ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 23 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-3
บทที่ 23 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-3
ในหัวเมืองรัฐติง
ฮั่ววั่งหยัดกายผงาดขึ้นจากลาน เหลือเพียงภาพเงาติดตา
ระหว่างลอยขึ้นลงไม่กี่ครั้ง เขาก็ตามอยู่ด้านหลังคนของฐานเมฆากลุ่มนี้
ท่าร่างนี้งดงามยิ่งนัก!
เริ่มแรกฉับไวดุจสายฟ้าครั่นครืน ลงพื้นนุ่มนวลดังฝนฤดูใบไม้ผลิรินรดสรรพสิ่ง
แม้ฮั่ววั่งทุ่มเทกายใจให้เส้นทางแห่งกระบี่เต็มที่ แต่การฝึกท่าร่างก็หาได้ตกต่ำไม่
ไม่อย่างนั้น เขาจะกล้าขี่ม้าคนเดียวมาถึงพื้นที่รัฐติงที่กำลังมีภัยสงครามนี้ได้อย่างไร
ว่าไว้คนพึ่งเสื้อม้าพึ่งอาน[1] ที่จริงวิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมก็ล้วนมีชื่อเรียกกังวานยิ่งใหญ่
‘ห่านเหาะมังกรเหิน!’
ก็คือท่าร่างที่ฮั่ววั่งใช้เมื่อครู่
บินกลางอากาศดั่งเงาห่านแตกตื่น เหินสมุทรดุจมังกรออกจากเหวลึก
หากผู้ฝึกตนขั้นสูงใช้มันเต็มกำลัง ไม่แน่เขตติ้งซีอ๋องอันยิ่งใหญ่นี้ก็อาจกลายเป็นก้อนดิน
คนของฐานเมฆาเดินเงียบขึ้นเรื่อยๆ ความถี่ในการเคาะสังข์เว้นนานขึ้นทุกที
ฮั่ววั่งนับกลุ่มนี้ถี่ถ้วนได้ทั้งหมดสิบสองคน ล้วนเป็นสตรี
ฝีเท้าพวกนางมั่นคง ก้าวเดินเงียบเสียง ดูแล้วพื้นฐานการฝึกตนล้วนแข็งแกร่ง เกรงว่าอยู่ปรมบุคคลขั้นกลางโดยประมาณ ผู้บรรลุการฝึกตนขั้นนี้ด้วยอายุเท่านี้ ต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากพรสวรรค์ที่มุ่งมั่นบ่มเพาะกำลังในทุกด้าน
แม้สิบสองคนเดินอยู่บนถนนกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็รักษารูปขบวนไว้ หน้าหลังพวกนางได้สัดส่วน คงเคยฝึกรูปกระบวนร่วมโจมตีบางอย่าง
วิธีการตั้งรูปกระบวนร่วมโจมตีเช่นนี้ไม่ค่อยเห็นในเขตห้าอ๋อง มีไม่กี่แบบเท่านั้นที่ใช้สำหรับกระบวนทัพและยุทธวิธี
นึกถึงตอนนั้นฮั่ววั่งนำทัพอีกาดำโจมตีป้อมปราการได้ยี่สิบกว่าแห่งติดกันในคืนเดียว ก็อาศัยผลสำเร็จของรูปกระบวนทัพ
ฮั่ววั่งปิดบังลมปราณในกายตน เดินตามอยู่ด้านหลังไกลๆ ด้วยจังหวะฝีเท้าของคนธรรมดา ออกจากหัวเมืองแล้ว ตามถนนมีเพิงขายชามากมาย
ฮั่ววั่งแอบคำนวณระยะห่างและวางทิศทางตามจำนวนเพิงขายชาอยู่ในใจ
‘คงเดินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสามสิบลี้แล้ว…’
ในที่สุด คนฐานเมฆาก็หยุดฝีเท้าลงทั้งกลุ่ม
เงยหน้ามองไป ข้างหน้ากลับมีเพียงป่าโล่งเตียนผืนหนึ่ง
ตรงนี้ห่างจากถนนหลวงไม่น้อย โจรเร่ร่อนบุกรุกเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไปจึงไร้เงาผู้คน
กลุ่มคนฐานเมฆาหยุดชั่วครู่ ฮั่ววั่งนึกว่าพวกนางจะหารืออะไรกันหน่อย จึงรีบแผ่จิตเข้าไป
ไม่รู้รีบร้อนเกินไปหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น ฮั่ววั่งไม่ได้ยินคำพูดใดๆ ระหว่างพวกนางเลย
กลุ่มคนฐานเมฆาเหมือนแค่มองซ้ายแลขวาครู่หนึ่งเท่านั้น หามีการเคลื่อนไหวใดไม่
เห็นว่ารอบด้านไม่มีคน พวกนางจึงปลดปล่อยเต็มที่
เงาร่างทั้งสิบสองคนค่อยๆ เลือนราง เห็นเค้าโครงไม่ชัด
แผ่กระจายไปข้างหน้าคล้ายเมฆหมอก บริเวณที่ผ่านไม่ว่าต้นไม้ขวางหรือก้อนหินบังล้วนไม่อาจหยุดยั้งได้
ประหนึ่งไร้ร่างจริง ลอยล่องเหมือนขนนก ปลิวไปราวฝุ่นละออง
‘มิน่าพานอวี่ฮวนถึงกลัวฐานเมฆาเช่นนี้…แค่ท่าร่างเมฆขจรหมอกขจายนี้ก็ทำให้คนตั้งตัวไม่ทันแล้ว’
ฮั่ววั่งมองทั้งสิบสองคนกลายร่างเป็นเมฆหมอกสิบสองกลุ่ม อยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่รู้กระบี่ของตนจะไม่เป็นผลกับอีกฝ่ายเลยหรือเปล่า แต่เขาไม่กังวล เพราะเขาไม่ได้ใช้เป็นแค่กระบี่เท่านั้น
หากสิ่งที่คนคนหนึ่งเปิดเผยอยู่ทุกวันคือทุกอย่างของเขา
เช่นนั้นคนผู้นี้ช่างน่าสงสารโดยแท้
เขาไม่ได้เหลือทางอ้อมหรือทางหนีใดให้ตนเองเลย
ทุกสิ่งที่มีล้วนแกะออกมาขยี้จนแหลกหมดแล้ว วางอยู่ตรงหน้าโจ่งแจ้ง ปล่อยให้เจ้ามาเก็บไป
คนแบบนี้มีแค่สองสถานการณ์
ถ้าไม่ใช้ชีวิตซื่อตรงเรียบง่ายเกินไป ไร้แผนการ ไม่เข้าใจว่าอะไรเรียกว่าใจป้องกันคน
ก็คงมีชีวิตล้มเหลวเกินไป ไม่มีความหวังใดต่อปัจจุบันและภายหน้าอีกแล้ว เป็นโหลแตกแล้วแตกอีก[2]อยู่ตัวคนเดียวโดยสิ้นเชิง
ชัดทีเดียวว่าฮั่ววั่งไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
ยิ่งเข้าป่าผืนนี้ลึกขึ้นเท่าไร ไอหมอกยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ฮั่ววั่งอาศัยแค่สายตาดูเหมือนจะเริ่มลำบากแล้ว
ดีที่ตอนนี้เมฆหมอกทั้งสิบสองกลุ่มค่อยๆ ลดความเร็วในการเคลื่อนตัว
เห็นโครงร่างของพวกนางชัดขึ้นทีละนิดอีกครั้ง
และยามนี้สองคนที่เดินอยู่หน้าสุดคุกเข่าลงข้างหนึ่งฉับพลัน สิบคนที่เหลือแบ่งเป็นสองฝั่ง ก้มศีรษะทำท่าต้อนรับอย่างนอบน้อม
ฮั่ววั่งเห็นฉากตรงหน้านี้ รู้สึกเรื่องราวเริ่มจริงจังกว่าเดิม
ดูการกระทำของชาวฐานเมฆากลุ่มนี้ก็รู้ว่าคนที่พวกนางมาต้อนรับกลับต้องเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง
“นักรบฐานสวี่ฝานเยี่ยน อู๋เมิ่งชิวพร้อมศิษย์ฐานเมฆามาเป็นกำลังเสริมใต้เท้าผู้หนุนฐาน มีสังข์เสาะคลื่นมายาที่ท่านทิ้งไว้ในฐานเมฆาเป็นหลักฐาน”
นักรบฐานที่ชื่ออู๋เมิ่งชิวผู้นั้นชูหอยสังข์ก่อนหน้านี้ขึ้นและกล่าว
‘ผู้หนุนฐาน!’
ฮั่ววั่งตกตะลึง
แม้เขาไม่เคยไปฐานเมฆา แต่เขาก็รู้ข้อมูลของฐานเมฆาไม่น้อย นอกจากผู้คุ้มครองฐานรองจากผู้นำ ตำแหน่งขั้นสามอย่างผู้หนุนฐานนี้เรียกได้ว่าเป็นกำลังสำคัญของฐานเมฆาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ฮั่ววั่งสนใจยิ่งกว่าคือผู้หนุนฐานคนนี้อยู่ฝ่ายไหนของฐานเมฆากันล่ะ
หากเป็นกลุ่มสนับสนุนสันติ เหตุใดต้องมารัฐติงข้า
หากเป็นกลุ่มสนับสนุนสงคราม…แค่ผู้หนุนฐานคนเดียวกับศิษย์หัวกะทิอีกสิบสองคน ฐานเมฆาคงให้เกียรติตนมากเกินไป
อู๋เมิ่งชิวเพิ่งหยิบสังข์เสาะคลื่นมายาออกมา ไอหมอกข้างหน้าก็ค่อยๆ แยกออกไปสองฝั่งเหมือนประตูใหญ่บานคู่
สตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหมอกอย่างแช่มช้า
ฮั่ววั่งเห็นสตรีผู้นี้ม่านตาดำพลันหด
หาใช่เพราะนางรูปโฉมงามล้ำในแผ่นดินแล้วฮั่ววั่งเกิดใคร่ได้ไม่
แต่เป็น!
กระบี่ที่นางถืออยู่ในมือ!
‘กระบี่ดารา! ไม่น่าเชื่อเลยว่านอกจากหลิวรุ่ยอิ่งแล้วรัฐติงเล็กๆ นี่ยังมีกระบี่ดาราอีกเล่ม!’
ในใจฮั่ววั่งใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
วันนั้นกระบี่ดาราของหลิวรุ่ยอิ่งก็แกว่งไปมาอยู่ตรงหน้าของตน เห็นสิ่งที่ปรารถนามานานปีอยู่ใกล้เพียงนี้กลับไม่อาจได้มา ทำให้เขาเจ็บปวดยากรับไหวโดยแท้
คืนนั้นในจวนทังหมิง ผู้คนอยู่กันเยอะแยะ
หากตนใช้อำนาจบังคับเอากระบี่ดาราเล่มนั้น หัวเมืองรัฐติงต้องนองเลือดเพราะปิดหูปิดตาคนเป็นแน่
อีกอย่างฐานะของหลิวรุ่ยอิ่งน่าสงสัยเกินไปจริงๆ เขาไม่เชื่อว่าหลิวจิ่งเฮ่าจะโง่ถึงขั้นให้ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่สังคมพกกระบี่ดารามาเดินเล่นรอบเขตติ้งซีอ๋องของตน
แต่ตอนนี้ต่างกับครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
ฐานเมฆาทะเลบูรพาอยู่ห่างกับตนเป็นแสนเป็นพันลี้ แต่ไรมาก็ไม่มีมิตรไมตรีใดให้เอ่ยถึง หากตนชิงกระบี่ดาราเล่มนี้ จะด้านความรู้สึกหรือเหตุผลล้วนไม่นับว่าผิด
ต่อให้จบเรื่องแล้วฐานเมฆาตามสืบถึงที่นี่ ตนก็เลี่ยงด้วยคำว่าไม่รู้ได้
หนำซ้ำตอนนี้รัฐติงเป็นช่วงสงคราม บ้านเมืองโกลาหลมีเรื่องใดไม่อาจเกิดขึ้นบ้างเล่า
คิดถึงตรงนี้ฮั่ววั่งถึงขั้นรู้สึกขอบคุณศัตรูคู่แค้นหลายปีมานี้ของตนอยู่บ้าง นั่นคือผู้นำราชสำนักทุ่งหญ้า ราชาหมาป่าหมิงเย่า
หากไม่ใช่เพราะเขามุ่งแต่ส่งทหารหมาป่ามาปล้นชิงชายแดนในยามนี้ ตนจะมีโอกาสอันดียิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร
“ใครน่ะ!”
สตรีที่เดินออกจากส่วนลึกของเมฆหมอกตะโกนเสียงเฉียบขาด
ทำเอานักรบฐานทั้งสองกับศิษย์ผู้ติดตามงงงันกันหมด
ฮั่ววั่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เห็นกระบี่ดาราแล้วตื่นเต้นมากเกิน จิตที่แผ่เข้าไปก่อนหน้านี้เกิดสะเทือนเล็กน้อยเลยเปิดเผยตนเอง
ตอนนี้ไม่ปิดบังอีกต่อไป เขาเผยร่างออกมาอย่างอาจอง
“ท่าน…”
สตรีผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลี่อวิ้นผู้ประกระบี่กับทังจงซงอยู่ในป่าคืนนั้น
นางในตอนนั้นยืมกำลังพายุโหมพัดจากวิชาปาดกระบี่ฐานเมฆาทำให้กลุ่มคนสงบลง
ระหว่างทุกคนกำลังสับสน นางก็รีบจากมาแล้วซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอด
ฐานเมฆาเห็นว่าถึงวันนัดติดต่อแล้ว หลี่อวิ้นกลับชักช้าไม่ได้ส่งข่าว จึงส่งกำลังคนเพิ่มให้มาสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ให้ศิษย์หัวกะทิเหล่านี้ฝึกประสบการณ์ด้วย
ยังไม่รอหลี่อวิ้นแนะนำตัว ร่างฮั่ววั่งเคลื่อนไหวแล้ว
เมื่อครู่คิดตริตรองอยู่หลายครั้ง เขาตั้งมั่นว่าจะเอากระบี่ดาราเล่มนี้มาให้ได้
ฉะนั้นไม่ต้องพูดมาก พอลงมือก็ใช้สุดยอดกระบวนท่า
หลี่อวิ้นยังไม่ทันชักกระบี่ก็เห็นเสี้ยวแสงเย็นเยียบจากคมกระบี่ฮั่ววั่งแล้ว
ระหว่างรีบหลีกกายไม่ลืมบอกให้กลุ่มฐานเมฆาเลี่ยงหลบไปก่อน
จนบัดนี้ หลี่อวิ้นก็ยังไม่รู้ว่าคนที่ตนเผชิญหน้าเป็นบุคคลระดับไหนกันแน่
หลังกระบี่พลาดฮั่ววั่งไม่รีบร้อน มือซ้ายคว้าไปที่นางในรูปกรงเล็บมังกร ดึงเสื้อผ้าของหลี่อวิ้นขาดชิ้นใหญ่ในพริบตา
ฉับพลันนั้น เนื้อหนังเปิดเผย
แต่ฮั่ววั่งหาใช่คนลืมผลประโยชน์เพราะความงามของสตรีไม่
หนำซ้ำในใจเขาจะมีหญิงงามเลิศล้ำที่งามกว่ากระบี่ดาราได้อย่างไร
“ท่านช้าก่อน ข้าน้อยหลี่ชิวเฉี่ยวผู้หนุนฐานเมฆา! ใต้บังคับบัญชาผู้นำหลิงจือฉือ!”
หลี่อวิ้นยังมีความเพ้อฝันอยู่บ้าง
หวังว่าชื่อเสียงของฐานเมฆาจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว และฝ่ายที่ตนอยู่ก็ไม่ใช่พวกสนับสนุนสงคราม ไม่แน่อาจเป็นความเข้าใจผิดจึงแก้ไขตั้งแต่ตรงนี้
“หึๆ ข้าน้อยฮั่ววั่ง ติ้งซีอ๋อง!”
ฮั่ววั่งหัวเราะเยาะและเอ่ย
เขารู้สึกคนของฐานเมฆานี่ทึ่มจนน่าเอ็นดูโดยแท้ ในใต้หล้าเหมือนจะไม่มีใครไร้เดียงสาเท่านี้อีกแล้ว
หลี่อวิ้นได้ยินแล้วก็ไม่เอ่ยคำอีก
ในมือโจมตีเคล็ดกระบี่หนึ่งออกมา ไอหมอกเบาบางและหนักหน่วงกลุ่มหนึ่งแผ่ขยายในรัศมีร้อยลี้
พริบตานั้น
แสงเขียวสายหนึ่งผ่าเป็นแนวขวางออกจากใต้กระบี่หลี่อวิ้น ทว่าถูกฮั่ววั่งต้านไว้
ฮั่ววั่งผลักฝ่ามือออกโดยไม่ยั้งคิดทันที ด้วยหลี่อวิ้นไม่แน่ชัดในกำลังของฮั่ววั่ง นางจึงรับฝ่ามือถอยกลับ ไม่ดึงดันต่อต้าน
แต่เห็นกระบี่ทางขวาฮั่ววั่งมีไอเย็นเยียบเข้มข้นลอยขึ้น ฝ่ามือซ้ายรวมพลังดาวตกหินหลอมเหลว มุ่งเข้าสังหารอีกครั้ง
หลี่อวิ้นรับกระบี่และฝ่ามือนี้เต็มๆ เพื่อปกป้องสหายด้านหลัง กายเกิดบาดแผลทันที
กระบี่เย็นกร่อนดารา ฝ่ามือพิฆาตเพลิงโลหิต
หนึ่งความเย็นหนึ่งความร้อน
หนึ่งอินหนึ่งหยาง
บัดนี้กลุ่มฐานเมฆาสิบสองคนที่มาเป็นกองหนุนหลี่อวิ้นเพิ่งได้สติ พากันชักกระบี่ช่วยรบ
เพียงเห็นพวกนางรวมตัวเป็นรูปกระบวนหนึ่งอย่างรวดเร็ว ร่วมมือกันโดยไม่ต้องบอก สองแขนยกหมุนเคลื่อนไป แสงกระบี่ที่เกิดจากกระบี่สิบสองเล่มร้อยรวมเคลื่อนสับกัน มุ่งประทับลงแสกหน้าฮั่ววั่ง
แต่ฮั่ววั่งหาสะทกสะท้านไม่ ยังคงเปิดฉากโจมตีต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เห็นกระบี่ตาข่ายของสหายถูกทำลาย ชีวิตกำลังเสี่ยงอันตราย
หลี่อวิ้นแผดเสียงกระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง ใช้กำลังเร่งเคลื่อนกระบี่ดาราขัดขวาง คิดไม่ถึงแผลเก่ายังไม่หายได้แผลใหม่อีก
หลี่อวิ้นข่มลำคอพยายามประคองตันเถียน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พ่นเลือดคำนี้ออกมา
ในยามนี้เอง ไอหมอกลึกลับที่ปกคลุมร้อยลี้ก่อนหน้านี้เกาะเกี่ยวอยู่บนกายของฮั่ววั่งประหนึ่งมันแข็งตัว ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้ายิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเดียวกันพลังกัดกร่อนกลุ่มหนึ่งทอดขยายอยู่รอบตัวฮั่ววั่ง กลิ่นกรดคาวแสบจมูกทำเอาตัวหลี่อวิ้นถอยหลบไปด้านหลัง
“ใช้พิษ?”
หลี่อวิ้นใช้พลังกระบี่ประสานพิษปลาแสงจันทร์ที่มีเฉพาะฐานเมฆาก่อนหน้านี้เกิดผลแล้วในที่สุด
พิษนี้เล่นงานเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เป็นภัยกับคนธรรมดาแม้แต่น้อย
และยิ่งเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูง ยิ่งเป็นอันตราย
ฮั่ววั่งรวมลมปราณส่งพลังจู่โจมเต็มแรงอยู่ในกรอบพิษหลายสิบรอบ พิษนี้เดินทางจากภายในสู่ภายนอกมาหลายหนแล้ว
“ท่านถูกยาพิษเฉพาะของฐานเมฆาเข้าแล้ว หากท่านปล่อยพวกเราไปและไม่ยุ่งเกี่ยวอีก ข้าน้อยจะให้ยาถอนท่าน”
จนถึงตอนนี้ หลี่อวิ้นยังไม่ยอมเลิกโน้มน้าวให้ฮั่ววั่งยุติการต่อสู้
กลุ่มฐานเมฆาสิบสองคนรวมตัวเป็นรูปกระบวนอีกครั้งภายใต้การนำของนักรบฐานทั้งสอง ล้อมรอบกายฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งก้มหน้า คล้ายกำลังครุ่นคิด
ทว่าหมอกพิษที่ล้อมอยู่นอกกายกลับเหมือนค่อยๆ สลาย รินไหลลงเท้า แล้วก็เริ่มลุกไหม้
ชั่วขณะ มันแผดเผาทั่วฟ้าดิน ปลายกระบี่ของกลุ่มคนฐานเมฆาล้วนถูกเผาจนอ่อนลู่ลงมา
………………………………………….
[1] คนพึ่งเสื้อม้าพึ่งอาน หมายถึงสิ่งต่างๆ ดูดีขึ้นได้เพราะการปรุงแต่ง
[2] โหลแตกแล้วแตกอีก หมายถึงปล่อยให้เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นต่อไป ไม่คิดแก้ไข หรือบางครั้งตั้งใจทำให้แย่ลงกว่าเดิม