ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 230 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-5
บทที่ 230 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-5
เด็กหนุ่มหันมาทันที
เห็นเซียวจิ่นข่านแล้ว
เงาร่างคลุมเครือในใจทับซ้อนกับคนตรงหน้าในที่สุด
“ท่านอาจารย์!”
เด็กหนุ่มคุกเข่าลงพื้น สีหน้าตื่นเต้นแทบอยากร้องไห้
เซียวจิ่นข่านเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้น ปัดฝุ่นบนหัวไหล่เขาเล็กน้อย
“คารวะอาจารย์อาหลิวรุ่ยอิ่งของเจ้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางชี้หลิวรุ่ยอิ่ง
เด็กหนุ่มมองหลิวรุ่ยอิ่ง โค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อม ไม่มีความแคลงใจหรือไม่ยินยอมแม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เป็นช่วงเวลาที่จิตใจและอารมณ์ดียิ่ง เขาจึงไม่คิดมากกับเรื่องก่อนหน้านี้ เพียงรับการคารวะของอีกฝ่ายอย่างสบายใจ
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งเห็นเด็กหนุ่มไม่มีสีหน้าเสียใจหรือกังวลแม้แต่น้อย อดรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เสียใจไปก็ไม่ทัน ทั้งยังเปล่าประโยชน์”
เซียวจิ่นข่านเอ่ย
“เจ้าถูกใจจุดนี้ของเขาถึงได้รับเขาเป็นศิษย์งั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ก็ไม่ทั้งหมด…หากห้าปีให้หลังเขาไม่มาหาข้า หรือเลิกสนใจเรื่องนี้ไปนานแล้ว เช่นนั้นข้าก็ทำอะไรไม่ได้”
เซียวจิ่นข่านกล่าวเรียบนิ่ง
การได้เสียล้วนมีเหตุผลและความแน่นอน
เซียวจิ่นข่านแค่ให้ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งกับเด็กหนุ่มคนนี้
หากเด็กหนุ่มคว้าเอาไว้ สรรพสิ่งย่อมมั่นคงแน่นอน
หากพลาดไปแล้ว ชีวิตนี้ย่อมลืมเลือนยุทธภพ
“เจ้าไปไหนมา”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขาเห็นคราบเลือดบนสาบเสื้อตรงหน้าอกเซียวจิ่นข่าน
แต่เขาไม่ได้เปิดโปง
ในเมื่อเซียวจิ่นข่านยังยืนอยู่ตรงหน้าตนและพูดคุยกับตนได้ เช่นนั้นก็แปลว่าเขาจัดการเรื่องยุ่งยากแล้ว
“ออกไปนอกหอทรงปัญญา”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้ารู้อยู่ว่าเขาจะมา ทำไมต้องเลือกออกไปตอนนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะมีบางเรื่องเร่งด่วนกว่า…หนำซ้ำข้าก็ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“มีเรื่องที่เจ้าไม่รู้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แน่นอน ข้าเห็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่มีทางเห็นบทสรุป โดยเฉพาะเรื่องนี้ ตัวข้าเองยังอยู่ในนั้นด้วย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“พอเจ้าอยู่ในกระดานก็มองไม่ชัดเหมือนกันหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย
“ไม่ว่าคนหรือเซียนและมาร ตราบใดที่ตัวอยู่ในกระดานย่อมมองไม่ชัดอยู่แล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่ถ้าเห็นกระดานแล้วยังจะกระโดดเข้าไป นั่นก็คือโง่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเหยียดหยาม
“บางครั้งก็ต้องยอมโง่เพื่อกระโดดเข้าไป”
เซียวจิ่นข่านยักไหล่กล่าว
“เจ้าดื่มสุราของข้าในบ้านข้าเยอะขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้อยู่ในบ้านเจ้า เหตุใดไม่เชิญข้านั่งแล้วรินสุราให้ข้าสักจอกเล่า”
เซียวจิ่นข่านรู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งอ้าปาก
แต่เขากลับชิงพูดก่อนที่หลิวรุ่ยอิ่งจะพูดออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม
ชี้ตาข่ายที่เด็กหนุ่มเอามาโดยไม่เอ่ยคำ
เซียวจิ่นข่านบอกให้เด็กหนุ่มยกตาข่ายมา ตบเปิดผนึกดินในหนึ่งฝ่ามือ
ดมกลิ่นสุราก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สุราดีอะไร
แม้เงินยี่สิบตำลึงเยอะแล้วจริงๆ
แต่กลับซื้อสุราดีที่เซียวจิ่นข่านกับหลิวรุ่ยอิ่งยอมรับไม่ได้
สุรานี้ดีหรือแย่ ถูกหรือแพง ต้องดูว่าดื่มกับใคร
หากดื่มกับสหาย น้ำบ่อที่เพิ่งตักขึ้นมาก็เป็นสุราและทำให้คนเมาได้
เซียวจิ่นข่านรินให้ตัวเองจอกหนึ่ง แต่ไม่ได้รินให้หลิวรุ่ยอิ่ง
“บางครั้งคนมักต้องทำเรื่องโง่เง่า ไม่ใช่เพื่อตัวเองก็เพื่อคนอื่น”
เซียวจิ่นข่านดื่มสุราจอกหนึ่งและกล่าว
คำพูดนี้เหมือนตอบคำถามก่อนหน้านี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เขาพูดจบแล้วกลับไอเบาๆ สองสามที
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฟองเลือดกระเด็นผสมกับน้ำสุราเล็กน้อย
แต่เซียวจิ่นข่านเพียงใช้แขนเสื้อเช็ดปาก ไม่ใส่ใจเพียงนิด
“อาจารย์เจ้าบาดเจ็บแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้บาดแผลตรงหน้าอกเซียวจิ่นข่านพลางกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ข้ารู้”
เด็กหนุ่มพยักหน้ากล่าว
“แต่เขายังดื่มสุราอยู่อีก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ในยามนี้เอง เซียวจิ่นข่านกลับไอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
รุนแรงจนทั้งกายเขาสั่น
กระทั่งจอกสุราบนมือก็เริ่มจับไม่มั่นแล้ว
“ข้ารู้”
เด็กหนุ่มยังคงพูดสองคำนี้เรียบนิ่ง
แม้อาจารย์ที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลาและบูชาอย่างยิ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งยังไออย่างเจ็บปวดไม่หยุด แต่เด็กหนุ่มพูดว่ารู้อยู่กับปาก ที่จริงกลับไม่ได้สนใจ
“เจ้าทำถูกต้อง!”
เซียวจิ่นข่านหยุดไอ เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่กล่าวชมขอรับ!”
เด็กหนุ่มกล่าว
“หรือว่าการไม่ห้ามเจ้าดื่มสุราตอนไอก็สมควรถูกชมเชย”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถามเจือแววเหน็บแนม
“เพราะเขารู้ว่าทุกคนทำเรื่องใดก็ตามล้วนต้องเลือกและใคร่ครวญแล้ว ต่อให้เรื่องนี้แย่แค่ไหน อันตรายเพียงใด ตราบใดที่เขาทำแล้วก็ต้องพร้อมยอมรับอันตรายและข้อเสียเหล่านี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หลักการลึกซึ้งเช่นนี้ข้าเข้าใจได้ แต่ก็เพิ่งเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าเข้าใจได้คิดว่าเป็นเพราะเจ้าเห็นความรักความชังและความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมมามากเกินไป แต่เขาอายุเท่านี้ ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้ แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“สัญชาตญาณ”
เซียวจิ่นข่านพูดเพียงคำนี้
หลิวรุ่ยอิ่งผ่อนลมหายใจยาว
แม้คำนี้คลุมเครืออย่างยิ่ง
แต่ก็อธิบายชัดเจนจริงๆ ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงเข้าใจเช่นนี้
“เขาชื่ออะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เหตุใดเจ้าไม่ถามเขาเลยเล่า”
เซียวจิ่นข่านชี้เด็กหนุ่มข้างกายพลางกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเลื่อนสายตาไปทางเขา
แต่เด็กหนุ่มเก้อกระดากเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้าเขา
“ข้าไม่มีชื่อ”
เด็กหนุ่มกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ถามต่อว่าเพราะอะไร
เพราะคนที่ไม่มีชื่อต้องไม่มีที่พึ่งพิงแน่นอน
และชื่อนี้ก็เป็นที่พึ่งพิงของเขา ทำให้เขารู้สึกมีที่ของตัวเอง
แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีกระทั่งชื่อ…
จะไม่ทำให้คนถอนใจเพราะสิ่งนี้ได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าตนควรเห็นใจเด็กหนุ่ม
เมื่อเกิดความสนุกก็คิดอยากดื่มสุรา
ไม่รู้ทำไม
สุรามักกระตุ้นความรู้สึกของคนได้เสมอ
ทำให้คนที่เบิกบานสุขใจขึ้นอีก คนที่โศกเศร้าเศร้าโศกขึ้นอีก
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่รู้ว่าตัวเองเบิกบานหรือโศกเศร้า
เดิมเจอคนที่มีประสบการณ์เหมือนกันควรเบิกบานใจ
เพราะมีแต่คนเช่นนี้ถึงจะเข้าใจและโอบรับกันและกันได้
ที่เหลือก็เป็นเพียงการปลอบโยนที่ท่วมท้นด้วยความเห็นใจเท่านั้น
ไม่นับเป็นสิ่งใด
แต่สำหรับเรื่องเช่นนี้ ต่อให้เจอคนเหมือนกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เบิกบานไม่ลง
เพราะหนักอึ้งเกินไป และนมนานเกินไป
ตอนเพิ่งเกิดเรื่องเศร้า ต้องเศร้ามากเป็นแน่
แต่สุดท้ายมันจะกลายเป็นเรื่องนมนานตามวันเวลาที่ผันผ่าน
ทว่านมนานก็หมายถึงหนักอึ้ง
ไม่เคยลืมมันได้เลย
ตอนนึกถึงเป็นครั้งคราวยังคงถ่วงอยู่ในใจอย่างหนักอึ้ง
เพียงแต่น้ำตาไม่ไหลและเลือดไม่ออกเท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบจอกสุราจอกหนึ่งวางบนโต๊ะ
แต่เซียวจิ่นข่านกลับใช้มือปิดไว้ สื่อว่าไม่ให้หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาด้วยความฉงน แต่เขาเพียงมองไปทางประตู
“สองวันนี้เจ้าดื่มสุรามากพอแล้ว ตอนนี้ควรไปทำงานได้แล้ว การนั่งถอนใจมันกินแทนข้าวไม่ได้หรอก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดชั่วครู่และพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย
“แล้วเจ้าล่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เรื่องของข้าทำเสร็จแล้ว อย่างน้อยต่อจากนี้อีกพักหนึ่งก็ไม่มีเรื่องให้ทำ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ผิด เจ้าต้องมีเรื่องให้ทำแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ถูก ข้ายังมีเรื่องต้องทำ!”
เซียวจิ่นข่านยกจอกสุราในมือขึ้นชูไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
จากนั้นแหงนหน้าดื่มรวดเดียวหมด
‘คงถึงตาเขาดื่มสุราแล้ว…’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
‘คงถึงตาข้าดื่มสุราแล้ว…’
ขณะเดียวกันเซียวจิ่นข่านก็คิดเช่นนี้ในใจ
“ยังมีเรื่องสุดท้าย”
หลิวรุ่ยอิ่งหันมากล่าวกะทันหัน
เขาเดินถึงประตูแล้ว
ตอนเท้าข้างหนึ่งจะก้าวออกธรณีประตู เขาชักกลับมากะทันหัน
“รู้จัก”
เซียวจิ่นข่านยังไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งอ้าปากก็กล่าวตอบเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม จากนั้นสาวเท้าเดินออกประตูและลานหน้าบ้าน
‘ข้ารู้จักสหายที่ทำให้เจ้ายอมโง่กระโดดเข้ากระดานโดยไม่รู้สึกเสียใจหรือไม่’
นี่ก็คือเรื่องที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากพูดเมื่อครู่
แต่เซียวจิ่นข่านมีสหายเพียงคนเดียว
สหายคนนี้ก็คือหลิวรุ่ยอิ่ง