไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
เมื่อคนลึกลับเห็นหลิวรุ่ยอิ่งพยายามขวางทางเขา
แววตาเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย
เขาพลิกมือขว้างจอกสุราที่ฉางอี้ซานใช้จับเขาไว้ไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรีบหลบทันที
แต่กลับเปิดช่องว่างตรงประตูเล็กน้อย
เมื่อคนลึกลับเห็นทางหนีเปิดออก ก็จูงมือชิงเฉี่ยนพยายามจะหลบหนี
เขาไม่ได้โง่
เห็นได้ชัดว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวนี้ไม่ใช่คนที่เขาสามารถจัดการได้ง่ายๆ
แต่ในตอนนี้เอง ชิงเฉี่ยนกลับสะบัดมือเขาออก
“ข้าไม่รู้จักเขา”
ชิงเฉี่ยนพูดพลางมองไปที่ฉางอี้ซาน
“แต่ดูท่าทางแล้ว เขาเหมือนจะรู้จักเจ้า”
ฉางอี้ซานพูดขึ้น
คนลึกลับมองชิงเฉี่ยนที่บอกว่าไม่รู้จักตน ในดวงตาของเขามีน้ำตาซึมๆ อยู่
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นริมฝีปากของเขาสั่นไหวไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าคำว่า ‘ไม่รู้จัก’ จากชิงเฉี่ยน ทำให้ใจเขาบอบช้ำอย่างยิ่ง
คนลึกลับอ้าปาก
ดูเหมือนว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะเอ่ยอะไรออกมา
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด
กลับทำได้เพียงเปล่งเสียงพึมพำที่แปลกประหลาดจากลำคอ
ไม่สามารถแยกเป็นคำได้เลยแม้แต่คำเดียว
“สหาย ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลอะไร แต่เจ้าแบกชีวิตคนอื่นอยู่บนหลัง ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าไปได้”
ฉางอี้ซานเอ่ยขึ้น
ทั้งในทางสาธารณะและส่วนตัว เขาต้องจัดการเรื่องนี้
ในทางสาธารณะ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนพื้นที่ของหอทรงปัญญา
ในทางส่วนตัว เพราะเขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แนบแน่นกับจินเฉาโหย่วเยวี่ย เจ้าของหอจันทร์กระจ่าง
ฉางอี้ซานใช้ปลายนิ้วแตะแท่นฝนหมึกเบาๆ
น้ำหมึกในแท่นฝนหมึกพุ่งขึ้นราวกับผ้าไหมที่พลิ้วไหว
กลายเป็นโซ่หมึกพุ่งไปทางคนลึกลับ
คนลึกลับใช้สองนิ้วหนีบไว้
เขาตัดโซ่หมึกของฉางอี้ซานจากตรงกลาง
โซ่หมึกที่สูญเสียกำลังไปกลายเป็นสายน้ำหมึกแล้วหยดลง
ล้วนตกอยู่บนตัวชิงเฉี่ยน
เมื่อคนลึกลับเห็นเสื้อผ้าของชิงเฉี่ยนเปื้อนหมึก
ทันใดนั้นพลันทำอะไรไม่ถูก
ถึงขั้นจับชายเสื้อของตัวเองพยายามเช็ดให้นาง
ฉางอี้ซานอาศัยจังหวะนั้น
ฟาดฝ่ามือลงบนไหล่ของคนลึกลับ
แม้จะดูเหมือนอ่อนโยนและไร้เสียง
แต่ชั่วขณะที่ฝ่ามือสัมผัสไหล่ของคนลึกลับ พลังมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมา
คนลึกลับถูกฝ่ามือโจมตีกะทันหันจนไหล่ทรุด
ครึ่งตัวเอนไปด้านหนึ่ง
แต่เพียงชั่วพริบตา
เขากลับสามารถยืนตัวตรงได้อีกครั้ง
ฉางอี้ซานมีสีหน้าเหลือเชื่อ
การโจมตีเมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด
แต่ตามหลักการแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้ไหล่ของเขาหักได้
ทว่าคนลึกลับกลับต้านทานฝ่ามือของเขาได้
ดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากฉางอี้ซานไม่ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัวโจมตีออกไปอย่างรวดเร็ว
คงไม่มีโอกาสทำให้ไหล่ของคนลึกลับนั้นทรุดลงได้
“นี่มันวิชาอะไร…”
หลิวรุ่ยอิ่งสังเกตอย่างใจจดใจจ่อ ในใจรู้สึกตกตะลึง
เขารู้ว่ามีหนึ่งสำนักในหมู่ผู้ฝึกยุทธ
พวกเขาไม่มีอินหยางในร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ฝึกกำลังภายใน
แต่กลับผลักดันขีดจำกัดร่างกายตนเองวันแล้ววันเล่า
เพื่อแสวงหาพลังปราณโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุด
คนลึกลับดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้
ร่างกายของเขาเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดามาก
แม้แต่ฉางอี้ซานที่ใช้แรงทั้งหมดในการโจมตี ก็ดูเหมือนจะใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาต้านทานไว้ได้
วิชาการต่อสู้เช่นนี้นอกจากชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้แล้ว หาได้ยากมากที่จะมีคนภายนอกฝึกฝน
แต่เห็นได้ชัดว่าคนลึกลับคนนี้ไม่ใช่ชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแสงสีแดงรางๆ ปรากฏรอบตัวคนลึกลับ
นั่นคือสัญลักษณ์ของพลังปราณโลหิตที่ฝึกฝนจนถึงขีดสุด
คนลึกลับโบกด้วยมือเดียว
ไม่มีพลังใดๆ
เพียงแค่ลมจากฝ่ามือก็พัดจานอาหารบนโต๊ะกระจัดกระจาย
ทังจงซงหลบไม่ทัน
ชามบะหมี่แห้งตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างพอดิบพอดี
ทังจงซงสะดุ้งเฮือก
เมาจนหัวหมุน
จึงชักกระบี่พุ่งเข้าหาคนลึกลับทันที
คนลึกลับไม่หลบเลี่ยง
รับด้วยมือเปล่า
ยื่นมือจับคมกระบี่ของทังจงซงไว้
ตามด้วยบิดข้อมือ
กลับสามารถบิดกระบี่ที่หลอมจากเหล็กกล้าราวกับหักต้นหอม
ฉางอี้ซานรู้ดีว่าเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว
เจ้าบ้านส่งสัญญาณให้ทุกคนด้วยสายตา
แต่ภายในห้องส่วนตัวพื้นที่เล็กแคบ
คนลึกลับยืนอยู่ที่ประตู
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่มีที่ไป
ทำได้เพียงยืนเผชิญหน้าอย่างระมัดระวัง
คนลึกลับมองชิงเฉี่ยน จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกและยื่นให้นาง
ชิงเฉี่ยนรับผ้าเช็ดหน้ามา
เมื่อเปิดออกดู ก็พบว่ามีบทกวีเขียนอยู่ข้างใน
“วสันตสารทไร้เงายากหลับไหล วันคืนเคลื่อนคล้อยกี่ปีหน ลมหนาวพัดผ่านบานหน้าต่าง เศร้าโศกโศกา อดีตท้องทะเลกลายเป็นท้องทุ่ง หิมะพิรุณแห้งเหือดช้านาน หวนกลับมาเถิด ไม่รู้ใจเจ้าไปที่ใด ลมยามค่ำคืนเงียบเหงา ขับขานเพลงประมง เฝ้ารอเปี่ยมหวัง ปิ่นหยกผมขาวยืนตระหง่านในหมู่มนุษย์”
…………………………………………………………