ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 201 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-2
บทที่ 201 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-2
ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาแห่งโอกาสนี้
จินเฉาโหย่วเยวี่ยรีบผละมือล่าถอย
แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
เล็บนิ้วชี้ทั้งสองมือของเขาถูกขดสายว่าวกระชากหลุดออก
แม้ว่าเลือดไม่ไหล
ท้ายที่สุดก็ยังพลาดท่าอยู่ดี
จินเฉาโหย่วเยวี่ยสะบัดชายเสื้อ ลูกคิดหยกพลันอยู่ในมือ
“ผู้ที่บรรเลงผีผาเริ่มเล่นว่าว ผู้ที่ตีกลองกลับดีดลูกคิด”
ครั้นชายเป่าขลุ่ยเห็นลูกคิดหยกในมือจินเฉาโหย่วเยวี่ยพลันหยุดเป่าขลุ่ยและกล่าวออกมาเช่นนี้
แม้ว่าจะเป็นประโยคทอดถอนใจก็ตาม
แต่น้ำเสียงของชายเป่าขลุ่ยไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ
ทุกคำทุกประโยคเยือกเย็นผิดปกติ
ต่อให้ร่ำเรียนอ่านหนังสือก็ยังต้องมีเสียงสูงต่ำใช่หรือไม่
ทว่าประโยคที่ชายเป่าขลุ่ยพูดกลับไร้ซึ่งน้ำเสียงใดๆ ไม่มีแม้แต่อารมณ์ความรู้สึก
เห็นจินเฉาโหย่วเยวี่ยหยิบลูกคิดออกมา
สตรีเล่นว่าวจึงเก็บสายว่าวคืนกลับไป
แต่นางหาได้หยุดมือไม่
หันกระบวนฝ่ามือไปทางโต๊ะแทน จากนั้นร้อยสายว่าวไว้ตรงตัวว่าวใหม่อีกครั้ง
“หรือว่าเข็มด้ายนี้จะนับเป็นอาวุธได้ด้วย”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถามพลางแค่นหัวเราะ
“สมัยก่อนเราสามคนใช้เครื่องดนตรีเป็นอาวุธ ตอนนี้เจ้าสามารถใช้ลูกคิดเป็นอาวุธได้ เหตุใดข้าจะใช้ว่าวไม่ได้เล่า”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
แม้ว่านางจะกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมอย่างยิ่ง และตอนนี้บรรยากาศในห้องก็ตึงเครียดและเคร่งขรึมอย่างยิ่งเช่นกัน
แต่ทันทีที่นางปริปาก พลันเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหลทันตา
หากเป็นคนจิตใจอ่อนระทวย อาจคุกเข่าใต้กระโปรงสีแดงทับทิมไปแล้ว เต็มใจยอมให้สายว่าวแขวนคอของตนจนสิ้นชีวิตแต่โดยดี
สตรีบางคนก็เป็นเช่นนี้
แม้ว่าหน้าตาจะไม่โดดเด่นก็ตาม
หรือรูปร่างอาจไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน
แต่ทุกอิริยาบถ ทุกอากัปกิริยากลับมีเสน่ห์ยิ่ง
สตรีเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าสตรีงดงามเหล่านั้นเสียอีก
เพราะสตรีงดงามเพียงมองใบหน้านางก็บอกได้ว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน
ย่อมต้องคอยเฝ้าระวังตน
แม้ว่าท้ายที่สุดจะเสียเปรียบเช่นเคย แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบมากเกินไปนัก
ก็ยังนับว่าสมเหตุสมผล
แต่หากเปลี่ยนเป็นสตรีเล่นว่าวนี้
ดูเหมือนธรรมดา
แท้จริงแล้วอยู่เหนือยิ่งกว่า
เสมือนกบในน้ำเดือด ถูกกินเรียบอย่างไร้สุ้มเสียงไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ครั้นกล่าวเช่นนี้แล้ว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ธรรมดาจริงๆ
แม้ว่าเขาจะเคยเป็นกบในน้ำเดือดตัวนั้นมาก่อนก็ตาม
เพียงแต่เขากระโดดออกจากหม้อก่อนที่น้ำจะเดือด
“เพียงดึงว่าวเบาๆ พลันแกว่งไกวไม่รู้จบ แต่ลูกคิดข้าเพียงสัมผัสก็จะแน่นิ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ฉะนั้นเจ้าจะไม่กลับไปแล้ว จะต้องสู้จนตัวตายใช่หรือไม่”
สตรีเล่นว่าวเอ่ยถาม
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ตอบ แต่กลับเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
“ข้าสร้างค่ายกลกับดักรอบหอจันทร์กระจ่างสามลี้ มองไม่ทะลุ ทำลายไม่ได้ เกรงว่าองครักษ์หอทรงปัญญาเหล่นั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่ทำลายค่ายกลได้”
สตรีเล่นว่าวนี้กล่าว
ดูเหมือนว่านางจะเดาความคิดในใจจินเฉาโหย่วเยวี่ยออก
กล่าวออกมาเช่นนี้เพื่อทำลายความคิดของเขา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ผู้คนมักใช้ถ้อยคำให้อีกฝ่ายสิ้นหวัง
ยามนี้จินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นศัตรูกับนาง นี่จึงเหมาะสมแล้ว
แต่ในยามปกติ จะมีสักกี่คนที่กล่าวถ้อยคำเป็นห่วงแต่แท้จริงแล้วกลับซ้ำเติม
จงรู้ไว้ว่าในใจทุกคนล้วนมีบัญชีแค้นอยู่
ต่อให้เป็นคนที่เลอะเลือน เขาก็ยังรู้ว่าน้ำเดือดดื่มไม่ได้ จะลวกปากเอา
ลุยโคลนไม่ได้ ขาจะบาดเจ็บเอา
ไม่ต้องให้ผู้อื่นแสร้งสั่งสอนหรือแสดงให้เห็น ‘ความห่วงใย’ ที่มากกว่า
จินเฉาโหย่วเยวี่ยหัวเราะ
คราวนี้ไม่ใช่การแค่นหัวเราะ
แต่เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและธรรมชาติยิ่ง
ราวกับมีบางสิ่งคุ้มค่าน่ายินดีจริงๆ
“เช่นนี้ก็ยิ่งดี ไม่มีผู้อื่นมารบกวน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“แต่ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองมองหาเงิน เหตุใดจึงไม่ถามข้าว่าเงินอยู่ที่ใดเล่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถาม
อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำพาความร่ำรวย
แม้ว่าการต่อสู้ดำเนินมานาน ไร้ซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไปนานแล้ว
แม้แต่พวกเขาทั้งสาม ก็สูญเสียการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไปนานแล้วเช่นกัน
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยก็ยังอยากจะหวนคืน
เขาไม่เสียใจกับสิ่งที่ตนเคยทำลงไป
สิ่งเดียวที่เสียใจมีเพียงเหตุใดเมื่อคืนจึงไม่ระงับอารมณ์ กลับแสดงวิชายุทธ์ไปจนได้
หากตอนนั้นตนอดทนอีกหน่อย ไม่ดีดลูกคิดหยก บางทีสองคนนี้อาจไม่มาถึงเร็วเพียงนี้
แม้จะมาถึงไม่ช้าก็เร็วก็ตามที
แต่บางเรื่องยิ่งช้าเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
“เพราะก่อนความตายจะมาเยือน เจ้าก็ย่อมพูดได้ ตราบใดที่ผู้คนยังหายใจได้ ล้วนเห็นคุณค่าของสิ่งภายนอกสำคัญกว่าชีวิตมากนัก ไม่ว่ายามปกติจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเพียงใดก็มักจะรู้สึกเช่นนี้ เมื่อถึงตอนที่หายใจไม่ออกและถึงวาระสุดท้ายจริงๆ จึงจะทุ่มทุกสิ่งเพื่อต่อโอกาสหายใจอีกสองสามครั้ง”
“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร แสร้งทำว่าเจ้าต่างจากผู้อื่นชั่วคราว เช่นนี้ก็ง่ายขึ้นมาก”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยพลันรู้สึกหนาวเหน็บในใจพักหนึ่ง
คาดไม่ถึงคนเคียงหมอนคลอเคลียใกล้ชิดจะกล่าว่าไม่รู้ว่าตนเป็นคนเช่นไร
ไม่รู้ว่าความโศกเศร้านี้ควรเป็นของนางหรือของตนกันแน่
บางทีทั้งสองคนเดิมก็เจ็บปวดมาก
“ทว่าหากข้าพูดไป มันไม่ได้ง่ายเช่นการหายใจสองสามครั้งเพียงนั้น ข้าต้องการหายใจต่อไปเรื่อยๆ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าพวกเราไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงยังร้องขอเช่นนี้ออกมาอีก”
สตรีเล่นว่าวเอ่ยถาม
“เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าต้องตายอย่างแน่นอน เหตุใดจึงบอกให้เวลาข้าหายใจและให้ความหวังข้าเล่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยย้อนถาม
สตรีเล่นว่าวหาเหตุผลและข้ออ้างมากล่าวไม่ได้
นางเอื้อมมือออกไปสัมผัสขอบว่าวเบาๆ
ว่าวนี้แม้จะดูธรรมดา แต่เป็นงานฝีมือประณีตยิ่ง
โครงว่าวรื้อจากผีผาในอดีตของนางมาทำ
ข้อต่อทุกส่วนล้วนใช้กาวข้าวเหนียวติดแน่นไม่ขยับแม้แต่ชุ่นเดียว
สุดท้ายยังใช้ด้ายไหมพันอีกหลายรอบ
ส่วนตัวมันนั้นไม่รู้ว่าทำจากวัสดุสิ่งใด
ทว่ามีความยืดหยุ่นมาก
เกรงว่าจะเหมือนนกโผบินบนท้องฟ้าโดยไม่ถูกลมแรงพัดทำลาย
“ขาดไปหนึ่งคน ย่อมขาดคนแบ่งเงินไปหนึ่งคน เงินเท่ากันแบ่งสามส่วนมักได้น้อยกว่าแบ่งสองส่วน”
ชายเป่าขลุ่ยกล่าวอย่างราบเรียบ
“เช่นนั้นไม่แบ่งก็จะมากที่สุดไม่ใช่หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
สตรีเล่นว่าวและชายเป่าขลุ่ยได้ยินคำพูดนี้พลันตะลึงงัน
แต่ครั้นครุ่นคิดก็เข้าใจความหมายในคำพูดของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
เงินอยู่ที่ใด มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้
ตอนนี้ในห้องมีสามคน
หากไม่แบ่ง ก็มีเพียงหนึ่งคนที่ได้เงิน
นอกจากจินเฉาโหย่วเยวี่ยที่รู้ตำแหน่งแล้ว
ก็เหลือเพียงสตรีเล่นว่าวและชายเป่าขลุ่ย
สตรีเล่นว่าวเอียงกายเงยหน้ามองชายเป่าขลุ่ย
ดูเหมือนชายเป่าขลุ่ยตึงเครียดเล็กน้อย
เขาเลื่อนขลุ่ยไม้ไผ่ออกจากปากและกำมันในมือ
แม้ว่าไม่ได้มีท่าทีระมัดระวังชัดเจนก็ตาม
แต่เส้นเลือดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาเผยให้เห็นแล้ว
อินหยางสองขั้วในกายก็เริ่มหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว
เพียงเฝ้าคอยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
“เหอะๆ ไม่แบ่งหรือ เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าวคำนี้!”
สตรีเล่นว่าวได้สติคืนมาแล้วเอ่ยกับจินเฉาโหย่วเยวี่ยอย่างเดือดดาล
คำพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเคลือบยาพิษ
ครั้นได้ยินสตรีเล่นว่าวกล่าวมาเช่นนี้
ชายเป่าขลุ่ยจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เพียงแต่กำขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ในมือแน่นดังเดิม
การวาดภาพที่ยอดเยี่ยมพรรณนาถึงทิวทัศน์ได้ แต่ไม่อาจพรรณนาถึงจิตใจของผู้คนได้
สตรีเล่นว่าวถือว่าวกลับหัว
ในมือดึงด้ายไว้
ม้วนดังพรึ่บ
ว่าวนี้กำลังมุ่งไปโจมตีจินเฉาโหย่วเยวี่ย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองเห็นบางสิ่งที่แวววาวอยู่ภายนอกโครงว่าว
จึงเดาว่ามีอาวุธบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน
และอาวุธลับเหล่านี้จะต้องย้อมไปด้วยพิษ
เพราะภายใต้ความอ่อนโยนของสตรีเล่นว่าว มีจิตใจโหดเหี้ยมฆ่าคนและแหลกเป็นชิ้นๆ
นอกจากนี้นางยังต้องมีแผนสำรองด้วย
นี่เป็นสิ่งที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยคาดไม่ถึงและเดาไม่ออกเช่นกัน
เขามองดูว่าวที่แกว่งไกวพุ่งเข้ามา
พลันออกแรงเขย่าลูกคิดในมือ
‘แกรกๆ’
ลูกคิดล้างเป็นศูนย์
ล้างเป็นศูนย์หมายถึงการเริ่มต้นใหม่
ลูกคิดทุกลูกและทุกการคำนวณในตอนนี้ล้วนได้รับความหมายใหม่
“สามเวลาเช้าค่ำ ร่ำสุราห้าจินหนักหน่วง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยพึมพำบางอย่าง
ในมือของเขากำลังดีดลูกคิดเลข ‘สาม’ และเลข ‘ห้า’
เดิมว่าวที่ได้รับแรงผลักดัน จู่ๆ กลับมีแรงมหาศาลขวางกั้นเอาไว้
ราวกับหิ่งห้อยบินชนกำแพงกระเด็นถอยหลัง
สตรีเล่นว่าวจับด้ายออกแรงดึงไปด้านข้าง
ว่าวตั้งตรงแน่ว หลบหลีกสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น
“พบหนึ่งสมบัติล้ำค่า เอาชนะฟ้าดินสามสอง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางต่อสู้
‘สาม’ ก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยน
‘ห้า’ กลับเปลี่ยนเป็นหนึ่ง
แต่ตำแหน่งหน้าหลังสลับกัน
ตัวว่าวที่เบี่ยงไปด้านข้างถูกพลังกดลงจากบนลงล่าง
สูญเสียสมดุลลอยเคว้งไปทางตะวันตกราวกับตีลังคาหกคะเมน
“ขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
สตรีเล่นว่าวทุ่มพลังอย่างเต็มที่ จนในที่สุดสถานการณ์ของว่าวก็คงที่
เป็นเพียงพลังที่พลุ่งพล่านแล้วเริ่มลดลง จนร่วงลงในที่สุด
การลงแรงครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ได้สิ่งใดเลย
ว่าวแนบชิดติดกับผงไข่มุกที่กระจายอยู่บนพื้นแน่นแล้วพลิกกลับ
เมื่อถูกดึงกระชาก ดูเหมือนจะหวนกลับคืนสู่มือของสตรีเล่นว่าว
ชายเป่าขลุ่ยก็เห็นสิ่งนี้เช่นกัน
ขยับกายก้าวไปข้างหน้าเตรียมพร้อมลงมือ
คิดไม่ถึงว่าเท้าที่ก้าวออกมานี้จะถูกตอกแน่นอยู่กับที่ ไม่อาจก้าวหน้าหรือถอยหลังได้
“ดอกไม้ไฟเดือนสอง สารทกวียาวหมื่นม้วน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยดีดเลข ‘หมื่น’ ออกมาแล้ว
…………………………………………………………………..