ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 236 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-11
บทที่ 236 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-11
เมืองติ้งซีอ๋อง
ในวังติ้งซีอ๋อง
ไม่รู้วันนี้ฮั่ววั่งเป็นอะไร
เขาที่ขยันมาตลอดกลับยังไม่ตื่นจนถึงตอนนี้
เมื่อคืนเขาไม่ได้ดื่มสุรา
แต่ตอนนี้กลับปวดหัวเหมือนเมาค้าง
หากเป็นเมื่อก่อนเขาจะไม่สนใจปัญหาเล็กๆ เหล่านี้เลย
มีก็แต่วันนี้ เขาตัดสินใจปล่อยมันไป
นอนอยู่บนเตียงไม่ยอมลุก
แต่ในใจเขาหงุดหงิดเล็กน้อย
ทั้งที่ตนไม่ได้ดื่มสุรา ทำไมถึงมีความรู้สึกเมาค้าง
หากรู้แต่แรกว่าวันนี้จะเป็นเช่นนี้
เมื่อคืนดื่มจนเมาเละให้สำราญใจยังดีกว่า
ตั้งแต่เขากลับจากเมืองจิ่งผิง เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ไม่ใช่เพราะเขาคุยกับเยี่ยเหว่ยมากมาย
แต่ได้เจอคนที่ทำให้ตนสบายกายสบายใจได้อย่างถึงที่สุด ความกลัดกลุ้มเหล่านั้นก็หายไปในพริบตา
ดีที่ช่วงนี้เมืองติ้งซีอ๋องเงียบสงบยิ่ง
ไม่มีเรื่องอะไรควรค่าให้เขาไปลงแรงมากนัก
แม้อากาศหนาวหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิกระทบการเพาะปลูกอยู่บ้าง
ถึงเขาเป็นติ้งซีอ๋องก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้
สิ่งที่ทำได้มีแค่เตรียมพร้อมล่วงหน้า
ช่วงปีที่อุดมสมบูรณ์เก็บเสบียงให้มากหน่อย
พอถึงยามที่อากาศเป็นเช่นปีนี้ก็เปิดยุ้งฉางช่วยเหลือคนทุกข์ยากได้
บางแห่งที่เจอภัยพิบัติรุนแรง ฮั่ววั่งสั่งการด้วยตัวเองแล้วว่าต้องแจกอาหารทุกวัน
ถึงขั้นแจกวันละสองครั้งด้วย
กล่าวตามตรงว่าต้องขอบคุณราชสำนักทุ่งหญ้า
หากพวกเขาไม่บุกรุกชายแดนก่อความวุ่นวายต่อเนื่องหลายปี
เมืองติ้งซีอ๋องจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร
หากคนเห็นต่าง หลายเรื่องล้วนไม่อาจปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
ทุกภาคส่วนต้องเตรียมรับมืออันตรายยามสงบ ทุกสิ่งถึงจะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีเบื้องบนสั่งการเบื้องล่างลงมือเช่นนี้
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ฮั่ววั่งก็พอใจกับสภาพการณ์ของเมืองติ้งซีอ๋องตนไม่น้อย
เขาจึงตัดสินใจให้ตัวเองว่างหนึ่งวัน
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร
ยังไม่ได้แต่งงาน
และไม่มีคนรักให้พูดคุยเปิดอก
อย่างมากงานอดิเรกของตนในวันปกติก็คืออ่านแผ่นที่เมืองติ้งซีอ๋อง ดื่มสุราที่ต้มด้วยเตาดินเผาอยู่ในพระตำหนักวังอ๋อง
แต่วันนี้เขากลับไม่อยากไปพระตำหนักนั้น
ฮั่ววั่งอยู่ในชุดเกราะแทบตลอดเวลา
แม้เขามีชุดลำลองสวยหรูมากมาย
แต่เก็บไว้ในหีบทั้งหมด ไม่เคยใส่เลยสักครั้ง
คิดถึงตรงนี้ฮั่ววั่งรู้สึกเหมือนตนติดหนี้บางอย่างกับเสื้อผ้าเหล่านั้น…
ควรปฏิบัติต่อทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมถึงจะถูก
เขาจึงลุกจากเตียงและเปิดหีบเหล่านั้น
องครักษ์ด้านนอกได้ยินความเคลื่อนไหวในห้องจึงออกปากถาม
แต่ฮั่ววั่งกลับให้พวกเขาออกไปทั้งหมด
กำชับอีกว่าวันนี้ห้ามรบกวนทั้งวัน
เขาเปิดหีบทั้งหมดสิบกว่าใบในหนึ่งลมปราณ หยิบเสื้อผ้าทั้งหมดออกมาทีละตัวและคลี่ออก
สุดท้ายเลือกชุดยาวสีฟ้าครามตัวหนึ่งมาสวม
ฮั่ววั่งลองส่องกระจก
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าเช่นนี้แล้วจะดูเป็นอย่างไร
นึกไม่ถึง มันเพิ่มความสุขุมให้เขาหลายส่วน
เหมือนอาจารย์วัยกลางคนผู้หนึ่ง
ฮั่ววั่งหัวเราะ รู้สึกเล่นสนุกกับตัวเองเช่นนี้เป็นบางครั้งบางคราวก็ไม่เลวจริงๆ
แต่สายตาของเขากลับมองไปนอกหน้าต่าง
เขาอยากออกไปเดินเล่น
ไม่มีทิศทางใด แค่เดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย
จะว่าไปเขาก็ยังไม่รู้จักเมืองอ๋องของตัวเองเท่าไร
ในเมื่อวันนี้ว่าง เหตุใดไม่ใช้โอกาสนี้ออกไปเดินดูรอบๆ เสียหน่อย
อยู่ในวังอ๋องมานาน ย่อมไม่ได้คลุกคลีกับผู้คน
วันนี้แดดฤดูใบไม้ผลิกำลังดี ลมอุ่นมาเป็นระยะ
ฮั่ววั่งรัดเข็มขัดหยกเส้นหนึ่งตรงเอว
แต่พอคิดอีกที รู้สึกเตะตาเกินไป
หาไปหามา เจอเพียงสายคาดเอวลายเมฆมงคลด้ายสีทองเส้นหนึ่ง
เป็นเส้นที่เรียบง่ายที่สุดแล้ว
ฮั่ววั่งถือสายคาดเอวเส้นนี้ไว้บนมือ ที่จริงยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
ระหว่างลังเล เขาพลันพลิกข้อมือ
จู่ๆ ก็คิดได้ว่ารัดสายคาดเอวเส้นนี้กลับด้านจะไม่ดีกว่าหรือ
ด้านลวดลายหันเข้าด้านใน
เช่นนี้ไม่ว่าใครก็ดูลายเมฆมงคลกับด้ายทองด้านบนไม่ออก เป็นเพียงสายคาดเอวไหมธรรมดาเส้นหนึ่งเท่านั้น
แม้เมืองติ้งซีอ๋องห่างไกล
แต่ในเมืองติ้งซีอ๋องคนที่รัดสายคาดเอวไหมได้มีไม่น้อยทีเดียว
เช่นนี้แล้วย่อมไม่ถึงขั้นเตะตาเกินไป และไม่ถูกคนที่ยกอาหารให้ตามเครื่องแต่งกายเหล่านั้นดูถูก
ฮั่ววั่งแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกจากวังอ๋อง
เขาเคลื่อนไหวแวบเดียวก็ยืนอยู่นอกกำแพงฝั่งตะวันออกของวังอ๋องแล้ว
บนตัวไม่ได้พกกระบี่
เขารู้สึกสองมือของตนไม่มีที่วางเล็กน้อย
เมื่อก่อนในมือมีกระบี่ตลอด
ยามนี้พอว่างเปล่าแล้วก็ต้องใช้เวลาปรับตัวหน่อยไม่ใช่หรือ
เขาได้แต่ไพล่มือและเดินมุ่งหน้าเลียบตามทาง
ในใจเขาไม่มีทิศทางใด
จึงตัดสินใจว่าเจอทางแยกที่หนึ่งเลี้ยวซ้าย ทางแยกที่สองเลี้ยวขวา เช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ทำเช่นนี้แล้วทั้งเลี่ยงการวนรอบอยู่สถานที่เดียว และยังเดินวนดูเมืองอ๋องอันยิ่งใหญ่ของตนได้อีกด้วย
เพียงแต่เขาลืมของอย่างหนึ่ง
เงิน
เขาไม่ได้พกเงินติดตัว
กระทั่งทองแดงก็ไม่มีสักเหรียญ
แต่เขาเป็นติ้งซีอ๋องย่อมไม่มีแนวคิดเรื่องเงินตั้งนานแล้ว
ทั่วหล้าล้วนเป็นแผ่นดินอ๋อง
สี่สมุทรล้วนเป็นอาณาประชาราษฎร์
ทั้งเขตติ้งซีอ๋องล้วนเป็นของเขา เงาคนที่สั่นไหวบนถนนล้วนเป็นราษฎร
ฮั่ววั่งเดินถนนจะนึกถึงเรื่องพกเงินได้อย่างไร
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ตนแอบมาบนถนนเงียบๆ
เมื่อก่อนข้างกายต้องมีคนกลุ่มใหญ่ติดตามล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ
คราวนี้ออกมาคนเดียวกลับรู้สึกเงียบสงบเป็นพิเศษ
อย่างน้อยตนอยากหยุดก็หยุด อยากเดินก็เดินได้ตามใจนึก
เห็นคนกับเรื่องที่ตนสนใจ ต่อให้หยุดยืนมองเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก็ไม่เป็นไร
แต่เมื่อก่อนสองตาเขามองตรงอย่างเดียว
ไม่กล้าเผยความรู้สึกใดของตัวเอง
เพราะสิ่งที่ตนชายตามองอาจเปลี่ยนวงโคจรเดิมของสิ่งนั้นได้
เขาไม่อยากก้าวก่ายการดำรงอยู่ธรรมดาเหล่านี้
แต่เขาก็เป็นคนคนหนึ่ง
เป็นคนก็ต้องมีความชอบและความชัง
เขาจึงได้แต่แสร้งไม่สนใจ
แต่วันนี้เลิกคิดเรื่องเหล่านี้ได้
ตอนนี้เขาหยุดยืนมองอยู่หน้าแผงของคนเป่าน้ำตาลคนหนึ่ง
เห็นผู้มีฝีมือทำให้น้ำตาลร้อนแล้วเปลี่ยนเป็นข้นเหนียว
จากนั้นเป่าลมเหมือนตีเหล็กตอนร้อน ในมือใช้อุปกรณ์หน้าตาเหมือนแหนบขนาดเล็ก
ยก จิ้ม ทิ่ม ดึง
พริบตาเดียวก็เปลี่ยนน้ำเชื่อมเหล่านี้เป็นหน้าตาของสิ่งมีชีวิตทีละอัน
ฮั่ววั่งยิ้ม
เขารู้จักคนเป่าน้ำตาลและก็เคยเห็นน้ำตาลปั้น
แต่เห็นตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
เขามองมือของคนเป่าน้ำตาล
สิบนิ้วเรียวยาว ขาวผ่องอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรการเป่าน้ำตาลก็เป็นอาชีพใช้ฝีมือ
ไม่เหมือนงานใช้แรงอื่นๆ ที่ต้องออกแรงแทบตาย
ฮั่ววั่งมองมือของตนเอง
พบว่ามือของติ้งซีอ๋องอย่างเขายังสวยไม่เท่าคนเป่าน้ำตาลคนหนึ่งเลย
เขาอดเผยยิ้มเจื่อนไม่ได้
“ท่านอยากได้น้ำตาลปั้นหรือไม่”
คนเป่าน้ำตาลเอ่ยถาม
เขาเพิ่งทำน้ำตาลปั้น ‘สามแพะเบิกฤกษ์[1]’ อันใหญ่สำเร็จ
เขามัดปากของน้ำตาลปั้นแน่นแล้วเสียบบนโต๊ะยาวตัวหนึ่งตรงหน้าแผงถึงได้เอ่ยถาม
“น้ำตาลปั้นอร่อยหรือไม่”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
เขาไม่เคยกินน้ำตาลปั้นมาก่อน
“รสชาติเหมือนน้ำตาล คนชอบกินหวานก็อร่อย คนไม่ชอบกินจะรู้สึกเลี่ยน”
คนเป่าน้ำตาลกล่าว
จากนั้นเขายิ้มซื่อๆ
แม้คนเป่าน้ำตาลไม่ได้เปลืองแรงมากนัก
แต่ต้องพองแก้มเป่าทั้งวันยันค่ำก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายจริงๆ
เขาคลึงแก้มเล็กน้อย
คีบน้ำตาลก้อนหนึ่งที่ละลายแล้วขึ้นมาจากเบ้าหลอมขนาดเล็ก เตรียมเป่าต่ออีกครั้ง
ฮั่ววั่งประหลาดใจมาก
เดิมเขานึกว่าคนเป่าน้ำตาลจะคุยโวอวดโอ้น้ำตาลปั้นของตัวเองสักรอบ
นึกไม่ถึงว่าจะพูดประโยคเรียบง่ายเช่นนี้
นี่ไม่ใช่การคุยโวโดยสิ้นเชิง แต่เป็นความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
แต่ฮั่ววั่งดูขั้นตอนการทำอันเชี่ยวชาญของเขาก็เข้าใจปัญหาในนั้นทันที
ทุกคนคงรู้รสชาติของน้ำตาลปั้นกันหมด
สิ่งที่ทุกคนสนใจมีเพียงขั้นตอนการทำน้ำตาลปั้น
ฮั่ววั่งดูคนเป่าน้ำตาลทำน้ำตาลปั้นสองอันติดกันแล้วรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
เขาคิดว่าอย่างไรตนก็ควรซื้อสักอันเป็น ‘มารยาทในการดู’ ถึงจะถูก
ตอนนี้เขาเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่มีเงินสักอีแปะ
สองมือลูบคลำบนตัวรอบหนึ่ง ได้แต่ยิ้มเก้อกระดาก
“ไม่เป็นไร ดูก็เป็นน้ำใจแล้ว”
คนเป่าน้ำตาลยิ้มกล่าว
ฮั่ววั่งพยักหน้า
แต่ด้วยความทะนงในเกียรติของตน เขาก็ทนดูต่อไปไม่ได้อีก
และไม่รู้ควรพูดอะไร
ได้แต่หมุนกายกลับ
ถึงทางแยกหนึ่งแล้วเดิมควรเลี้ยวซ้าย
แต่ฮั่ววั่งมองซ้ายขวา มักรู้สึกทางขวาคึกคักกว่าหน่อย
ไม่ใช่เพราะสิ่งใด
แต่เพราะเสียงเอ็ดอึงทางขวาเหมือนดังกว่าทางซ้าย
แผนการไม่สู้ความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
ฮั่ววั่งสาวเท้าเดินไปทางขวา
ถึงได้พบว่าที่แท้เป็นแค่แผงขายบะหมี่หยางชุนเท่านั้น
คนนั่งเต็มหน้าแผง ล้วนกำลังกินบะหมี่
คนที่ดูเหมือนพ่อลูกคู่หนึ่งเป็นเจ้าของแผง
ลูกสาวต้มบะหมี่ใส่ผักอยู่ด้านหลัง
ผู้เป็นพ่อยุ่งอยู่กับการต้อนรับและยกชามบะหมี่แจกจ่ายลูกค้า
แม้ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น
แต่กลับเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่คาดคิด
ฮั่ววั่งไม่ชอบกินบะหมี่
แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าบะหมี่หยางชุนที่แผงแห่งนี้ทำกลิ่นหอมเตะจมูกจริงๆ
ทำให้คนที่ไม่ชอบกินบะหมี่อย่างเขายังมีความคิดอยากลิ้มลองดูบ้าง
ตอนที่เขากำลังมองทุกสิ่งและจดจ่อสมาธิอยู่นั้น
พลันเห็นหัวมุมถนนมีคาราวานรถม้า
เมืองติ้งซีอ๋องมีกฎ
ห้ามควบม้าตะบึงบนเขตการค้า
แต่ชัดว่าคนกลุ่มนี้มองข้ามกฎข้อนี้
แต่ละคนล้วนควบม้าเร็วห้อไปข้างหน้า
เหมือนมีเรื่องด่วน
เดิมฮั่ววั่งนึกว่าเป็นกลุ่มคนจากทางการกำลังปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง
แต่เห็นลูกค้าหน้าแผงพากันยกชามลุกขึ้นประชิดมุมกำแพง
เหมือนหลบอะไรอยู่
คาราวานม้าใกล้เข้ามา
คนเป็นหัวหน้าหวดแส้หนหนึ่งก็คว่ำโต๊ะเก้าอี้ของแผงบะหมี่ที่วางอยู่ริมถนน
เพียงเพื่อแหวกทางให้ตัวเอง
“นี่ออกจะพาลเกินไปหน่อยแล้ว…”
ฮั่ววั่งพูดกับตัวเอง
“อย่างไรกัน เจ้าไม่ใช่คนในเมืองอ๋องหรือ”
ลูกค้าคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ได้ยินฮั่ววั่งพึมพำ ถือชามบะหมี่พลางเอ่ยถาม
“ข้า…เพิ่งมา!”
ฮั่ววั่งลังเลเล็กน้อย จากนั้นโกหกไป
“เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่เจ้าไม่รู้…”
ลูกค้าคนนี้กล่าว
จากนั้นก้มหน้ากินบะหมี่หยางชุนในชามตน
ฮั่ววั่งนึกว่าเขาจะอธิบายให้ตนฟัง
แต่ตอนนี้ก็ไม่สะดวกรบกวนคนอื่นกินบะหมี่
เขาได้แต่ส่ายหน้าและเดินมุ่งหน้าต่อไป
ดูท่าในเมืองอ๋องนี้ยังวุ่นวายกว่าที่ตนคิดไว้เยอะ
ความรู้สึกสบายใจของฮั่ววั่งถูกหัวหน้าคาราวานม้าเมื่อครู่ฟาดหายหมดในแส้เดียว
ตอนนี้ความรู้สึกหงุดหงิดทะลักขึ้นมาในใจอีกครั้ง
เขาเดินเตร่อยู่ที่เดิมสองสามก้าว
จากนั้นหันหน้าเดินตามทิศทางที่คาราวานม้าเหล่านั้นมุ่งหน้าไป
เขาเดินไม่เร็ว
ย่อมตามคนควบม้าเร็วเหล่านั้นไม่ทัน
แต่ตราบใดที่ทิศทางโดยรวมถูกต้อง สุดท้ายต้องได้เจอร่องรอยบางอย่าง
อย่างไรนี่ก็เป็นเมืองติ้งซีอ๋อง
ฮั่ววั่งก็อยากลองดูว่าเป็นใคร มีอำนาจอะไรถึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้
ถึงขั้นทำให้พวกชาวบ้านเห็นจนชินและไม่รู้สึกแปลก
………………………………………
[1] สามแพะเบิกฤกษ์ เป็นสัญลักษณ์ของการกลับสู่ฤดูใบไม้ผลิ