ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 206 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-7
บทที่ 206 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-7
เดิมทีว่าวก็อาศัยลมและลู่ไปตามลม
เพียงเห็นมันโบยบินพลิกขึ้นลง ล่อยลอยอย่างอิสระตามการสะบัดเชือกของเจ้าหมิงหมิง
เสมือนดั่งคนแล่นเรือยืนเชิดหน้าบนกระแสน้ำ
แม้ว่าขึ้นๆ ลงๆ ไม่มั่นคงจะดูอันตรายมากก็ตาม
ความจริงแล้วหากมั่นใจก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว
สตรีเล่นว่าวเห็นเชือกนี้ค่อยๆ จางหายไป
รอยยิ้มเย้ายวนประดับบนใบหน้านาง
เจ้าหมิงหมิงก็เป็นสตรี
สตรีนางหนึ่งยิ้มยั่วยวนสตรีอีกนางหนึ่ง เกรงว่าจะไม่ได้สิ่งใด กระทั่งทำให้เกิดความอิจฉาริษยา
แต่นางแย้มยิ้มวิธีอื่นไม่เป็น
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
สตรีเล่นว่าวเห็นดังนี้อดรู้สึกดีใจไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้วไม่ใช่เพราะว่าวของนางขวางกั้นเชือกของตนไว้ได้
แต่ยิ้มยั่วยวนบนใบหน้านางทำให้คนรู้สึกรำคาญใจ
“ท่านชอบยิ้มมากหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“หรือน้องสาวคนดีไม่ชอบยิ้มเล่า”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
เจ้าหมิงหมิงส่ายศีรษะ
“ว่ากันว่าสตรีร้องไห้เก่งจึงจะดี”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
นางยกแขนขึ้น
ว่าวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ล้างร่องรอยสุดท้ายของเชือกให้กระจายหายไป
“ร่ำไห้ดีอย่างไร…เศร้าโศกย่อมสร้างความรำคาญให้กับผู้คน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางแค่นหัวเราะ
“ผิดแล้วน้องสาวคนดีของข้า หาได้ทำให้คนรำคาญไม่ ทำให้คนเอ็นดูรักใคร่ต่างหาก!”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“น้ำตาเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของสตรีเช่นพวกเรา โดยเฉพาะสาวน้อยเช่นเจ้า น้ำตาของเจ้าผสมกับน้ำนมและน้ำตาลเชียวนะ”
สตรีเล่นว่าวกล่าวต่อทันที
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดแปลกๆ ของนางเหล่านี้จนอยากจะหัวเราะ
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับแสดงท่าทีครุ่นคิด
“น้ำนมและน้ำตาลหรือ”
เจ้าหมิงหมิงทวนพึมพำเสียงเบา
“ไม่ผิด น้ำนมและน้ำตาล”
สตรีเล่นว่าวกล่าวอย่างรีบร้อน
ท่ามกลางเชือกสายนั้นที่เจ้าหมิงหมิงสะบัดออกมาเมื่อครู่นางสัมผัสถึงขอบเขตที่ทั้งลึกลับ ลึกซึ้ง และกว้างขวาง
ขอบเขตเช่นนี้จิตใจอันคับแคบของนางไม่อาจเข้าใจได้
ดังนั้นนางจึงเชื่อว่าหากปะทะกันต่อไปย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหมิงหมิงแน่
โชคดีที่นางมองท่าทางราวกับเด็กสาวของเจ้าหมิงหมิง ดูเหมือนจะไร้ประสบการณ์
ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องการได้เปรียบทางวาจา
ไม่กล่าวว่าสามารถโน้มน้าวให้หยุดมือได้
อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของเจ้าหมิงหมิงไขว้เขวได้เล็กน้อย นางจึงจะฉวยโอกาสลงมือได้ง่าย
วิธีการที่รวดเร็วฉับไว ตัดสินได้ในประโยคเดียว
“เนียนนุ่มดุจน้ำนม หวานหยดย้อยราวกับน้ำตาลประทับใจผู้คน”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
ฟังถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เขาเห็นท่าทีเจ้าหมิงหมิงที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด
อดไม่ได้ที่จะจับด้ามกระบี่ไว้ เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
“หรือว่า…”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยและหยุดครู่หนึ่ง
“น้องสาวอยากกล่าวสิ่งใด”
สตรีเล่นว่าวถาม
ครั้นเห็นเจ้าหมิงหมิงกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ นางจึงรีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน
“หรือว่าท่านเคยลิ้มรสน้ำตาของสาวน้อย”
เจ้าหมิงหมิงถาม จากนั้นเผยรอยยิ้ม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นเจ้าหมิงหมิงฉีกยิ้มเช่นนี้มาก่อน
แต่ก่อนล้วนอมยิ้มเล็กน้อย
ยกยิ้มมุมปากสองข้างเล็กน้อย
สร้างส่วนโค้งที่งดงามยิ่งบนใบหน้า
ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ในเมืองหลวงล้วนเคยพบเจอคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่งมากมาย
พวกนางทั้งได้รับประทานอาหารและสวมใส่อาภรณ์อย่างดี ไร้ความกังวล และยังยิ้มแย้มมากมายเป็นธรรมชาติ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด
รอยยิ้มของพวกนางให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเจ้าหมิงหมิง
หลิวรุ่ยอิ่งบรรยายออกมาไม่ได้
แต่มันกลับถูกสลักไว้ในเลือดและกระดูกของเขาอย่างแน่นหนา
ทว่ารอยยิ้มของเจ้าหมิงหมิงเมื่อครู่ กลับทำให้ใจหลิวรุ่ยอิ่งพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าหมิงหมิงเผยฟันสีเงินสองแถวในปากอย่างไม่ปิดบังเช่นนี้
แม้แต่ดวงตายังโค้งเป็นสองเสี้ยว
รอยยิ้มเช่นนี้ หากปรากฏบนใบหน้าของเกาลัดคั่วน้ำตาล ก็คงจะไม่แปลกใจ
เหมือนเด็กสาวที่เป็นคนรักในวัยเยาว์ของตน จู่ๆ ก็หยอกล้อตลกร้ายกับตน
จากนั้นเฝ้าดูอีกฝ่ายตกหลุมพรางและแผนร้ายของตนก็สำเร็จด้วยดี
ทั้งยังดูเหมือนเป็นแสงแดดแรกอันอบอุ่นหลังวสันตฤดู
สาดส่องบนพื้นผิวน้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย
น้ำแข็งบนผืนน้ำมีทั้งหนาและบาง
พื้นผิวไม่สม่ำเสมอ
แสงแดดส่องสะท้อน แผ่กระจายทั่วทุกทิศ
แต่มักจะมีแสงแดดตกกระทบจุดที่บางที่สุดบนน้ำแข็งอยู่เสมอ
ทำให้มันละลาย
เผยให้เห็นแม่น้ำอันเงียบสงบเบื้องล่าง
สามารถมองเห็นความปั่นป่วนภายใต้ความเงียบงันผ่านรูน้ำแข็งเล็กๆ นี้
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึง ที่แท้เจ้าหมิงหมิงที่สดใสดุจเกสรบัว บริสุทธิ์ราวกับหิมะก็มีจิตใจหลากหลายเช่นนี้
ครู่หนึ่งอดทอดถอนใจไม่ได้เล็กน้อย
แต่กลับผ่อนคลายยิ่งกว่า
เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม
ให้เขาโอบอุ้มก้อนน้ำแข็งก็มักจะไม่สบายตัว
แต่หากน้ำแข็งก้อนนี้ถูกแสงแดดสาดส่องจนละลายกลายเป็นน้ำอุ่น
เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนรู้สึกสบายอย่างยิ่ง
เจ้าหมิงหมิงในตอนนี้เป็นเสมือนน้ำพุร้อนในสายตาหลิวรุ่ยอิ่ง
สง่างามและอ่อนโยน
หลิวรุ่ยอิ่งคลายด้ามกระบี่
ด้วยสิ่งนี้รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงลึกๆ ในใจจากรอยยิ้มของเจ้าหมิงหมิง
“พี่สาวไม่เคยลองลิ้มรส แต่ดูเช่นนี้แล้วเจ้าก็คงไม่ได้ใช้น้ำตา”
สตรีเล่นว่าวกล่าวหลังจากอารมณ์สงบเป็นปกติแล้ว
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อครู่ตนจะถูกเจ้าหมิงหมิงหลอกจนกระวนกระวายเล่า
แต่หากยอมแพ้ไปง่ายๆ วาจาที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะไร้ประโยชน์ทั้งหมด
ดังนั้นนางทำได้แค่อดทนและกล่าวต่อไป
เจ้าหมิงหมิงฟังความหมายของนางไม่เข้าใจ
เบิกตาโตมองนาง
สตรีเล่นว่าวคิดว่าเจ้าหมิงหมิงใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกหน
หมายจะเมินตนไปถึงตอนท้าย แล้วค่อยเล่นสนุกกับมุกน่าขันของนาง
ดังนั้นจึงไม่เอ่ยคำใด
ยกมือชี้นิ้วใส่หลิวรุ่ยอิ่ง
คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงจะหันกลับไปมอง
นางเห็นหลิวรุ่ยอิ่งกำลังหลับตารวบรวมสมาธิ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ราวกับฝันกลางวันก็ไม่ปาน
เจ้าหมิงหมิงเห็นสีหน้าท่าทางโง่เขลาของเขาเช่นนี้จึงอดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาดังๆ ไม่ได้
ดวงตาสตรีเล่นว่าวเป็นประกาย
นางจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร
ว่าวในมือนางลอยออกไปทันที
โจมตีด้านซ้ายของเจ้าหมิงหมิง
ดูเหมือนหมายจะพันธนาการเจ้าหมิงหมิงไว้
ไม่รู้ว่าสายว่าวนี้ทำมาจากสิ่งใด
หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งของมันเพียงอย่างเดียว ก็คงไม่ด้อยไปกว่าด้ายทองตัดวิญญาณของอิ๋นซิง
เจ้าหมิงหมิงมองหลิวรุ่ยอิ่ง
ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ในเวลาเพียงพริบตาเดียว
ความสนใจในตัวหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่มขึ้นในใจของนางไม่น้อยทีเดียว
ว่าวนั้นโจมตีเข้ามา เจ้าหมิงหมิงยังคงนิ่งเฉยราวกับมองไม่เห็นมัน
สตรีเล่นว่าวเฝ้ารอเพียงช่วงเวลาสุดท้ายเท่านั้น จึงจะพันธนาการเจ้าหมิงหมิงไว้ได้
แต่เมื่อนางเฝ้ารอเพียงการปล่อยพลังในมือ กลับพบว่าไม่ว่าอย่างไรด้ายนี้ก็ไม่อาจเข้าใกล้ร่างของเจ้าหมิงหมิงได้
จนแล้วจนรอดหนทางถูกสกัดขวางไว้ห่างจากรอบตัวนางเพียงฉื่อเดียว
จนกระทั่งตอนนี้เอง
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งจะหันหน้ากลับมา
นางใช้เล็บเกี่ยวสายว่าวด้านนอกสุดแล้วดึงมันขึ้น
จากนั้นทำลายสายว่าวที่พันอยู่รอบตัวทุกเส้น
จินเฉาโหย่วเยวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบนเล็บของเจ้าหมิงหมิง ในใจพลันกระจ่างแจ้ง
เขาค้อมคำนับเล็กน้อยและพยักหน้าให้เจ้าหมิงหมิง
ขณะเดียวกันมือขวาที่ขยับได้เพียงส่วนเดียววางจอกสุราลง
ทำสัญญาณมือลึกลับแปลกๆ ออกมา
นิ้วกลางชูขึ้นพันเกี่ยวนิ้วชี้
จากนั้นนิ้วโป้งลอดผ่านช่องว่างระหว่างสองนิ้ว
เจ้าหมิงหมิงเห็นเคล็ดดัชนีนี้
สีหน้าฉายแววประหลาดใจ
นี่เป็นเคล็ดดัชนีของเผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทองของนาง
เห็นได้ชัดว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นมนุษย์
เจ้าหมิงหมิงสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเขาเรียนรู้มันจากที่ใด
………………….
อสูรเก้าบรรพต
ทุกบรรพตล้วนปกครองโดยเผ่าที่ต่างกัน
ในแต่ละเผ่าล้วนมีสัญลักษณ์เฉพาะของพวกเขา
โดยเฉพาะหลังจากแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว
สัญจรในโลกมนุษย์เดิมก็แยกแยะได้ยากยิ่ง
ดังนั้นไม่เพียงแต่ต้องเรียนรู้สัญลักษณ์บรรพตของตน ยังต้องเรียนรู้สัญลักษณ์อีกแปดบรรพตด้วย
นั่นคือข้อพิพาททั้งหมดของเก้าบรรพตจะต้องไม่ถูกนำเข้าสู่โลกมนุษย์
ศิษย์เก้าบรรพตที่สัญจรในโลกมนุษย์ต้องมีจิตสามัคคี รวมเป็นหนึ่งเดียวยามอยู่ภายนอก
ดังนั้นสัญลักษณ์นี้จึงกลายเป็นวิธีเดียวที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างกัน
ไม่ว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายจะต่ำต้อยหรือสูงส่งเพียงใด
ตราบใดที่มีการแสดงสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเก้าบรรพต
ไม่ว่าจะมีความแค้นเช่นไรในอดีต ในโลกมนุษย์นี้ล้วนนับว่าเป็นเผ่าตระกูลเดียวกัน
เจ้าหมิงหมิงยกนิ้วชี้ทำท่าห้ามส่งเสียงหน้าริมฝีปาก
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเข้าใจกระจ่างในทันที
สตรีเล่นว่าวที่อยู่ตรงข้ามถูกทั้งสองคนทำเอาสับสนงุนงง
นางแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดจู่ๆ เล็บของเจ้าหมิงหมิงจึงยาวขึ้น
อีกทั้งยังแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงนี้
คิดไม่ถึงว่าจะแยกสายว่าวของนางออกจากกันได้
นางมองเห็นท่าเคล็ดดัชนีในมือจินเฉาโหย่วเยวี่ยเช่นกัน
แต่นางไม่รู้ความหมายของมัน
ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้เปลวไฟแห่งความริษยาในใจของสตรีเล่นว่าวลุกโชนขึ้น
ใจพลันคิดว่าตนเองเคยเป็นคนเคียงหมอนจินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่เห็นรู้เรื่องสายสนกลใน
ไฉนแม่นางน้อยที่เพิ่งมาถึงกลับล่อลวงจินเฉาโหย่วเยวี่ยได้ทันที
สตรีเล่นว่าวรู้สึกว่าตนจนตรอกยิ่งนัก
…………………………………………………….