ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 22 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-2
บทที่ 22 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-2
ในโรงเรืองขวัญ
ทังจงซงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย จึงตัดสินใจแบกเขาออกไปข้างนอกทันที
“หลิวรุ่ยอิ่งเจ้าต้องมีชีวิตรอดนะ! ยังไม่ถึงคราวเจ้าตายเสียหน่อย…”
ที่จริงในใจเขาเองก็กลัดกลุ้มไม่น้อย จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งกลายเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใดกันแน่…ดูท่าทางเขาเหมือนตอนเกิดข้อผิดพลาดยามฝึกตนถึงขีดสุด แต่เมื่อครู่ยังฟังเรื่องเล่าอยู่แท้ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีท่าทีเคลื่อนกำลังภายในแต่อย่างใด
ทังจงซงไม่นับเป็นยอดฝีมือเลิศล้ำ แต่คิดว่าสายตาแยกแยะผู้คนนี้ไม่เป็นสองรองใคร
แม้เขาไม่เคยเห็นหลิวรุ่ยอิ่งใช้วรยุทธ์มาก่อน แต่อิงจากกรมสอบสวนเลือกเขาเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือด้วยตนเอง ก็ไม่น่าเป็นคนฝีมือธรรมดา
‘หรือว่ามีคนลอบทำร้าย’
กลุ่มสตรีนอกหน้าต่างในตอนนั้นแวบเข้าสมองทังจงซงทันที
นอกจากสตรีกลุ่มนั้นแล้ว เขาไม่คิดว่าในหัวเมืองรัฐติงมีผู้ใดหรือเรื่องใดรอดพ้นจากการควบคุมของเขา
แต่งานเร่งด่วนตอนนี้คือรีบทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหายเป็นปกติ
ต้องทราบว่าอาคารกรมสอบสวนที่หัวเมืองรัฐติงถูกแยกออกมาหลายปีแล้ว
ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งถูกเลื่อนยศสามขั้นติดอยู่ที่นี่ หัวหน้าอาคารนั่นเตรียมคิดจะประจบสักหน่อย ฉะนั้นห้ามให้หลิวรุ่ยอิ่งผู้มีความเกี่ยวข้องกับกรมสอบสวนโดยตรงเกิดปัญหาใดแม้เพียงนิดเป็นอันขาด
ทังจงซงแบกหลิวรุ่ยอิ่ง ก้าวเท้ารวดเร็ว เดินถนนทะลุซอยโดยไม่รู้สึกแบกน้ำหนักแม้แต่น้อย มองดูซอยถนนขรุขระซับซ้อนแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาสักนิด เขามีไม้ไผ่อยู่ในอก[1]ชัดเจน
เลี้ยวเจ็ดแปดหนก็เดินถึงหน้าประตูไม้ลายพร้อยยิ่งบานหนึ่ง เขาไม่สนใจมารยาทเคาะเรียกอะไรแล้ว ถีบขาเปิดประตูดังปัง
“รีบมาช่วยเร็วเข้า! ผู้เฒ่าเยี่ย รีบมาช่วยคนเร็ว!”
ทังจงซงเข้าประตูมาก็ตะโกนเสียงดัง
แต่บ้านทั้งหลังเหมือนพื้นที่ร้าง ไม่มีการตอบสนองใด
“ท่านทำความดีเสมอ! ช่วยคนก่อนได้หรือไม่ ครั้งนี้เท่านั้น…ข้าจะไปเอาค่ารักษาเดี๋ยวนี้!”
หลังปรับวิธีพูด น้ำเสียงของทังจงซงกลับออกไปทางอ้อนวอน
หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่แล้วเห็นผู้ควบคุมรัฐน้อยผู้สง่าผ่าเผยของที่ว่าการรัฐติงอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ ต่อให้ตบหน้าตนเองแรงๆ ฉาดหนึ่งก็ไม่ยอมเชื่อเป็นแน่
ผ่านไปค่อนวัน ยังคงไม่มีใครตอบ
ทังจงซงวางหลิวรุ่ยอิ่งพิงไว้ใต้เชิงกำแพง พลันกัดฟันดึงจี้หยกของตนขาดจากบนคอ
“ตาเฒ่าเยี่ย! ข้าเทหมดหน้าตักแล้ว! คิดว่าท่านคงรู้ที่มาของจี้หยกชิ้นนี้ วันนี้ข้าเอามันเป็นค่ารักษามัดจำท่านก่อน วันหน้าข้าจะไถ่คืนแน่นอน!”
เพิ่งสิ้นเสียงทังจงซงก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมา
ดูรูปร่างน่าจะประมาณสามสี่ขวบ ใบหน้าเล็กดำอวบอ้วน เท้าใหญ่คู่นั้นไม่เข้ากับรูปร่างเอาเสียเลย บนหัวสวมหมวกใยฝ้ายเป็นรูใบหนึ่ง ครึ่งบนสวมไว้เพียงเสื้อชั้นในสีเขียวอ่อน แม้แต่กางเกงก็ไม่ใส่
เด็กน้อยวิ่งถึงตรงหน้าก็กระโดดขึ้นทีหนึ่ง หมายจะคว้าจี้หยกนั้น คาดไม่ถึงทังจงซงกลับเตรียมป้องกันไว้แล้ว พลันเบี่ยงกายหลบออก
“ตาเฒ่านี่! ไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่ทำจริงๆ…มารดาท่านไม่ละอายคำว่าแขวนน้ำเต้าช่วยคนทุกข์ยาก[2]กับผู้เป็นหมอมีจิตใจเมตตาที่เขียนอยู่บนป้ายหน้าประตูบ้างรึ ข้าว่าท่านโลภจนตามัว ทำลายทุกชีวิตมากกว่า!”
เด็กคนนี้ก็คือตาเฒ่าที่ทังจงซงเรียก
แม้แต่ทังจงซงก็ไม่รู้ว่าชื่อจริงของเขาคืออะไร รู้แค่เขาสกุลเยี่ย เป็นคนแคระพร้อมกับมีฝีมือทางการแพทย์สูง
ตอนนั้นเขาเรียนแพทย์ก็เพื่อรักษาโรคคนแคระของตนเอง น่าเสียดายโรคคนแคระของตนรักษาหายแค่สองเท้า แต่เขาได้เรียนรู้วิชาแพทย์สุดมหัศจรรย์ที่สามารถชุบชีวิตคนตายสร้างเลือดเนื้อจากกระดูก
ทังจงซงจำตอนยังเด็กได้
เนื่องจากบิดาทังหมิงออกรบฆ่าฟันต่อเนื่องหลายปี อินหยางในกายเสียสมดุลจึงทำให้ปวดหัวบ่อยครั้ง
โรคกำเริบทีหนึ่งไม่สู้ตายไปโดยแท้ ช่วงเวลานั้นในที่ว่าการแทบจะต้องเพิ่มเครื่องเรือนใหม่ทุกสัปดาห์ เพราะถูกทังหมิงทุบทำลายตอนอาการปวดหัวกำเริบจนหมด
กระทั่งตาเฒ่าเยี่ยผู้นี้เดินทางมาถึงหัวเมืองรัฐติง ในหัวเมืองรัฐติงมีของสิ่งหนึ่งที่เขาขาดแคลนยิ่งพอดี ทังหมิงจึงใช้ของสิ่งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนให้เขารักษาโรคตนให้หาย และตาเฒ่าเยี่ยผู้นี้ยังรับปากว่าจะพักอยู่หัวเมืองรัฐติงยี่สิบปี ในยี่สิบปีนี้ขอแค่เป็นคนของทังหมิงก็มาตรวจไข้ได้ทั้งสิ้น แต่ค่ารักษาห้ามขาดสักอีแปะ
ปกติหมอตรวจโรคให้ล้วนตรวจก่อนจ่ายหลัง อย่างไรเสียโรคนี้ก็มาดุจภูเขาล้ม มันรอไม่ได้
แต่ตาเฒ่าเยี่ยตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ไม่จ่ายค่ารักษาก่อน เขาไม่ตรวจโรคเด็ดขาด
ต่อให้เอามีดจ่อบนคอเขาก็ไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด
อิงจากตรงนี้ เรียกว่ามีความทะนงของการฆ่าได้หยามไม่ได้อยู่หลายส่วนจริงๆ
น่าเสียดาย ความทะนงของเขาสั่นคลอนได้ด้วยเงินทอง
ไม่รู้ทังจงซงด่าเขาต่อหน้าและลับหลังมากี่ครั้งแล้ว “ไอ้คนขี้เหนียว รักเงินเท่าชีวิต! มิน่าถึงได้ตัวเตี้ย คงเพราะติดแหง็กอยู่ในตาที่เห็นแต่เงิน!”
และวิธีเก็บค่ารักษาของเขาก็ประหลาดยิ่งนัก ไม่มีเกณฑ์แน่นอน เจ้าคิดว่าตนเองป่วยหนักเท่าไรก็หยิบเงินออกมาเท่านั้น
เงินพอ? ข้าถึงรับรักษา เงินไม่พอ? แม้แต่หน้าข้าก็ไม่โผล่ เงินเยอะ? ขออภัย คงไม่คืนให้ สมน้ำหน้าเจ้า!
“เป็นของจริงหรือ จี้หยกที่เจ้าใส่บนคอตลอดนั่นน่ะ”
ตาเฒ่าเยี่ยเอ่ยถาม
แม้เป็นร่างเด็กตัวเตี้ย เสียงกลับไม่ต่างจากนักเล่าเรื่องผู้นั้นเท่าไร ล้วนมีจังหวะน่าฟัง
“ยังปลอมได้อีกรึ ข้าเพิ่งดึงลงมาจากบนคอเห็นๆ ท่านดู นี่ยังมีรอยแดงที่ดึงออกมาด้วย!”
ทังจงซงก้มคอให้ตาเฒ่าเยี่ยดู แต่ตาเฒ่าเยี่ยกลับจ้องแต่จี้หยก
เขาพ่นลมจากปากใส่จี้หยกซ้ำๆ แล้วออกแรงเช็ดด้วยเสื้อชั้นในสกปรกนั่น
“เฮ้ยๆๆ…ท่านอย่ากัดนะ! นี่ไม่ใช่ทองคำเสียหน่อย! ข้านายน้อยยังต้องไถ่กลับไป! ท่านทำแบบนี้จะให้ข้าใส่บนคอต่อได้ยังไง! จี้หยกนี่ข้าพกติดตัวตลอด ขนาดตอนหลับนอนกับสตรียังไม่เคยถอดเลย!”
ตาเฒ่าเยี่ยไม่ได้สนใจทังจงซงที่ส่งเสียงดังโวยวายอยู่ด้านข้างเลยสักนิด ทว่าเดินไปยังเชิงกำแพงและดึงแขนของหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นมาเตะอย่างแรงทีหนึ่ง
“สหายเจ้าผู้นี้ไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าหรือเปล่า”
ตาเฒ่าเยี่ยเอ่ยถาม
“ทำไมท่านถามเหมือนพวกกึ่งเซียนข้างถนนเลย! แล้วท่านเตะเขาทำไม เดิมก็ประคองชีวิตด้วยลมหายใจน้อยนิดอยู่แล้ว นี่จะทำให้ข้าลำบากไม่ใช่หรือ…”
ทังจงซงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“จุดนี้เจ้าวางใจได้ ชีวิตสหายเจ้าไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงแต่ในกายเขาถูกคนอัดพลังโลหะเสี้ยมคมห้าธาตุเข้าเต็มๆ เพราะพลังโลหะเสี้ยมคมนี้เป็นของภายนอก ขัดกับความสมดุลอินหยางในร่ายกายเขา และที่มาของพลังโลหะเสี้ยมคมก็เรียบง่ายแต่ทรงพลังยิ่ง ถึงขั้นเคลื่อนไปทั่วในเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น อีกนานกว่าจะสลาย เห็นได้ชัดว่ามีคนอยากสั่งสอนเขานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่วิธีที่หมายเอาชีวิต แล้วก็ไม่ใช่โรคภัยที่เกิดขึ้นได้ในสภาวะปกติแน่นอน”
“และที่ข้าผู้เฒ่าเตะทีหนึ่งเมื่อครู่คือจุดจี๋เฉวียน[3] เป็นการช่วยปิดเส้นเลือดหัวใจเขาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น”
ได้ยินตาเฒ่าเยี่ยกล่าวเช่นนี้ ทังจงซงก็โล่งอกขึ้นมาก
เพียงแต่ยิ่งมั่นใจแล้วว่าในหัวเมืองรัฐติงนี้เกิดเรื่องที่รอดพ้นจากการควบคุมของตน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเอามาก
แม้เขาพูดไม่ได้เสียทีเดียวว่าไม่มีแผน แต่รัฐติงทั้งรัฐยังไม่เคยเกิดเรื่องผิดพลาดใดมาก่อน
“ขอถามผู้เฒ่าเยี่ย สถานการณ์เช่นนี้ควรจัดการอย่างไร”
ทังจงซงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
ตาเฒ่าเยี่ยเห็นท่าทีอวดดีแล้วค่อยเคารพเช่นนี้ของเขาก็ได้แต่โมโหถลึงตา
“นี่ก็ง่ายๆ ไม่ใช่รึ หลักอินหยางห้าธาตุเจ้าก็รู้ พลังโลหะเสี้ยมคมย่อมต้องโจมตีมันด้วยไฟ”
“แต่คนเป็นๆ เช่นนี้ ข้าคงพยุงเขาไปย่างบนเตาไม่ได้หรอกกระมัง”
“เจ้าพูดถูกแล้ว! แต่นี่เป็นแผนโง่เขลา ข้าผู้เฒ่ายังมีแผน…”
“เอาละๆ แผนโง่ก็พอแล้ว! แผนโง่แผนฉลาด ขอแค่ช่วยคนได้ก็เป็นแผนดีทั้งนั้น!”
ในที่ว่าการ ติ้งซีอ๋องผลักประตูออกมา
“คนของฐานเมฆารวมกลุ่มมาเขตติ้งซีข้าเช่นนี้ ต้องการสิ่งใด”
………………………..
ฐานเมฆาทะเลบูรพา
ตั้งอยู่บนทะเลบูรพาทางตะวันออกของเขตอันตงอ๋อง
เล่ากันว่าแรกสุดก่อตั้งโดยคนชายฝั่งผู้หลบหนีภัยสงครามออกทะเลไปเจอเกาะเซียน
ตำราเก่าแก่บันทึกว่า ‘ฐานเมฆา เมฆมงคลยกฐาน เคลื่อนไปในทะเลบูรพา หนึ่งวันเดินทางแปดหมื่นลี้ หมู่ดาวหันเหไม่เห็นเค้า หมอกล้อมเมฆภูยากมองแล’
นอกจากคนของฐานเมฆา ไม่มีใครรู้ว่าฐานเมฆาหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ชาวฐานเมฆาเป็นมิตรกับพวกแผ่นดินใหญ่อย่างยิ่ง แม้รับเพียงการแลกเปลี่ยนด้วยสินค้า แต่มีการซื้อขายไปมาบ่อยครั้งทีเดียว
ด้วยว่าฐานเมฆามีคลังสมบัติล้ำค่าอย่างทะเลบูรพา มีสินค้ามากมายที่แผ่นดินใหญ่ขาดแคลน ขอแค่เป็นสินค้าจากฐานเมฆา คนในแผ่นดินใหญ่ล้วนเรียกว่าของทะเลทั้งสิ้น
แต่ถ้าคนบนแผ่นดินอยากออกทะเลจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากฐานเมฆา โดยเฉพาะกับคนในเขตอ๋องทั้งห้ายิ่งเข้าขั้นรุนแรง
เมื่อก่อนฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าไม่พอใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงออกทะเลขึ้นฐานเมฆาไปขอคำอธิบายพร้อมกับอันตงอ๋องพานอวี่ฮวน
ทว่าผลสุดท้ายกลายเป็นอ๋องทั้งสองยอมรับวิธีการของฐานเมฆา
ฐานเมฆาแค่ปรับอัตราการแลกเปลี่ยนของสินค้าบนแผ่นดินใหญ่กับของทะเลพิเศษที่ผลิตโดยทะเลบูรพาให้ลดลงหน่อยหนึ่ง
หลังจากนั้นมีข่าวลือแพร่ออกมามากมาย บอกว่าตอนฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ากับอันตงอ๋องพานอวี่ฮวนไปเยือนฐานเมฆาครั้งนั้นใช่ว่าราบรื่นมากนัก อาจเสียเปรียบด้วยซ้ำ ในเมื่อกำลังของฐานเมฆาทำให้คนไม่อาจสบประมาท คนที่ออกทะเลทั้งหลายก็ล้วนต้องก้มหัวยอมตน ทำตามกฎเกณฑ์
เคราะห์ดีที่ฐานเมฆาหาได้มีความคิดเคลื่อนพลกลับสู่แผ่นดินไม่ พวกเขาพึ่งพาตนเองอยู่ในทะเลบูรพาเสมอมา ไม่ล้ำเส้นเขตแดนห้าอ๋องบนแผ่นดิน
แต่เขตห้าอ๋องกลับอยากครอบครองฐานเมฆาอยู่ตลอด พวกเขาสอดแนมและก่อความวุ่นวายไม่หยุดจนทำให้ภายในฐานเมฆาเกิดความแตกแยก
กลุ่มแรกนำโดยผู้นำหลิงจือฉือ ผู้ปกครองฐานเมฆาคนปัจจุบัน
พวกเขาสนับสนุนให้คงการอยู่เหนือเหตุการณ์ทางโลกในปัจจุบันไว้ และรักษาความสัมพันธ์อันเป็นมิตรแต่ไม่ใกล้ชิดกับแผ่นดินใหญ่ต่อไป สองฝ่ายได้รับสิ่งที่ต้องการ ไม่เกิดความขัดแย้ง
อีกกลุ่มหนึ่งกลับนำโดยตู้ซานถงและฉินตุนเฉิงสองผู้คุ้มครองฐานฝ่ายสนับสนุนสงคราม
กลุ่มนี้มองว่าคนในเขตห้าอ๋องได้คืบเอาศอกมากเกินไป และพวกเขาเองก็อยากมีแผ่นดินสักส่วน จึงคิดจะเปิดศึกกับอันตงอ๋อง
และในอ๋องทั้งห้า มีแค่เขาฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องที่ไม่เคยร่วมกระทำการใดๆ ต่อฐานเมฆาเลย
อย่างแรก ฐานเมฆาอยู่ห่างจากเขตติ้งซีอ๋องเกินไป ไม่มีผลประโยชน์ข้อพิพาทระหว่างกันแม้แต่น้อย
อย่างที่สอง ต่อให้ฮั่ววั่งมีใจอยากไปทะเลบูรพาเพื่อร่วมแบ่งผลประโยชน์ เขาก็ไม่มีขุนพลให้ส่ง ไม่มีทหารที่รบได้
………………………..
ในหัวเมือง
สตรีฐานเมฆากลุ่มนั้นหยิบหอยสังข์ที่ห้อยไว้ด้วยด้ายทองอันหนึ่งออกจากห่อผ้า และใช้แท่งเงินเคาะเบาๆ สามที
หอยสังข์สั่นสะเทือน มันเริ่มหมุนเล็กน้อย
คนกลุ่มหนึ่งเดินตามทิศทางหมุนของหอยสังข์อย่างช้าๆ ทุกครั้งที่เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาก็เคาะหอยสังข์อีกหน ทำเช่นนี้ซ้ำไปมา
‘หรือว่าผ่านด่านภูเขาหมื่นลี้มาถึงรัฐติงเพื่อตามหาคน’
ฮั่ววั่งจำได้ว่าสิ่งที่พวกนางกำลังใช้คือสังข์เสาะคลื่นมายา
นี่เป็นหอยสังข์ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะทะเลบูรพา มันมีการรับรู้ทิศทางอันยอดเยี่ยม
ขอแค่เป็นคนฐานเมฆา ทุกคนล้วนมีอันหนึ่ง ยามออกข้างนอกก็ทิ้งมันไว้ที่ฐานเมฆาเพื่อให้คนใช้ค้นหาตอนเกิดสถานการณ์พิเศษ
พวกเขาใช้เลือดและจิงของตนเองเลี้ยงมันระยะเวลาหนึ่ง ให้สังข์นี้จดจำกลิ่นอายของตนได้เต็มที่ จากนั้นไม่ว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไร ขอเพียงทำให้เปลือกสังข์สั่นไหวเล็กน้อย สังข์นี้ก็จะชี้ตำแหน่งของผู้ที่เลี้ยงดูมัน
ด้วยว่าพื้นดินไม่เหมือนบนทะเล ขอบเขตที่คลื่นมายาส่งออกถูกจำกัด ได้แต่เดินๆ หยุดๆ ยืนยันซ้ำไปมา
……………………………………….
[1] ไม้ไผ่อยู่ในอก หมายถึงเห็นภาพสิ่งที่จะทำชัดเจน วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว
[2] แขวนน้ำเต้าช่วยคนทุกข์ยาก เป็นคำสรรเสริญหมอ แขวนน้ำเต้าใส่ยาไว้หน้าประตูเป็นสัญลักษณ์ว่าที่นี่รักษาคนและขายยา
[3] จุดจี๋เฉวียน อยู่กลางรักแร้