ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 223 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-4
บทที่ 223 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-4
“พวกเจ้าแอบดื่มสุราอยู่ที่นี่แต่ไม่เรียกข้า?”
อากาศวันนี้ไม่นับว่าดีเกินไปจริงๆ
มีเมฆครึ้มเป็นครั้งคราว
ยามนี้ชั้นเมฆหนาทึบบดบังดวงอาทิตย์อีกครั้งแล้ว
ในบ้านเซียวจิ่นข่านไม่มีตะเกียง
ได้แต่ยืมแสงสว่างเล็กน้อยที่ทะลุผ่านหน้าต่างและประตูเปิดกว้าง
โอวเสี่ยวเอ๋อเข้ามา
บดบังแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูมากว่าครึ่ง
จึงทำให้ในบ้านยิ่งดูมืดสลัว
“กลัวเจ้ายุ่งอยู่ ไม่กล้ารบกวน”
ทังจงซงกล่าว
วันนี้โอวเสี่ยวเอ๋อสวมชุดกระโปรง
ยังเข้าคู่กับผ้าต่อชายแขนเสื้อยาวเหยียด
เหมือนเครื่องแต่งกายของนักแสดงบนเวทีอย่างยิ่ง
“เจ้ามีเสื้อผ้าอลังการเช่นนี้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขาเคยเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อแต่งตัวเป็นบุรุษ
และเคยเห็นนางในชุดทะมัดทะแมงสง่าผ่าเผย
กลับไม่เคยเห็นนางแต่งตัวเหมือนสตรีเช่นนี้
“เป็นอย่างไร งามหรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อหมุนอยู่กับที่รอบหนึ่งพลางกล่าว
ชายกระโปรงลอยขึ้น
งามกว่าดอกไม้ในวสันตฤดูที่สวยสดที่สุดบนแดนสุขสัญจรสามส่วน!
“งามๆ!”
จิ่วซานปั้นออกแรงพยักหน้ากล่าว
“ข้าเพิ่งซื้อมา”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นั่งลงข้างโต๊ะ
ยกไหสุราเทใส่ปากสามอึก
ไม่มีน้ำสุรากระเซ็นสักหยด
พอเห็นท่าทางการดื่มสุราเช่นนี้ของนาง
สามคนหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
โอวเสี่ยวเอ๋อยังคงเป็นโอวเสี่ยวเอ๋อ
ไม่ว่านางสวมชุดทะมัดทะแมง เสื้อผ้าบุรุษหรือชุดกระโปรง
ขอเพียงนางเริ่มดื่มสุรา นิสัยเฉพาะตัวที่เสื้อผ้าบดบังไว้ก็จะระเบิดออกมาในพริบตา
“เจ้าไปเดินเล่นได้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าเป็นสตรี สตรีล้วนชอบเดินเล่นอยู่แล้ว ข้าเดินน้อยครั้งไม่ได้แปลว่าข้าไม่ชอบ”
โอวเสี่ยวเอ๋อกลอกตากล่าว
อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้
กลับมองข้ามเพศของนางไปเสียแล้ว
ดูท่าระหว่างชายหญิงยังมีมิตรภาพบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง
ขอเพียงสองฝ่ายคบหากันนานมากพอ นานจนสามารถมองข้ามความต่างบนร่างกายของกันและกัน
“สตรี? เจ้าเป็นสตรีหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถามยั่วยุ
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อนิสัยดุดัน
แต่นางไม่โง่
นางฟังออกถึงเจตนาหยอกเย้าในคำพูดประโยคนี้ของทังจงซง
“พี่สาวเป็นสตรีหรือไม่ต้องให้เจ้ารู้ด้วยหรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อมือหนึ่งจับไหสุรา อีกมือหนึ่งประคองใบหน้าพลางกล่าว
นึกถึงนางจากตระกูลโอวมาผจญภัยในยุทธภพโดยลำพังนานเพียงนี้
คิดว่าต้องเจอพวกเหยาะแหยะบ้ากามไม่น้อยแน่นอน
คำพูดของทังจงซงยังเบาไป
แหย่นางไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำให้นางเขินอาย
“ข้าน่าจะโตกว่าเจ้านะ”
ทังจงซงกล่าว
“โตหรือไม่หาใช่นับกันที่อายุ”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวพลางเทสุราใส่ปากอีกอึก
ทังจงซงยักไหล่กล่าว
“ในบ้านนี้มีบุรุษสามคน มีเพียงข้าเป็นสตรีคนเดียว! ข้าย่อมโตที่สุด! เพราะของสูงค่ามีน้อย!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
หลักการเช่นนี้สดใหม่อย่างยิ่ง
อย่างน้อยบุรุษสามคนนี้ก็ไม่เคยได้ยิน
แต่พอคิดอย่างละเอียดกลับรู้สึกมีหลักการอยู่บ้าง
“ตอนนี้นับเจ้าโตกว่าไปก่อน แต่ถ้าเป็นชายสามหญิงสาม หรือชายหนึ่งหญิงหนึ่งจะเป็นอย่างไร”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“เท่าเทียมกัน เรื่องเพศไม่มีแบ่งแยก หากจำนวนเท่ากันเช่นนั้นก็โตเหมือนกัน ถ้ามีคนที่งดงามหรือน่าสนใจที่สุด เช่นนั้นก็คนงดงามโตสุด คนน่าสนใจโตสุด!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
พูดจบนางมองบนโต๊ะ
ไม่มีอะไรกินเลย
โอวเสี่ยวเอ๋อเคยชินว่าต้องมีกับแกล้มสุราด้วยถึงจะดี
ไม่อย่างนั้นดื่มเปล่าๆ เช่นนี้มันขาดรสชาติเล็กน้อย
“พวกเจ้าใครทำกับข้าวเป็นบ้าง”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้าก่อนเพื่อน
“ข้าย่างเนื้อปิ้งมันดินเป็น!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ตอนอยู่หมู่บ้านยอดนักดื่มเขาต้องเลี้ยงสัตว์ทุกวัน
ออกเช้ากลับเย็น ได้แต่ก่อกองไฟง่ายๆ ย่างอะไรกินเองอยู่ตามป่า
แต่นี่นับเป็นการทำอาหารไม่ได้โดยแท้จริง
โอวเสี่ยวเอ๋อถอนหายใจ
ลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว
ดูท่าทางจะทำของกินเล็กน้อยให้ตัวเอง
“คนโบราณว่าสุภาพบุรุษอยู่ห่างจากครัว[1] พวกเราทำอาหารไม่เป็นก็สมควรแล้ว”
ทังจงซงกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อเหมือนไม่ได้ยิน
แต่นางย้อนกลับมาจากห้องครัวอีกครั้ง
“ให้เจ้า”
นางดึงกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกจากชายกระโปรง มอบให้จิ่วซานปั้นพลางกล่าว
“ให้ข้าหรือ”
จิ่วซานปั้นมองกระบี่ยาวในมือโอวเสี่ยวเอ๋อแล้วประหลาดใจเล็กน้อย
ถึงขั้นลืมยื่นมือไปรับ
“ก็บอกว่าให้เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากได้ค่อยส่งคืนให้ข้า”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
จิ่วซานปั้นยิ้มทึ่มทื่อรับกระบี่ยาวเล่มนี้จากมือโอวเสี่ยวเอ๋อ
แต่เขาลืมกระทั่งกล่าวขอบคุณ รีบชักกระบี่ยาวออกจากฝัก
กระบี่เล่มนี้
รูปแบบโบราณเรียบง่ายและหนาหนัก
โดยรวมไม่ค่อยต่างกับเล่มก่อนหน้านี้ของจิ่วซานปั้น
ทำให้จิ่วซานปั้นชอบจนวางไม่ลง
เขาชักกระบี่ออกจากฝักแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ไม่หยุด
“นี่คือกระบี่อะไร”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ ไม่มีชื่อ ข้าขอมาจากท่านผู้นำตระกูล ขอบใจที่เจ้าออกมือปกป้องข้าหลายครั้ง”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นางเหมือนไม่ชินกับการกล่าวคำขอบคุณเช่นนี้อย่างมาก
เพราะคำพูดเช่นนี้มักทำให้นางรู้สึกตัวเองอ่อนแออย่างยิ่ง
แต่สำหรับคนอย่างจิ่วซานปั้น หากเจ้าไม่พูดชัดเจนเกรงว่าเขาคงไม่เข้าใจความหมายในนั้นไปทั้งชาติ
“ไม่มีชื่อ เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้มันได้หรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“ข้าให้เจ้าแล้ว เจ้าอยากเรียกอะไรก็เรียก เรียกผายลม เรียกอึสุนัขก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
กลิ่นหอมระลอกหนึ่งลอยผ่านฉับพลัน
นางไปทำของกินในห้องครัวอีกครั้ง
“ชิงหนี่ว์[2]และซู่เอ๋อ[3]ล้วนไม่กลัวความหนาว อวดโฉมประชันกลางดวงจันทร์น้ำค้างแข็ง เรียกมันว่ากระบี่ชิงเอ๋อก็แล้วกัน!”
จิ่วซานปั้นกล่าวดีใจ
จากนั้นหยิบสุราจอกหนึ่งราดลงตามฝักกระบี่
“นี่หมายถึงอะไรหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“นับจากวันนี้ข้ากับมันเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เป็นสหายย่อมต้องร่วมดื่มสุราสักจอก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เป็นสหายต้องนอนเตียงเดียวกันด้วยถึงจะสะท้อนความรู้สึกออกมาได้!”
ทังจงซงกล่าว
“ถูกต้อง! เมื่อก่อนข้านอนกอดกระบี่ของข้าหลับทุกคืน ช่วงนี้หลับไม่สนิทแล้วก็ชอบฝันอยู่ตลอด คิดว่าต้องเป็นเพราะสาเหตุที่ในอกว่างเปล่า…”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงว่าโอวเสี่ยวเอ๋อจะมอบกระบี่ให้จิ่วซานปั้นเล่มหนึ่ง
นี่กลับปลดเรื่องในใจเขาไปอย่างหนึ่ง
เขาจำได้ตลอดว่ากระบี่ของจิ่วซานปั้นแตกเป็นชิ้นแล้ว
เลยคิดอยากหาให้เขาอีกเล่มก่อนตนจากไป
เพียงแต่กระบี่ไม่เหมือนสิ่งอื่น
ยากกว่าให้เขาผัดกับข้าวทำอาหารเสียอีก
แต่ตอนนี้มีกระบี่ ‘ชิงเอ๋อ’ ของตระกูลโอว เหนือกว่ากระบี่ล้ำค่าใดๆ ในโลก
ยิ่งกว่านั้นคนสายตาเฉียบแหลมต่างมองออกถึงความรู้สึกที่จิ่วซานปั้นมีต่อโอวเสี่ยวเอ๋อ
เขาอาจจะบูชากระบี่เล่มนี้ไว้หัวเตียงทุกวันจริงๆ ก็เป็นได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อกำลังเก็บผักอยู่ในลานหลังบ้าน
ในมือนางถือพริกสีเขียวแดงไว้จำนวนมาก
โอวเสี่ยวเอ๋อชอบดื่มสุราแรงและชอบกินอาหารเผ็ด
นี่เป็นเรื่องที่รู้ตั้งแต่เจอกันวันแรก
แต่สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกลับทะลุผ่านเงาร่างของนาง ทะลุผ่านหลังบ้านรวมถึงหอทรงปัญญามองไปยังสถานที่ห่างไกล
หัวใจของเขารู้สึกสั่นไหวอย่างประหลาด
เหมือนมีกีบม้านับไม่ถ้วนวิ่งห้ออยู่ในอกเขา
ทำให้เขาปั่นป่วนเล็กน้อย
“พวกเจ้าว่าเซียวจิ่นข่านทำอะไรอยู่หอทรงปัญญากันแน่ แล้วตอนนี้เขาเป็นใครกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเหมือนพูดกับตัวเอง
ที่จริงในใจเขาแอบมีคำตอบอยู่รางๆ
แต่เมื่อไม่มั่นใจในความคิดหนึ่งมากพอ คนเรามักต้องการคำยืนยันจากคนอื่นมาเป็นหลักฐาน
“เขาไม่เป็นอะไรหรอก ข้ากล้าพูดว่าเขาจะกลับมาก่อนที่เจ้าจะดื่มสุราใต้เตียงเขาหมดด้วยซ้ำ”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าดื่มสุราใต้เตียงเขาหนึ่งในสามส่วนก็สลบเหมือดไปสองสามวัน”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ากล่าว
ในห้องครัวพลันมีเสียงดังลั่น
ทั้งสามคนวิ่งไปดู พบว่าโอวเสี่ยวเอ๋อทำเตาทั้งเตาล้มลงมาได้อย่างไรก็ไม่รู้
หม้อเหล็กใบใหญ่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้น
ในมือโอวเสี่ยวเอ๋อถือพริกที่ยังไม่ได้หั่น นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างมองเศษซากเหล่านี้
“พี่สาว ตอนนี้ข้ายอมรับเจ้าเป็นพี่ใหญ่จากใจจริงแล้ว!”
ทังจงซงกล่าว
“เพราะใต้หล้ามีคนทำห้องครัวยับเยินได้หน้าตาเฉยน้อยมากจริงๆ ของสูงค่าด้วยว่ามีน้อย ผู้คนนับเจ้าเป็นผู้อาวุโส!”
ทังจงซงยกนิ้วหัวแม่มือให้โอวเสี่ยวเอ๋อ
หลิวรุ่ยอิ่งกับจิ่วซานปั้นหัวเราะพร้อมกันครู่หนึ่ง
การทำเรื่องวุ่นวายของโอวเสี่ยวเอ๋อในครั้งนี้
ทำให้ความปั่นป่วนในใจเขาเมื่อครู่สลายหายไปไม่น้อย
…………………
แต่ก็ไม่ต้องห่วงเซียวจิ่นข่านจริงๆ นั่นแหละ
ถ้าเขาอยากทำ ดีดนิ้วหนเดียวก็ทำให้ห้ายอดดรุณม้วยได้ทั้งหมด
เพียงแต่เขาไม่อยากทำเช่นนั้น
ไม่ว่าเขาออกมือขัดขวางดรุณสกัดจุดในฐานะอะไร
เขาล้วนไม่อาจหลุดความจริงที่ว่าเขาเป็น ‘ไท่ไป๋’ สุดยอดนักพรตอินหยางแห่งใต้หล้า
เขาไม่ใช้แผ่นหยกไท่ไป๋
ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ใช่ไท่ไป๋
แม้ ‘ไท่ไป๋’ เป็นแค่การสืบทอดอย่างหนึ่ง
แต่ตอนนี้มันหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเซียวจิ่นข่านโดยไม่มีแบ่งแยก
ทว่า ‘ไท่ไป๋’ ในยามนี้กลับดูไม่มีสง่าราศีของสุดยอดนักพรตอินหยางเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งมีดตัดฟืนบนมือเขาก็หักแล้วครึ่งหนึ่ง
“เดิมข้านึกว่ามีดตัดฟืนเล่มนั้นของเจ้ามีอะไรน่าสนใจ ที่แท้เป็นมีดตัดฟืนธรรมดาเล่มหนึ่งจริงๆ…”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ถ้าเจ้าอยากให้มันน่าสนใจ เหตุใดไม่แต่งเรื่องให้มันเอง”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
สองคนนี้เหมือนไม่ห่วงสถานการณ์ตรงหน้าเซียวจิ่นข่านเลยแม้แต่น้อย
แต่คนทั้งเมืองจิ่งผิงกลับได้ยินเสียงมังกรร้องเสือคำราม เห็นปราณสองสายทลายฟ้า
แบ่งความมืดหม่นก่อนฝนตกเป็นสองส่วน
ทำให้ทั้งเมืองจิ่งผิงพลันสว่างไสวขึ้นไม่น้อย
ดรุณสกัดจุดออกมีดหนึ่งแล้วดึงกลับทันที
เพียงแต่มีดบนมือยังคงถือไว้เรียบนิ่ง
เซียวจิ่นข่านยืนหันหลังให้ดรุณสกัดจุด
เหมือนร่างกายของเขาไม่ขยับ
เพราะแม้แต่ดรุณสกัดจุดก็มองไม่ออกว่าเหตุใดเขาถึงหมุนกาย
เขายืนตัวตรงเหมือนหอกเล่มหนึ่ง
ปลายมีดตัดฟืนที่หักหล่นลงพื้น
ดรุณสกัดจุดพลันได้ยินเสียง ‘แกร๊ง’
“มีดของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ ถึงอย่างไรการด้นสดหน้างานก็สู้ความชำนาญไม่ได้”
เซียวจิ่นข่านหันกลับมาอย่างเชื่องช้า
หน้าอกเขามีรอยมีดลึกเห็นกระดูกสายหนึ่ง
เหมือนจะผ่าร่างเขาเป็นสองซีกได้อย่างนั้น
“เจ้ามีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่”
ดรุณสกัดจุดเอ่ยถาม
ในสายตาของเขา
เซียวจิ่นข่านไม่รอดแน่
ต่อให้ตนไม่ออกมีดอีก
เขาก็จะตายเพราะบาดเจ็บหนักรักษาไม่หาย
“ข้าเดินสู่เส้นทางแห่งความตายเอง แต่เคราะห์ดีมีดนี้ของเจ้าฟันจนข้าได้สติ!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขาโยนมีดตัดฟืนในมือทิ้ง
จากนั้นเปิดสาบเสื้อตรงหน้าอก
ดรุณสกัดจุดถึงได้เห็นว่ารอยแผลมีดนั้นถูกแบ่งเป็นสองตอน
เพราะตรงหน้าอกของเขาใส่แผ่นหยกไว้แผ่นหนึ่ง
แต่บนแผ่นหยกไม่มีกระทั่งตราประทับสักอัน
ไม่รู้ทำไม
เขามองแผ่นหยกนี้แค่แวบเดียว
พลันรู้สึกตาลายอย่างยิ่ง ในท้องปั่นป่วนไม่หยุด
จากนั้นปวดหัวรุนแรง เหมือนจะระเบิดออกมา
…………………………………..
[1] สุภาพบุรุษอยู่ห่างจากครัว หมายถึง จิตใจสุภาพบุรุษมีความเมตตา ทนเห็นเลือดหรือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้
[2] ชิงหนี่ว์ เทพธิดาแห่งน้ำค้างแข็งและหิมะ
[3] ซู่เอ๋อ หรือฉางเอ๋อ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์