ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 260 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-2
บทที่ 260 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-2
ราชสำนักทุ่งหญ้า
หน่วยกลืนจันทรา
ผู้นำหน่วยใหญ่อวี้หรงกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่ในกระโจมของตน
ผู้ที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงหาได้เป็นคนจากราชสำนักทุ่งหญ้าไม่
ทว่าเป็นกลุ่มวาณิชธรรมดา
กลุ่มวาณิชที่มาจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
นับตั้งแต่ติ้งซีอ๋องสังหารเฮ่อโหย่วเจี้ยนและจัดงานเลี้ยงในเมืองจี๋อิง
เส้นทางการค้าระหว่างอาณาจักรติ้งซีอ๋องและราชสำนักทุ่งหญ้าก็หยุดชะงักลงทั้งหมด
แต่เครื่องเหล็ก เครื่องทอง เครื่องหยก แม้กระทั่งสตรีของที่ราบตอนกลาง
ล้วนเป็นสิ่งโปรดปรานที่เหล่าขุนนางราชสำนักทุ่งหญ้าต้องการเร่งด่วน
ในฐานะผู้นำหน่วยใหญ่แห่งหน่วยกลืนจันทรา
กระโจมหลักนี้หรูหราโอ่อ่าอย่างยิ่ง
ว่ากันว่าคนจากราชสำนักทุ่งหญ้าโปรดสายบู๊ยิ่งกว่าสายบุ๋น
อันที่จริงก็ไม่เชิง
ในฐานะชาวทุ่งหญ้าชนชั้นล่าง ประโยคนี้ย่อมไม่มีผิดเพี้ยน
แต่อวี้หรงที่เกิดในตระกูลขุนนางย่อมได้รับการศึกษาที่ดีมาแต่ตั้งวัยเยาว์
สิ่งแรกที่ต้องประสบพบเจอย่อมเป็นประวัติศาสตร์ของราชสำนักทุ่งหญ้ารวมถึงวัฒนธรรมชาติพันธุ์ของตน
แม้จะไม่โปรดสายบุ๋น
แต่ราชสำนักทุ่งหญ้ายังมีอยู่ สามารถสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ได้ด้วยตนเอง
เพียงแต่ภาพวาดของนาง เมื่อมองเพียงปราดเดียวช่างแตกต่างจากอาณาจักรห้าอ๋องนัก
สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตเร่ร่อนและการล่าสัตว์ของผู้คนในราชสำนักทุ่งหญ้าอย่างชัดเจน
ภาพวาดเหล่านี้มีมนุษย์เป็นส่วนน้อย สัตว์ดุร้ายเป็นส่วนมาก
ส่วนใหญ่เน้นฉากฆ่าฟัน ยิ่งแสดงให้เห็นถึงกลิ่นคาวเลือดและสันดานสัตว์ดุร้าย
ภายในกระโจมหลักของอวี้หรงบนพื้นปูพรมผืนใหญ่
จากทางเข้ากระโจมแผ่ยาวไปถึงด้านหลังม้านั่งของนาง
สีพรมเป็นสีน้ำตาลเข้ม มองดูแล้วไม่ต่างจากดินโคลนเท่าไร
แต่ที่ขอบพรมมีรอยปักไหมขลิบริมสีแดงและเขียวขนาดกว้างสามนิ้วมือ
ตามรอยขลิบริมยังมีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อยู่สี่มุม
บนช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทุกช่องมีต้นไม้เจ็ดต้น
เดิมทีมีเก้าต้น
เพราะหลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าคนก่อนโปรดปรานเลข ‘เก้า’
ทว่าหลางอ๋องคนปัจจุบันโปรดปรานเลข ‘เจ็ด’
เพียงเพราะความชอบส่วนตัวของท่านผู้นี้ อวี้หรงถึงกับสั่งให้คนกำจัดต้นไม้สองต้นจากทั้งสี่มุมของพรมในกระโจมหลักของตน
ชื่อเสียงบารมีของหลางอ๋องหมิงเย่านี้สามารถจินตนาการได้
ระหว่างต้นไม้ยังมีสัตว์ที่ไล่ล่ากันอย่างสนุกสนานอีกคู่หนึ่ง
ส่วนใหญ่เป็นกวางกับเสือ
ทอดยาวจากสี่มุมไปจนถึงแกนกลาง มีการปักลวดลายสลับกันหลายรูปแบบ
ลวดลายเหล่านี้ล้วนเป็นสีแดงเข้มทั้งสิ้น
ทำให้พรมสีเข้มนี้ดูสว่างสดใสขึ้น
ตรงกลางพรมมีเพียงเมฆที่ใช้ผ้าทอลายหลากสีสัน
เดาว่าคงจะมาจากอาณาจักรห้าอ๋อง
ด้วยฝีมือของกลุ่มวาณิชเหล่านี้มันจึงแพร่กระจายไปถึงเขตทุ่งหญ้า
เดิมทีตรงกลางของพรมส่วนนี้มีอัศวินโก่งคันศรยิงนกแร้ง
ต้นแบบของอัศวินเป็นอดีตผู้นำหน่วยใหญ่ของหน่วยกลืนจันทรา
ซึ่งก็คือบิดาของอวี้หรง
หลังจากอดีตผู้นำหน่วยใหญ่ถูกทังหมิงฟันจนตกม้าในสงครามและบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจรักษา อวี้หรงจึงสืบทอดตำแหน่งต่อ
นางไม่ใช่บุตรชายคนโตของอดีตผู้นำหน่วยใหญ่
นางไม่ใช่บุรุษด้วยซ้ำ
ทว่าแต่ไรมาราชสำนักทุ่งหญ้าให้ความสำคัญแก่ผู้มีปัญญามากกว่าผู้อาวุโส ในจุดนี้เปิดกว้างกว่าอาณาจักรห้าอ๋องมากนัก
แต่ต่อให้มีความคิดก้าวหน้า ก็ยังห่างไกลจากขั้นที่ยอมให้สตรีสืบทอดต่อได้
ทว่าเรื่องนี้นอกจากหลางอ๋องหมิงเย่าแล้ว ทั้งอาณาจักรทุ่งหญ้ามีเพียงซือเฟิง ผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยกลืนจันทราเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
เนื่องจากทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน
ทั้งยังเป็นพี่น้องร่วมมารดา
อวี้หรงจึงแต่งกายเป็นบุรุษให้ผู้คนเห็น
ประกอบกับชาวทุ่งหญ้านั้นแม้จะเป็นสตรี ทว่าต่างก็มีรูปร่างกำยำล่ำสัน แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นมานานแล้วย่อมแยกความจริงได้ยาก
อย่างไรเสียหลังจากสงครามครั้งนั้น ผู้ที่รู้ว่าอวี้หรงเป็นสตรีก็มีไม่มากนัก
ผู้เฒ่าเหล่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนเป็นผู้จงรักภักดีต่อบิดาของพวกเขาทั้งสิ้น
ย่อมไม่โผล่ศีรษะออกมาสร้างปัญหาเป็นแน่
ยิ่งกว่านั้นซือเฟิงไม่ยินดีแก่งแย่งจึงยอมถอยให้แต่โดยดี
สำหรับจื่อเหวิน ผู้นำหน่วยรองเป็นสายตรงของหลางอ๋องหมิงเย่า
ไม่ถือว่าเป็นคนจากหน่วยกลืนจันทรา
แม้ราชสำนักทุ่งหญ้าดูเหมือนว่าศูนย์รวมอำนาจจะอยู่ภายใต้หลางอ๋องหมิงเย่า
ความจริงแล้วทุกหน่วยล้วนมีความพิเศษอย่างยิ่ง
ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าจื่อเหวินมาจากที่ใด
ก็แค่หลางอ๋องหมิงเย่าแทรกเข้ามาในหน่วยกลืนจันทราเท่านั้น
แม้ว่าส่วนลึกในใจจะถูกผู้คนส่วนใหญ่ในหน่วยกลืนจันทรากีดกันก็ตาม
แต่ตามเกียรติก็ยังต้องเชื่อฟังอย่างระมัดระวัง
อย่างน้อยยามที่ซือเฟิงเข้ากระโจม อวี้หรงจะไม่ยืนขึ้นเด็ดขาด
ทว่ายามที่จื่อเหวินมาถึง อวี้หรงจะเลิกกระโจมต้อนรับเสมอ
“ผู้นำหน่วยใหญ่!”
หลังจากที่จื่อเหวินเข้ากระโจมก็ประสานมือคำนับและกล่าว
“ผู้นำหน่วยรองไม่ต้องเกรงใจ!”
อวี้หรงประสานมือคำนับกลับและผายมือขวา
ส่งสัญญาณให้จื่อเหวินเข้ามานั่ง
การประสานมือคำนับเดิมไม่ใช่ประเพณีทุ่งหญ้า
เรียนรู้มาจากผู้คนในอาณาจักรห้าอ๋อง
อุปนิสัยชาวทุ่งหญ้ากระตือรือร้นดุเดือดยิ่งกว่าชาวอาณาจักรห้าอ๋องยิ่งนัก
ต่อให้เป็นชาวเมืองจี๋อิงก็ยังห่างชั้นมากโข
วิธีทักทายยามพบหน้าล้วนเป็นการกอดแนบหน้ามาแต่ไหนแต่ไร
แต่อวี้หรงเป็นสตรี พิธีการเช่นนี้ไม่ค่อยสะดวกนัก
ไม่รู้ว่าพิธีประสานมือคำนับนี้เริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่เมื่อใด
อวี้หรงย่อมไม่ปฏิเสธสิ่งนี้แน่นอน
กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่คอยผสมโรงด้วยซ้ำ
แม้นางจะไปหน่วยอื่น อีกฝ่ายอ้าแขนโอบกอด
ทว่าอวี้หรงยืนนิ่ง สองมือประสานเข้าด้วยกัน
อีกฝ่ายทำได้เพียงหุบแขนที่อ้าออกของตนและประสานมือคำนับกลับ
จากนั้นฝ่ายเยือนฝ่ายเหย้าพลันสนุกสนานรื่นเริง
จื่อเหวินนั่งลงแล้วมองไปรอบๆ กระโจมพบว่ายังมีที่ว่างอีกหนึ่งที่
“ซือเฟิงยังมีเรื่องบางอย่างในหน่วยต้องจัดการ จะมาสายเล็กน้อย ผู้นำหน่วยรองอย่าได้สนใจ”
อวี้หรงกล่าว
ที่ว่างนั้นย่อมต้องเหลือไว้ให้ผู้นำหน่วยสามซือเฟิงเป็นธรรมดา
“เรื่องในหน่วยหรือ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคลื่นสงัดลมสงบหรอกหรือ”
จื่อเหวินกล่าวถาม
อวี้หรงยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
ไม่ส่งเสียงใด
แม้ว่าระหว่างทั้งสองจะดูสนิทสนมเกรงอกเกรงใจก็ตาม
ในความเป็นจริงมีความขัดแย้งกันอยู่ทุกที่
แต่จริงอยู่ที่ว่าตอนนี้ปลอดภัยไร้กังวล ในจุดนี้จื่อเหวินกล่าวไม่ผิดเพี้ยน
นางไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจื่อเหวินจะโจมตีในเวลานี้
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มวาณิชอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องที่นั่งอยู่เต็มกระโจม อวี้หรงพลันรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง
ทว่านางไม่เปลี่ยนสีหน้า
หนึ่งเป็นเพราะในใจของนางยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันเช่นไร
เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นเป็นเพราะเขามักจะวางมาดเช่นผู้นำหน่วยใหญ่อยู่เนืองๆ เสมอ
ตอบเร็วเกินไปจะทำให้ผู้คนอาณาจักรอ๋องเหล่านี้ดูแคลนตน
ดูเหมือนว่าบทบาทผู้นำหน่วยใหญ่ของตนนี้มีไว้ประดับเท่านั้น แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ในกำมือของผู้นำหน่วยรองจื่อเหวิน
คนจากอาณาจักรอ๋องเหล่านี้ล้วนฉลาดเป็นกรด
เกรงว่าจะมีไหวพริบมากกว่าซี่ของหวีด้วยซ้ำ
สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการแล่นเรือตามทิศทางลม
หากอวี้หรงแสดงอารมณ์ออกมาเล็กน้อย พวกเขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้หลีกเลี่ยงนางและติดต่อผู้นำหน่วยรองจื่อเหวินเป็นการส่วนตัว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความลับต่างๆ นานาที่ตนกระทำ
เพียงแค่ผลประโยชน์ที่กลุ่มวาณิชเหล่านี้มอบให้เพื่อค้าขายกับทุ่งหญ้าล้วนจะตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นทั้งสิ้น
อวี้หรงคิดว่าแม้ตนจะใช้วาจาถ่วงเวลาออกไปได้ แต่ถึงอย่างไรให้ซือเฟิงรีบมาโดยเร็วจะเป็นการดีที่สุด
กล่าวตามตรง นางไม่รู้จริงๆ ว่าน้องชายของตนผู้นี้ช่วงนี้กำลังกระทำสิ่งใดอยู่
ซือเฟิงอยู่ในหน่วยน้อยครั้งยิ่ง
กระทั่งเวลาส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่ที่ทุ่งหญ้า
ในใจเขามีเพียงแก้แค้นสองคำนี้เท่านั้น
เพื่อล้างแค้นให้อดีตผู้นำหน่วยใหญ่ บิดาที่ล่วงลับ
นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหมายทั้งชีวิตของเขา
แม้อวี้หรงจะรู้ว่าทำเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ถูกต้อง
ครั้งก่อนที่สองพี่น้องติดต่อกันคือหลังจากที่เหยียนจื่อจากไป
ข่าวคราวจากซือเฟิงก็สั้นมากเช่นกัน
เพียงบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามลำดับที่ควร
……………………..
หลางอ๋องหมิงเย่าไม่รู้เรื่องเหยียนจื่อ
แต่เพื่อโน้มน้าวฝูงชนและระดมทรัพยากรในหน่วย ซือเฟิงจำต้องแสร้งได้รับคำสั่งลับของหลางอ๋อง
หลังจากได้เห็นวิชามารอันน่าตื่นตะลึงของเหยียนจื่อ ซือเฟิงก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
แสร้งได้รับคำสั่งลับจากหลางอ๋องถือเป็นโทษร้ายแรง
แต่อย่างน้อยก็ต้องติดต่อไปมาหาสู่กับหัวหน้าหน่วยใหญ่อวี้หรงพี่สาวของตนจึงจะดี
ตอนนี้หลังจากเหยียนจื่อไปแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตนวางแผนอย่างแยบยลมานานเพียงนี้ แม้แต่งานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์ก็ไม่ได้เข้าร่วมอย่างไม่นึกเสียดาย
หากเหยียนจื่อผิดสัญญา ทรยศความไว้ใจ
สุดท้ายจะไม่เป็นการคว้าน้ำเหลวหรอกหรือ
ทุกครั้งที่คิดเช่นนี้ ทำให้ซือเฟิงปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าในเวลาเพียงไม่กี่วันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะได้
แค่เพียงออกจากกระโจมค่ายก็จำต้องใช้ผ้าห่มหนาๆ คลุมศีรษะ
ตราบใดที่มีช่องว่างเล็กๆ ลมหนาวของทุ่งหญ้าก็จะพัดเข้ามา
เขาจะปวดศีรษะแทบระเบิดและแทบจะหมดสติ
จดหมายที่อวี้หรงให้เขาเดินทางมาเข้าร่วมชุมนุม เขาได้รับมันตั้งนานแล้ว
แต่จริงๆ เป็นเพราะอาการปวดศีรษะจนทนไม่ไหวจึงเดี๋ยวเดินทางเดี๋ยวหยุดตลอดทาง
ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้วก็ยังไม่ถึงเสียที
“หยุดรถ!”
หากกล่าวถึงอดีต
แต่ไหนแต่ไรซือเฟิงไม่เคยนั่งรถ
ในสายตาของเขา การนั่งรถเป็นพฤติกรรมของผู้อ่อนแอ
มีเพียงบัณฑิตที่แรงจับไก่ยังไม่มีในอาณาจักรห้าอ๋องเท่านั้นจึงจะชอบนั่งรถ
เขามีหมาป่าของตน
ในฐานะนักรบแห่งทุ่งหญ้า
ผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยกลืนจันทรา
โดยทั่วไปแล้วควรจะยืดอกเชิดหน้าควบหลังหมาป่าทะยานไปจึงจะถูก
แต่ทะยานรวดเร็วเช่นนั้น เขาจะหลีกเลี่ยงอาการปวดศรีษะอันทุกข์ทรมานได้อย่างไร
เพื่อการใหญ่หลวงจึงต้องนั่งรถไปอย่างไร้ทางเลือก
อย่างน้อยเหนือศีรษะมีหลังคารถ สี่ด้านมีผนังกั้น
สามารถบังลมหนาวเย็นระหว่างม้าทะยานได้
“ถึงที่ใดแล้ว”
ซือเฟิงเปิดประตูรถพร้อมเอ่ยถาม
“รายงานผู้นำหน่วยสาม! ยังอยู่ห่างจากกระโจมหลักของผู้นำหน่วยใหญ่ห้าสิบลี้ขอรับ”
ครั้นซือเฟิงได้ยินพลันยิ้มอย่างขมขื่น
………………………………………………………..