ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 251 จมดิ่งง่ายดาย ผุดขึ้นช้านัก-1
บทที่ 251 จมดิ่งง่ายดาย ผุดขึ้นช้านัก-1
ค่ำคืนนี้จวนจะสิ้นสุดลง
ป้ายซุ้มประตูทางเข้าเมืองจี๋อิงมีรถม้าเดินทางมาหนึ่งคัน
ยามเช้าเพียงนี้
ยังไม่มีผู้ใดในเมืองจี๋อิงตื่นนอน
ภายนอกพลันมีแสงสว่างเจิดจ้า
ทว่าแยกไม่ออกว่าเป็นแสงจันทร์หรืออาทิตย์อรุณเบิกฟ้า
แสงเจิดจ้าสาดส่องบนกิ่งก้าน
เงาต้นไม้แกว่งไกว
นำพาเมืองจี๋อิงเต็มไปด้วยความเงียบงันอย่างยิ่ง
ศีรษะคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากในรถม้า
มองไปรอบๆ
“นี่คือที่ใด”
เขาบิดคอ
ราวกับไม่ค่อยคุ้นชินกับพื้นที่คับแคบภายในรถม้า
ทำให้ทั้งร่างของเขาดูแข็งทื่อยิ่งนัก
รถม้าคันนี้แปลกพิลึกจริงๆ
มีเพียงม้าหนึ่งตัวลากเพียงลำพัง
ไม่มีแม้กระทั่งคนคุมบังเหียนรถ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินมานับครั้งไม่ถ้วนจึงคุ้นเคยถนนเส้นนี้ หรือม้าตัวนี้เชื่อและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์กันแน่
อีกเสียงหนึ่งดังมาจากภายในรถอีกคัน
รถม้าคันนี้ไม่ใหญ่
เรียกได้ว่าขนาดเล็กกะทัดรัดยิ่งนัก
ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นคนผู้นี้ที่โผล่ศีรษะออกมาหรือเสียงที่ดังขึ้นทีหลังล้วนเป็นบุรุษทั้งคู่
ออกจะแออัดไปหน่อยหากให้บุรุษทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้าขนาดเล็กเพียงนี้ด้วยกัน
ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นจะรู้สึกว่าคอของตนแข็งและปวดเมื่อยอย่างยิ่ง
“เมืองจี๋อิงหรือ ชื่อไพเราะทีเดียว”
ผู้ที่โผล่ศีรษะกระโดดลงจากรถ
พร้อมกับยืดแขนเหยียดขา
อาณาจักรติ้งซีอ๋อง
ยิ่งไปทางทิศตะวันตก อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนยิ่งต่างกันลิบลับ
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่
ไอสีขาวลอยออกมาระหว่างเอ่ยวาจา
ราวกับสูบบุหรี่ก็ไม่ปาน
แต่จะหนายิ่งกว่าควันอยู่หลายส่วน
“ไพเราะอย่างไร เป็นเพียงชื่อก็เท่านั้น”
คนในรถกล่าว
เขาไม่ลงรถและไม่โผล่หน้าออกมา
ดูเหมือนไม่พอใจเล็กน้อยกับท่าทีตามอำเภอใจของผู้ที่ลงจากรถ
ดังนั้นระหว่างเอ่ยวาจาจึงอดค่อนแคะไม่ได้
“หึๆ…ก่อนหน้าเจ้าบอกว่าชื่อข้าไพเราะ หมอกครึ้มยามพลบค่ำ นภาฉู่อันกว้างใหญ่อะไรนั่น ตอนนี้ข้าชมเชยชื่อเมืองจี๋อิงว่าไพเราะ เจ้ากลับไม่ยอมรับเสียแล้ว”
คนผู้นี้เลิกม่านรถม้าออกแล้วกล่าวไปทางผู้ที่อยู่ด้านใน
สองคนนี้หาใช่ใครอื่น
ทว่าเป็นฮั่ววั่งกับฉู่คั่ว
ผู้ที่ลงรถคือฉู่คั่ว
ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคือฮั่ววั่ง
เหตุใดทั้งคู่จึงเร่งเดินทางจากเมืองติ้งซีอ๋องมาถึงเมืองจี๋อิงในชั่วข้ามคืนได้เล่า
ฉู่คั่วไม่รู้
เพียงแต่เป็นฝ่ายติดตามฮั่ววั่งมา
ฉู่คั่วสัมผัสม้าแข็งแกร่งตัวนี้ที่ดึงลาก
ในใจพลันคิดว่าไฉนม้าตัวนี้จึงแข็งแรงนัก
ประหนึ่งม้าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน!
…………………..
สองชั่วยามก่อน
เขายังอยู่ที่เมืองติ้งซีอ๋อง
อยู่ในพระตำหนักของวังอ๋องและนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฮั่ววั่ง
เขานั่งขัดสมาธิ
วางกระบี่แนวขวางบนตัก
ฮั่ววั่งก็ก้าวลงจากบัลลังก์และนั่งขัดสมาธิตรงข้ามเขา
เตาดินเผาวางอยู่เบื้องหน้าของเขา
สิ่งที่เผาไหม้อยู่ในเตาคือลูกสมอจีน
เปลวไฟมีสีน้ำเงินเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่แรงพอ แต่คงที่ยิ่งนัก
เผาไหม้เช่นนี้โดยไม่เร่งรีบ
ฮั่ววั่งจ้องประกายไฟ ไม่ละสายตา
จนกระทั่งเห็นประกายไฟแตกกระเด็นเล็กน้อยจึงวางกาสุราที่เตรียมไว้ล่วงหน้าลงไป
การแตกกระเด็นนี้เกรงว่าหากเป็นคนธรรมดายากจะมองเห็น
แต่ฮั่ววั่งและฉู่คั่วต่างก็เป็นมือกระบี่
สายตามือกระบี่เฉียบแหลมที่สุด
เช่นเดียวกับความแหลมของปลายกระบี่ในมือพวกเขา
มือของมือกระบี่ก็ว่องไวเช่นกัน
ฉะนั้นทันทีที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของประกายไฟ กาสุราก็วางอยู่บนนั้นอย่างมั่นคงแล้ว
“เจ้าดื่มสุรา แล้วยังต้องดื่มอุ่นๆ ด้วยหรือ”
ฉู่คั่วถามอย่างสงสัย
“ท้องไส้ข้าไม่ค่อยดีนัก”
ฮั่ววั่งกล่าว
ฉู่คั่วหัวเราะหนักกว่าเดิม
ติ้งซีอ๋องสง่าผ่าเผย ยังไม่ต้องกล่าวถึงตบะวิถียุทธ์ของเขาเป็นเช่นไร
ต่อให้ไปพบหมอชื่อดังทั่วหล้า ก็ควรจะรักษากระเพาะของเขาได้แล้วกระมัง
ทว่าเขากลับบอกว่าท้องไส้ตนไม่ดี
นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระที่สุดในใต้หล้าหรอกหรือ
“ท้องไส้ไม่ดีก็ควรไปพบหมอ ไม่ควรดื่มสุรา”
ฉู่คั่วกล่าว
เขามองประกายไฟสีน้ำเงินในเตาดินเผาพลันรู้สึกดีอกดีใจยิ่งนัก
หมายจะใช้กระบี่แหย่เล่น
ทว่าถูกฮั่ววั่งปัดออกไป
“เปลวไฟต้องคงที่! ไม่เช่นนั้นอุณหภูมิสุราจะไม่สม่ำเสมอ”
ฮั่ววั่งอธิบาย
“เจ้าคงไม่ได้ใช้สุรานี้แทนยากระมัง”
ฉู่คั่วถาม
“สุราคือยาใจ หาใช่ยากระเพาะไม่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เช่นนั้นท้องไส้เจ้าไม่ดี เหตุใดยังต้องดื่มสุรา”
ฉู่คั่วถาม
“เพราะเจ้าเป็นยอดนักดื่ม นั่งตรงข้ามยอดนักดื่มแต่ชงชา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง”
ฮั่ววั่งเงยหน้าปรายตามองฉู่คั่วพลางกล่าว
ฉู่คั่วเก้อกระดากเล็กน้อย
หากเทียบกับชา เขาโปรดปรานการดื่มสุราจริงๆ
แต่ฮั่ววั่งกล่าวโต้งๆ ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้จึงเลี่ยงกระดากอายได้ยากนัก
แม้ว่าในพระตำหนักจะมีเพียงพวกเขาทั้งสองก็ตาม
นับว่าเป็นเพียงต่อหน้า ไม่มีธารกำนัล
แต่ฉู่คั่วก็มองไปรอบๆ อย่างขาดความมั่นใจอยู่ดี
“เจ้าเคยกินยารักษากระเพาะหรือไม่”
“แน่นอนว่าเคยกิน…กินอยู่นานทีเดียว”
ฮั่ววั่งชะงักแล้วกล่าว
สีหน้าเหยเกเล็กน้อย
“เจ้ากลัวการกินยาหรือนี่”
ฉู่คั่วกล่าวอย่างตื่นเต้น
ตื่นเต้นจนถึงขั้นใดน่ะหรือ
ตื่นเต้นจนถือกระบี่ลุกขึ้นยืนและใช้มือชี้ฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งเงยหน้ามองเขานิ่งๆ
เพียงครู่เดียว ฉู่คั่วก็นั่งลงใหม่อีกครั้งเอง
“ข้าคิดไม่ถึงว่าวีรบุรุษเลื่องชื่อทั่วหล้าอย่างเจ้าจะกลัวการกินยา”
ฉู่คั่วกล่าว
“ยังไม่ต้องกล่าวว่าข้าใช่วีรีบุรุษหรือไม่ และไม่กล่าวว่าวีรบุรุษนี้จะเลื่องชื่อทั่วหล้าหรือไม่ แต่ตราบใดที่เป็นมนุษย์ ข้าไม่เชื่อว่าจะมีผู้ไม่กลัวการไปพบหมอและกินยา”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ข้าไม่กลัว!”
ฉู่คั่วกล่าวพลางตบหน้าอกอย่างมั่นใจ
“เจ้าไม่กลัวอาจเป็นเพราะเจ้าไม่เคยพบหมอและไม่เคยกินยา”
ฮั่ววั่งกล่าวอย่างเย็นชา
ฉู่คั่วพลันห่อเหี่ยวทันที
จำต้องยอมรับ
ฮั่ววั่งกล่าวถูกต้อง
เขาไม่เคยพบหมอเลยสักครั้งจริงๆ
และไม่เคยกินยาใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยป่วย
เอาแค่เดินเท้าจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมาตลอดทาง แล้วไม่ป่วยเลยจะเป็นไปได้อย่างไร
แม้เขาจะพยายามปกป้องสองเท้าอย่างสุดกำลังก็ไร้ประโยชน์
เพราะมนุษย์ย่อมมีเวลานอนหลับอยู่เสมอ
ตบะวิถียุทธ์ของเขายังไม่สูงถึงขั้นยามนอนหลับจะยังมีแรงเหลือ
แต่เขามีเพียงสองวิธีในการรับมือกับความเจ็บป่วย
หนึ่งคือดื่มน้ำ
อีกอย่างคือนอนหลับ
เขารู้สึกว่าความเจ็บป่วยเกิดจากภายในร่างกายคงมีสิ่งที่ไม่สะอาดอยู่
ในเมื่อมีสิ่งที่ไม่สะอาด เพียงอาเจียนออกมาก็ดีขึ้นแล้ว
ยามที่ตนดื่มน้ำจนดื่มไม่ลง โก่งลำคอส่งเสียง ‘แหวะ’ ก็จะอาเจียนออกมาได้แล้ว
หลังจากอาเจียนสิ่งที่อยู่ในท้องออกมา เขาก็นอนหลับแล้ว
ปกติแล้วมักจะแอบย่องไปนอนในคอกวัวหรือคอกม้าของบ้านเรือนอื่นอย่างเงียบเชียบ
เพราะหากว่ากันตามตรงแล้ว สถานที่เช่นนี้จะอบอุ่นยิ่งกว่า
หลังจากตื่นนอนแล้วย่อมรู้สึกหิวมาก
เขาไม่กินสิ่งใด
กลัวว่าสิ่งที่ไม่สะอาดเหล่านั้นยังขจัดออกไปไม่หมด
หากกินของใหม่เข้าไปอีก ก็จะป่วยอีกไม่ใช่หรือ
ในความคิดของเขา
เช่นนั้นโรคภัยก็จะหยุดอยู่กับที่
หากหิวจนทนไม่ไหว ก็ค่อยไปดื่มน้ำให้เต็มท้อง
คราวนี้ไม่ใช่เพื่ออาเจียน
แต่เพื่อบรรเทาความหิว
หลังจากทรมานซ้ำๆ สองสามครั้งเช่นนี้ โรคก็หายขาดแล้ว
แต่ฉู่คั่วหิวจนสองขาอ่อนแรง พิงผนังก็ยืนไม่อยู่
ยามนี้เอง การใช้ประโยชน์จากคอกวัวคอกม้าอีกอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
เนื่องจากที่นี่มักจะมีลูกวัวหรือลูกม้าแรกเกิดอยู่เสมอ
มีชีวิตใหม่
ย่อมมีน้ำนมจากธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตใหม่
หลังจากจับหางดึงลูกวัวหรือลูกม้าไปด้านข้างแล้วใช้ปากดูดนมมันอย่างแรงอยู่พักหนึ่ง
ดื่มนมแม่วัวหรือแม่ม้าจนหนำใจ
จิตวิญญาณและพลังกายพลันฟื้นตัวดังเดิม
ไม่จำเป็นต้องกล่าว เพียงกระโดดและกลิ้งออกไปในอึดใจเดียว
จากนั้นเดินต่อไปข้างหน้า
ทว่าก็มีช่วงเวลาที่เคราะห์ร้ายเช่นกัน
หากในยามที่คอกวัวมีเพียงวัวแก่ตัวผู้ หรือมีม้าแก่ตัวผู้เท่านั้นจะทำอย่างไร
เขาทำได้เพียงฝืนยันผนังเอาไว้เท่านั้น
จนในที่สุดก็หมดสติไปเพราะความหิวโหย
แต่ชาวไร่ชาวนาโดยทั่วไปมักมีใจเอื้ออาทร
จากนั้นนำหมั่นโถวที่ปกติตนตัดใจกินไม่ลงออกมาจำนวนหนึ่ง
ฉู่คั่วยังไม่ได้กินสิ่งใดลงท้อง
เพียงแค่ได้กลิ่นหอมของหมั่นโถวนั้น
ความหิวโหยบรรเทาลงไปถึงเจ็ดแปดส่วน
กล่าวได้ว่าโชคของเขาดีจริงๆ
แต่หากไม่พบกับสตรีที่มอบกระบี่ให้ผู้นั้น
ฉู่คั่วก็จะไม่ทนทุกข์กับความผิดและความทรมานเช่นนี้
แต่เขาก็กินอย่างมีความสุข และทุกข์อย่างมีความสุข
ตราบใดที่ร่างกายฟื้นพลังและสามารถเดินไปทางตะวันตกต่อไปได้
เขาก็ไม่สนสิ่งใดอีกแล้ว
ทุกครั้งที่มีคนช่วยเหลือเขา
ก่อนเขาจะจากไปก็มักจะกล่าวเสียงดังลั่น
“ภายภาคหน้าข้าจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทั้งยังตบแต่งหญิงงามมาเป็นภรรยา! จนถึงยามนั้นจำไว้ให้มาหาข้า ข้ามีนามว่าฉู่คั่ว! ฉู่ที่หมายถึงนภาฉู่ทางทิศใต้ คั่วที่หมายถึงกว้างใหญ่!”
ขณะกล่าวยังยกกระบี่ในมือขึ้น
ลุงป้าน้าอาชาวนาผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ไหนเลยจะเข้าใจชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าพรรค์นี้
แต่นามว่าฉู่คั่วจะยังคงจำได้อยู่ในใจ
ทว่าพวกเขากลับกังวลสิ่งนี้ยิ่งกว่า
เจ้าหนุ่มฉู่คั่วที่กินหมั่นโถวไปแปดลูกครึ่งในคราวเดียว
………………………………………………………………..