ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 218 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-7
บทที่ 218 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-7
ภายในหอทรงปัญญา
หลิวรุ่ยอิ่งกลับถึงที่พักของตนแล้ว
เขานั่งบนม้านั่งไม้แสนประณีต
แต่ก่อนไม่มีม้านั่งตัวนี้อยู่ในห้อง
เพราะตอนที่โอวเสี่ยวเอ๋อต่อสู้กับคนประหลาดพันผ้า โต๊ะและม้านั่งในห้องกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โต๊ะข้างหน้าก็เป็นสิ่งที่เพิ่มมาใหม่เช่นกัน
สี่เหลี่ยม
สีดำลายทอง
บนโต๊ะมีไหวางระเกะระกะอยู่หลายไห
รวมไปถึง
หนังสือทางการหนาปึกสองม้วน
ดูท่าแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ได้อ่านหนังสือทางการเหล่านี้ไปมากเท่าไร
แต่ดื่มสุราจนเกลี้ยงไปแล้วสองถึงสามไห
ภายในห้องไร้ผู้คน
มีเพียงตัวเขาเอง
ฉะนั้นสุราสองสามไหนี้เป็นเขาที่ดื่มมันลำพัง
ตามหลักแล้วคอเขาไม่ได้แข็งถึงเพียงนี้
ในวันปกติอย่างมากไหครึ่งก็เมาแอ๋แล้ว
แต่ตอนนี้มันผิดปกติยิ่งนัก
กลับกันยิ่งดื่มยิ่งสติแจ่มชัด
เดิมเขาหมายจะมอมสุราตนเอง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเรื่องง่ายๆ ในอดีตตอนนี้ถึงกลายเป็นเรื่องยากยิ่งนัก
ทังจงซงเคยบอกหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาบอกว่าหากดื่มสุราเพียงลำพัง
ไม่ว่าจะสุขใจหรือเศร้าใจล้วนเมาไวยิ่ง
เพราะยามที่อยู่ลำพัง
กายใจล้วนผ่อนคลาย
ไร้ความกดดัน
ไม่จำเป็นต้องปริปากพูด
ขอเพียงเผยอริมฝีปากเล็กน้อยให้สามารถดื่มสุราเข้าไปได้
หลิวรุ่ยอิ่งก็ทำเช่นนี้
แต่เขากลับไม่อาจบรรลุเป้าหมายของตน
………………….
จินเฉาโหย่วเยวี่ยคลายพิษออกแล้ว
ตอนที่เขาพาหลิวรุ่ยอิ่งไปเอาหนังสือทางการเหล่านี้ในห้องลับ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเครื่องประดับเงินทองกองเต็มห้องลับ
เดาว่านี่คือจุดประสงค์ที่จางจื่อหานและซุนมู่หนิงมาหาจินเฉาโหย่วเยวี่ยในครั้งนี้
“ท่านประมุขหอจินเฉา…”
หลิวรุ่ยอิ่งลังเลที่จะกล่าว
“นายกองหลิวเชิญกล่าวได้ไม่เป็นไร”
“เหตุใดจึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากเพียงนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้เครื่องประดับเงินทองในห้องลับแล้วกล่าว
“ไม่ใช่ข้าให้ความสำคัญกับมัน พวกเขาต่างหากที่ให้ความสำคัญกับมันเกินไป”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางหัวเราะ
“ตอนที่เคยยากจนมาก พวกเราแสดงความสามารถ ขับร้องแสดงละครริมถนน แม้แป้งทอดหนึ่งชิ้นแบ่งกินสามส่วนก็มีความสุขและนอนหลับสนิท แต่หลังจากได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้แล้ว กินอาหารรสเลิศบนโต๊ะจนไร้รสชาติ เตียงอุ่นนุ่มใต้ร่างราวกับมีหนามทิ่มแทงหลัง ไม่อาจมีความสุขอีกต่อไป”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“กระทั่ง…ซุนมู่หนิงบอกข้าเป็นนัยๆ ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งให้ร่วมมือกันกำจัดจางจื่อหาน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเว้นวรรคและกล่าวต่อ
“แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ก็จริงที่ข้าไม่ได้ทำ แต่ไม่ว่าข้าจะทำเช่นไรล้วนทำให้ข้าเจ็บปวดอย่างเลี่ยงไม่ได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แม้ว่าเขาไม่อาจเข้าใจความรู้สึกประเภทนั้น
แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้
ฝ่ายหนึ่งคือคนเคียงหมอนของตน
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นสหายร่วมเป็นตายของตน
ทั้งสองล้วนเป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับเงินทอง
ต่างก็บอกว่ามิตรภาพแกร่งกว่าเงินทอง
แต่หากพิจารณาจากประสบการณ์ของจินเฉาโหย่วเยวี่ยแล้ว
เกรงว่าจะไม่มีความรักใดแข็งแกร่งไปกว่าเงินทองได้
สำหรับคู่สามีภรรยาที่ยากจนทุกอย่างสามารถผิดพลาดได้
ทว่าหากยากจนไปตลอด เมื่อนิสัยนั้นกลายเป็นเรื่องปกติ ตลอดชีวิตที่เหลือของเขาก็แค่ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
จากความยากจนไปสู่ความร่ำรวยมหาศาล
“แต่หลังจากเจ็บปวด ในที่สุดเงินทองนี้ก็ถูกใช้ออกไปกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เงินทองนี้หากไม่ใช้จ่ายก็ไม่ต่างจากกองไม้ผุพัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ดูท่าแล้ว พวกท่านไม่ได้ใช้จ่ายมากนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งมองเงินทองในห้องลับแล้วกล่าว
ห้องลับแห่งนี้ทั้งกว้างและลึกยิ่งนัก
ตรงสุดห้องมีเพียงตะเกียงน้ำมันเท่านั้น
แม้จะมืดสลัว แต่ก็ยังมองเห็นเครื่องประดับเงินทองกองพะเนินจากด้านในสุดไปจนถึงประตู
“ไม่ใช่หรอก พวกเราใช้จ่ายไปมากโข ยังเหลือมากมายเพียงนี้เป็นเพราะเครื่องประดับเงินทองที่ได้รับมามากเกินไปและน่าทึ่งเกินไป”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“พวกท่านซื้อสิ่งใดมาบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างสงสัยใคร่รู้
แม้ว่าเขาไม่ยากจน
แต่ก็อยากรู้จริงๆ ว่าคนผู้หนึ่งคิดจะทำสิ่งใด หากจู่ๆ มีเงินทองมากมายเพียงนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นนายกอง
เงินเดือนย่อมไม่ต่ำ
ทว่าก็อย่างไรก็ต้องมีจุดให้เปรียบเทียบคนรวยกับคนจน
เมื่อเทียบเขากับห้องลับของจินเฉาโหย่วเยวี่ยแล้ว ย่อมยากจนเป็นธรรมดา
ทั้งยังเป็นคนยากจนที่ไม่อาจยากจนไปกว่านี้ได้อีก
“อันดับแรกที่สุด ซื้อโรงละครแห่งหนึ่งก่อน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“โรงละครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง…โรงละคร! โรงละครที่ใหญ่โตยิ่งนัก ขนาดใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของหอจันทร์กระจ่างเสียอีก!”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เหตุใดตอนนี้จึงไม่โปรดปรานการฟังละครแล้วเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“ซื้อโรงละครก็เป็นเพราะซุนมู่หนิงชอบฟังละคร ไม่เพียงชอบฟัง นางยังชอบร้อง”
สีหน้าของจินเฉาโหย่วเยวี่ยเหม่อลอยเล็กน้อย
ราวกับนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ในตอนนั้น
“ผู้ที่บรรเลงผีผา โปรดปรานดนตรีบางชนิดก็เป็นเรื่องปกติ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาวางหนังสือทางการในมือลงบนพื้น
ไม่ใช่เพราะหนัก
เพียงคิดว่าเอาแต่ถือไว้ตลอดเช่นนี้ ลำบากอยู่บ้างจริงๆ
ยิ่งกว่านั้นเรื่องราวของจินเฉาโหย่วเยวี่ยกระตุ้นให้รู้สึกสนใจ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องฟังต่อไปจนถึงตอนจบ
“นางจึงฟังละครและขับร้องไปอีกครึ่งปี”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“นางร้องเพลงไพเราะหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“ผีผาที่นางบรรเลงไพเราะนัก! แต่ขับร้องละครนั้นระคายหูไม่น่าฟังจริงๆ…”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยส่ายศีรษะแล้วกล่าว
ดูเหมือนว่าละครขับร้องที่ได้ยินมาหลายปีก่อน ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ในหัวจึงอยากจะสลัดพวกมันออกไป
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ
ดูเหมือนว่าชีวิตคนผู้หนึ่งจะทำได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
เรื่องที่สองหากทำได้ไม่ดีก็คงจะทำไม่ได้
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งยังคงชื่นชมความกล้าหาญและสติปัญญาของซุนมู่หนิง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนขับร้องได้ย่ำแย่ก็ยังไม่ยอมแพ้ กระทั่งร้องไปถึงครึ่งปีอีกต่างหาก
“ละครขับร้องมีกฎเกณฑ์อยู่ หากได้อ้าปากร้องแล้วไม่อาจหยุดได้จนกว่าจะขับร้องจนจบ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงหกเดือนจึงจะร้องจบกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ต้องใช้เวลาถึงหกเดือนจึงจะขับร้องจบจริงๆ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ละครเรื่องใดไฉนจึงยาวเพียงนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“สุราบงกช”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“สุราบงกชหรือ นั่นไม่ได้มีเพียงสามบทหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาเคยฟัง ‘สุราบงกช’ ฉบับเต็ม
ไม่เพียงเคยฟัง เขายังขับร้องเป็นอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงแปลกใจยิ่งนัก
ไย ‘สุราบงกช’ จึงต้องใช้เวลาขับร้องถึงครึ่งปี
“เพราะ ‘สุราบงกช’ ที่พวกเจ้าฟังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดตัด ‘สุราบงกช’ เหลือเพียงสามบทเท่านั้น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวอย่างจนปัญญา
“สุราบงกชที่ไม่ได้ตัดออกมีกี่บทหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“หนึ่งวันขับร้องหนึ่งบท ต้องใช้เวลาครึ่งปีจึงขับร้องจบ นายกองหลิวลองคำนวณดูว่ามีกี่บท”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวอย่างชักช้า
“ข้าหาได้ปราดเปรื่องเช่นท่านประมุขหอจินเฉาไม่ หากไม่ใช้ลูกคิดคำนวณ ใช้เพียงสมองอย่างเดียวคำนวณไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หากคำนวณหนึ่งเดือนจากสามสิบวันละก็
ครึ่งปีมีหกเดือนจึงเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
หรือว่า ‘สุราบงกช’ นี้จะมีหนึ่งร้อยแปดสิบบทกัน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อ
เพราะไม่มีละครขับร้องที่มีบทมากมายเพียงนี้
แม้แต่ตำนานของนักเล่าเรื่องก็แทบจะไม่มีบทมากมายขนาดนี้
“ท่านคำนวณได้ไม่ผิดเพี้ยน หนึ่งร้อยแปดสิบสี่บทเต็มๆ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เช่นนั้นที่เหลือหายไปไหนหมดเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
ละครขับร้องหนึ่งเรื่องมีหนึ่งร้อยแปดสิบสี่บทเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกอย่างแท้จริง
ปัจจุบันนี้ถูกตัดทอนเหลือเพียงสามบทเท่านั้น ช่างน่าเสียดายเสียจริง
“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าเจ้าบ้าคนใดดัดแปลงจนกลายเป็นเช่นปัจจุบันนี้ แต่ต้นฉบับไม่ขาดไปสักหน้า ทุกตอนคงอยู่ดังเดิม”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถอนหายใจกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหมายจะขอยืมต้นฉบับไปอ่าน
แต่คำพูดของจินเฉาโหย่วเยวี่ยเมื่อครู่ทำให้เขาขบคิดถี่ถ้วนจึงได้ยินบางสิ่งที่น่าตกตะลึง
“ท่านประมุขหอจินเฉาหรือว่าท่านคือ…”
หลิวรุ่ยอิ่งเชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน
เพียงรอให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยพยักหน้า
“ข้าคือผู้ประพันธ์ ‘สุราบงกช’ ข้าเขียนหนึ่งร้อยแปดสิบสี่บททั้งหมดเพียงลำพัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งสงบความตระหนกในใจพลางพยักหน้า
“ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ก็ไร้ความหมายแล้ว เดาว่านายกองหลิวคงอยากรู้ว่าเหตุใดข้าจึงจากไปกระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
แม้ว่ารายละเอียดเหล่านี้จะฟังดูน่าสนใจก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นจุดสำคัญอะไร
จริงอยู่ที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากรู้ว่าเหตุใดจินเฉาโหย่วเยวี่ยจึงจากไป
เพราะเขาสัมผัสได้ว่ามันไม่ได้ธรรมดาเพียงความโลภในเงินทองเท่านั้น
“เพราะข้าอยากรู้ว่าข้าสำคัญหรือเงินทองเหล่านี้สำคัญกว่ากันแน่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว
เขาได้ยินและเข้าใจทุกคำในประโยคนี้แล้ว
แต่ครั้นเอามารวมกันกลับไม่เข้าใจความหมายแฝงในนั้นแม้แต่น้อย
เขารู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้จริง จินเฉาโหย่วเยวี่ยคงจะไร้เดียงสาไปหน่อย
“ไร้เดียงสายิ่งนักถูกหรือไม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถาม
เขาหาได้มีความสามารถเช่นเซียวจินข่านนักพรตอินหยาง
แต่ล้มลุกคลุกคลานมานานหลายปีก็ทำให้เขาฝึกฝนตาทิพย์สามารถมองทะลุจิตใจของมนุษย์โลกได้
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถึงเสียงในใจของหลิวรุ่ยอิ่งทันที
“ฮ่าๆ…ทางเลือกต่าง มุมมองต่าง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางหัวเราะ
เขาไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไร
มีเพียงคำพูดกำกวมสองประโยคนี้ตอบรับอย่างลวกๆ
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนคำตอบจะชัดเจนกระจ่างแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดต่อ
เขารู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่ดูตื้นเขินไปหน่อย
หากต้องการให้หัวข้อนี้ดำเนินต่อไป
เขาย่อมต้องกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหน่อย
“ใช่แล้ว ชัดเจนกระจ่าง ข้าสู้เงินทองกองนี้ไม่ได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวอย่างเดียวดายยิ่ง
จิตใจมนุษย์และธรรมชาติของมนุษย์ไม่อาจต้านทานสิ่งล่อใจได้
หากหลังจากได้รับสิ่งเหล่านี้แล้วรีบตัดสินใจแบ่งเป็นสามส่วน
นับแต่นั้นต่างแยกทาง ห่างหายจากกันและลืมยุทธภพไปสิ้น
ล้วนยินดีปรีดากันไม่ใช่หรือ
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยก็ยังต้องการจะทดสอบให้จงได้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงต้องทำเรื่องเช่นนี้
เพียงรู้ว่าผลที่ตามมาของการทำเช่นนี้ช่างดูโง่เขลาอย่างยิ่ง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวประโยคนี้จบพลันหมุนกายจากไป
เขาไม่ได้ลงกลอนประตูห้องลับนี้อีก
เพียงเปิดกว้างไว้
………………………………………………..