ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 211 พบกันหนแรกไม่แปลกใจ-2
บทที่ 211 พบกันหนแรกไม่แปลกใจ-2
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการบุกเข้ามาในเรือนขณะที่ผู้อื่นหลับใหลเป็นเรื่องหยาบคายและอันตรายอย่างยิ่ง”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ข้าไม่รู้”
เซียวจิ่นข่านกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาตระหนักได้ว่าตนเพียงต้องการมาขโมยของ เป็นหัวขโมยตัวฉกาจ
ฉะนั้นอำนาจแสดงออกมาต้องมากพอ
หากถูกอีกฝ่ายข่มด้วยคำถามประโยคเดียว
ครั้นข่าวแพร่ออกไปจะไม่ขบขันเอาหรือ
ทุกสิ่งควรจะเริ่มต้นได้ดี
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้
จะต้องชนะให้จงได้
ส่วนรางวัลที่ชนะก็คือเตียงใต้ร่างอีกฝ่าย
“ต่อให้จะกล่าวว่ามาก่อนได้ก่อน ข้าก็ยึดครองที่แห่งนี้แล้ว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เขามองเซียวจิ่นข่านก็รู้ว่าเป็นเด็กหนุ่ม
พูดจบก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
กลับคืนสู่ท่าเดิมก่อนหน้านี้
“ที่นี่หาใช่ที่ของเจ้าไม่ หลักการมาก่อนได้ก่อนคงไม่อาจใช้เป็นเหตุผลได้!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หากเป็นที่ของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้มันทรุดโทรมเพียงนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“คนไม่กินข้าวจะผอมลง คนไม่ทำงานก็ยากจน เรือนนี้ไม่ดูแลย่อมผุพังเป็นธรรมดา”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“หรือ ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’ จะเป็นที่ของเจ้าจริงๆ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
แม้ปากเขาจะกล่าวสงสัย
แต่ในใจเชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน
ดูท่าทางคนผู้นี้
ไม่ใช่คนขยันอย่างแน่นอน
แม้จะมอบความมั่งคั่งทั่วทั้งใต้หล้า ไม่ช้าก็เร็วทุกสิ่งจะทรุดโทรมพังลง
“เมื่อแปดปีก่อนข้าซื้อมาในราคาสองหมื่นแปดพันตำลึง”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“จากนั้นเล่า”
เซียวจิ่นข่านถามพร้อมกับเบิกตากว้าง
สองหมื่นแปดพันตำลึง
แม้ว่าตั๋วเงินจะเบาพลิ้ว เกรงว่าจะหนาครึ่งฉื่อ
“จากนั้นข้าก็ใช้เงินอีกหนึ่งหมื่นสามพันตำลึงมาตกแต่ง”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“จากนั้นเล่า”
เซียวจิ่นข่านตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เอาแต่ถามว่า ‘จากนั้นเล่า’ อย่างต่อเนื่อง
“จากนั้นข้าก็ใช้เงินอีกสามพันตำลึงสร้างเตียงนี้ให้ตนเอง จากนั้นข้าก็นอนแล้วรู้สึกว่ามันสบาย จากนั้นข้าก็ไม่อยากลุกอีก จากนั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นเช่นนี้”
เยี่ยเหว่ยกล่าวรวดเดียว
ในเมื่อเซียวจิ่นข่านชอบถามว่าจากนั้นเล่านัก
เยี่ยเหว่ยจึงเล่า ‘จากนั้นเล่า’ เหล่านี้ให้เขาฟังทั้งหมด
“เจ้านอนบนเตียงนี้มาครึ่งปีแล้วหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“ไม่ถึงครึ่งปี ข้ามักจะลุกขึ้นมากินข้าวและปลดทุกข์”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เขาตะแคงตัวหันมา
เพราะเขารู้สึกว่านอนหงายพร้อมกับพูดคุยมันดูโง่เง่าเล็กน้อย
ดูเหมือนตนเหงามากจนต้องพึมพำใส่หลังคา
เซียวจิ่นข่านได้ยินว่ามีของกิน
จึงเริ่มมองไปรอบๆ และเริ่มค้นหาทันที
“เลิกหาได้แล้ว มื้อสุดท้ายของข้าคือเมื่อสองวันก่อน แม้แต่กระดูกที่แทะเหลือก็คงจะโดนหนูกินไปแล้ว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เซียวจิ่นข่านรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเขามองทะลุความคิดของตนได้ในปราดเดียว
“กินไปเมื่อสองวันก่อน…ตอนนี้เจ้าไม่หิวหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“ไม่หิว เพียงแต่ข้าไม่อยากให้หนูเหล่านั้นวิ่งไปวิ่งมาและร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด และข้าก็ไม่หิวด้วย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่หิว ข้าเคยอดอาหารได้สูงสุดถึงสิบวัน”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“บันทึกเช่นนี้มีประโยชน์ใดกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าวอย่างดูแคลนยิ่งนัก
“เพราะรู้สึกว่าทุกสิ่งไม่มีความหมายจึงต้องทำบางสิ่งเพื่อปลอบใจตนเองน่ะ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ตอนนี้สิ่งที่ปลอบโยนมากที่สุดของข้าคือการกินอาหารสักมื้อแล้วก็นอนหลับสนิท”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หรือว่าเจ้าจะไม่อยากดื่มสุรา”
เยี่ยเหว่ยกล่าวถาม
“เจ้ามีสุราหรือ”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถามตาเป็นประกาย
“ไม่มี”
เยี่ยเหว่ยตอบลวกๆ อย่างขอไปที
ความโกรธปะทุในใจเซียวจิ่นข่านเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าคนผู้นี้เดิมทีก็กำลังเล่นตลกกับตน
“แต่ข้ารู้ว่าที่ใดมีสุรา”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ที่ใดหรือ”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าถูกอีกฝ่ายจูงจมูกอยู่ก็ตาม
แต่ทำอย่างไรได้ฤทธิ์ลุ่มหลงสุรานี้แรงเกินไป
ทำให้เขาจำต้องถามต่อไป
“หลังจากออกเรือนเปี่ยมประเสริฐ เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปอีกสองสามลี้ก็จะเจอเหลาสุราแห่งหนึ่ง ในนั้นมีสุรามากมาย”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เซียวจิ่นข่านแค่นหัวเราะ
หากเขามีเงินก็ไปดื่มสุราในเหลาสุราแล้ว
ไหนเลยจะถ่อมาฟังเรื่องไร้สาระถึงที่นี่เล่า
“ตรงข้ามเหลาสุรามีโรงรับจำนำ แม้เถ้าแก่ร้านจะกดราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่อย่างน้อยเจ้าก็ดื่มสุราหลายจินได้จนพอใจ”
เยี่ยเหว่ยกล่าวต่อ
ยามนี้เซียวจิ่นข่านรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เดิมทีคนเป็นก็น่ากลัวยิ่งกว่าคนตายอยู่แล้ว
แต่คนเป็นตรงหน้านี้ดูเหมือนไม่ใช่คน
ไม่ว่าตนจะใช้ความคิดเช่นไร
แม้ว่าจะเล็กน้อยเพียงไหนล้วนถูกเขาจับได้
มีพลังจิตยิ่งกว่าพยาธิตัวกลมในท้องของเขาอีก
“อาภรณ์ดูดีของเจ้า อย่างน้อยที่นั่นก็ได้ราคาสิบกว่าตำลึง”
เยี่ยเหว่ยกล่าวต่อ
เซียวจิ่นข่านไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวนี้
เพราะสิ่งเดียวที่มีค่าบนร่างกายเขามีเพียงอาภรณ์ที่ดูดีนี้
แต่ครั้นคิดว่าตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบรมภูมิ
ต่อให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบรมภูมิจะเผชิญกับเคราะห์ร้ายและความทุกข์ยาก ก็ไม่จำเป็นต้องนำอาภรณ์ชิ้นเดียวทั้งยังสวมอยู่บนกายของตนไปจำนำ
“ขั้นบรมภูมิแล้วอย่างไร ต่อให้เป็นเทพบริราชเก้าทวีปก็ยังมีช่วงที่ไม่มีเงิน”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เหอะๆ…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้มากความสามารถเช่นเทพบริราชเก้าทวีปจะไม่มีเงิน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ความหมายเสียดสีแสดงออกมาชัดเจน
“เจ้าเห็นข้าดูมีเงินอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเหว่ยชี้ตนเองแล้วกล่าว
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวจิ่นข่านเห็นเขาขยับส่วนอื่นนอกจากคอ
“แน่นอนว่าเจ้าไม่มีเงิน!”
เซียวจิ่นข่านกล่าวอย่างดูแคลน
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักค้าง
ประโยคเมื่อครู่หมายความว่าคนผู้นี้บอกว่าตนคือเทพบริราชเก้าทวีปอย่างนั้นหรือ
คิดถึงตรงนี้เซียวจิ่นข่านก็หัวเราะออกมาอีกหน
เขารู้สึกว่าคนผู้นี้เกรงว่าจะสมองกลับไปแล้ว
หากสมองไม่ป่วย เช่นนั้นก็เสพติดการโอ้อวด
ไม่อย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้แตะสุราสักหยด เขาจะเมาเช่นนี้ได้อย่างไร
“เช่นนั้นเชิญท่านเทพบริราชเก้าทวีปนอนพักผ่อนต่อให้เต็มอิ่มเถิดขอรับ หากวันใดหาเงินได้มหาศาล โปรดอย่าลืมสนับสนุนข้าน้อยด้วย!”
เซียวจิ่นข่านประสานมือกล่าว
จากนั้นออกจากเรือนเปี่ยมประเสริฐแห่งนี้ไป
อันที่จริงในเรือนยังมีห้องหับว่างมากมาย
เครื่องเรือนภายในแต่ละห้องล้วนมีครบครัน
เตียงย่อมมีเป็นธรรมดา
แต่เซียวจิ่นข่านปฏิบัติกับการนอนเช่นไร ก็ปฏิบัติกับการกินของเขาเช่นนั้น
นอนหลับอย่างดีที่สุดไม่ได้ เช่นนั้นก็ยอมไม่นอนเสียดีกว่า
เขาออกจากเรือนและเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย
ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่นอน
เดินเตร็ดเตร่
เป็นวิธีปลุกใจให้ฮึกเหิมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาในยามนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่คนจะไม่ง่วงได้อย่างไร
ทนผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม แต่ไม่รอดถึงสองชั่วยาม
เซียวจิ่นข่านเดินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
กระทั่งง่วงจนทนไม่ไหว ล้มหัวคะมำลงข้างทาง
หลังจากตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
พบว่าอาภรณ์ดูดีแสนมีค่าชิ้นเดียวที่ตนมีถูกผู้อื่นเปลื้องออกไปในยามหลับใหลเมื่อคืน
เซียวจิ่นข่านถอนหายใจอีกหน
หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้
สู้ฟังคำของคนผู้นั้นเมื่อคืนเสียก็ดี
จำนำเสื้อผ้าแลกสุราดื่ม
อย่างไรเสียดื่มจนเมาหมดสติไปก็สบายกว่าเดินเหนื่อยแล้วสลบเหมือดมากโข
ตอนนี้สุราไม่ได้ดื่ม
อาภรณ์ก็ไม่เหลือแล้ว
ในท้องก็กระหน่ำตีกลองโครกคราก
เซียวจิ่นข่านอยากกลับไปที่เหลาสุราเมื่อวาน ไปหาอาหารจากศิษย์ราคาถูกสักมื้อ
แต่ตนสวมเพียงชุดชั้นในเท่านั้น จะเข้าเมืองก็ถูกผู้คนดูหมิ่น
ครั้นเปลี่ยนความคิด
เขาคิดอยากกลับไปที่ ‘เรือนเปี่ยมประเสริฐ’ อีกครั้ง
แต่คำกล่าวของคนผู้นั้นเมื่อวานนี้ ตนไม่ได้เชื่อฟังแม้แต่ประโยคเดียว
ตอนนี้ต้องกลับไปแล้ว
ปล่อยให้เขาเห็นตัวเองเป็นเช่นนี้
ก็ไม่รู้ว่าจะเย้ยหยันตนอย่างไร
ฉะนั้นเซียวจิ่นข่านจึงตัดสินใจไม่กลับไปแม้จะอดอาหารและอดนอนก็ตาม
ในเมื่อไม่อาจหวนกลับทางเดิม
เซียวจิ่นข่านทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป
โชคดีที่เขาเคยทำภารกิจคุ้มภัยมาแล้วหนหนึ่ง
รู้ว่าว่าผลไม้ชนิดใดในป่ากินได้และผลไม้ชนิดใดกินไม่ได้
จากนั้นก็น้ำลำธารบนเขา กินผลไม้ป่ารสเปรี้ยวสองสามลูกแล้วออกเดินทางต่อ
……………….
“กินข้าวแล้วหรือ”
เยี่ยเหว่ยถาม
ในโถงด้านหน้าร้านอาหาร
เยี่ยเหว่ยล้างหน้าล้างตา
แล้วเช็ดมือบนชุดคลุมสีแดงของเถี่ยกวนอิน
ไม่สนใจสายตาโมโหของเถี่ยกวนอินและนั่งลงริมโต๊ะข้างๆ เซียวจิ่นข่าน
เถี่ยกวนอินมองชุดคลุมสีแดงที่เปลี่ยนไปจนไม่น่ามองของตนแล้วขำพรืดออกมา
จากนั้นก็ใช้มันเช็ดมือของตนด้วยเช่นกัน
“ยังไม่ได้กินขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดื่มสุราแล้วหรือ”
เยี่ยเหว่ยถามอีกครั้ง
“ดื่มเมื่อวานแล้วขอรับ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“นั่นก็คือไม่กินไม่ดื่ม”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เซียวจิ่นข่านพยักหน้า
“เช่นนั้นก็กินก่อนแล้วค่อยกล่าวหลังสุด”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงหลังสุดหรือหลังเมาหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
“หลังสุดต่างจากหลังเมา[1]อย่างไรหรือ หรือว่าหลังสุดของเจ้าจะไม่ใช่หลังเมาเล่า”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
เซียวจิ่นข่านยิ้มพลางพยักหน้า
เขารู้จักนิสัยใจคออาจารย์ของตนดี
รู้เพียงแค่ทำตามใจเขา
ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดทั้งสิ้น
“โอ้ จริงสิ! เขาคือเถี่ยกวนอิน ประมุขพรรคอาภรณ์แดงฉาน”
เยี่ยเหว่ยกล่าวพลางชี้ข้างกาย
เถี่ยกวนอินแค่นเสียงเย็น
เซียวจิ่นข่านหันไปพยักหน้าให้เถี่ยกวนอิน
ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะกล่าวสิ่งใด กระทำสิ่งใด ผูกมิตรกับผู้ใด
เขาล้วนไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
………………………………………………..
[1] หลังสุด ในภาษาจีนออกเสียงว่า จุ้ยโฮ่ว ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า หลังเมา (สุรา) แต่เขียนต่างกัน