ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 264 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-6
บทที่ 264 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-6
ในเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางกระโจมหลวงของหลางอ๋องหมิงเย่าในราชสำนักทุ่งหญ้า
หลางอ๋องหมิงเย่าสั่งให้ทหารและองครักษ์ทั้งหมดออกไป
นั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงลำพัง
มีเตาไฟวางอยู่กลางกระโจมหลวง
บนเตาไฟมีกระจกทองแดงห้อยอยู่
กระจกทองแดงถูกไฟจากถ่านไหม้จนแดงเถือก
“ทูลท่านหลางอ๋อง! แม่ทัพฝ่ายซ้ายอั๋งหรานและแม่ทัพฝ่ายขวาอั๋งสยงมาถึงกระโจมหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ข้างนอกเอ่ยอยู่นอกกระโจม
ไร้คำสั่งของหลางอ๋อง พวกเขาก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปในกระโจม
หมิงเย่าหลางอ๋องไม่ตอบคำ
เขากำลังอ่านตำราที่มีชื่อว่า ‘เติร์ก’
‘เติร์ก’ เล่มนี้กล่าวได้ว่าเป็นแก่นแท้ของอารยธรรมทุ่งหญ้า
เป็นเรื่องราวมหากาพย์ของวีรบุรุษนามว่าเติร์ก
ตำราในมือของหลางอ๋องหมิงเย่าเป็นต้นฉบับรุ่นแรกที่สืบทอดมาจากยุคสมัยหลางอ๋อง
บิดาเขามอบให้เขาเอง
เขาอ่านเนื้อหาภายในนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน
กระทั่งในยามเยาว์วัยขอให้มารดาอ่านให้ตนฟังหนึ่งย่อหน้าทุกคืนก่อนนอน
ผ่านไปนานวันเข้าก็มาถึงจุดที่สามารถท่องจำมันได้
“ให้พวกเขาเข้ามาเถิด”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด
ในที่สุดหลางอ๋องหมิงเย่าก็เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างราบเรียบ
แม่ทัพฝ่ายซ้ายอั๋งหรานและแม่ทัพฝ่ายขวาอั๋งสยงเลิกม่านกระโจมแล้วก้าวเข้ามาในกระโจม
“ถวายบังคมท่านหลางอ๋อง!”
ทั้งสองวางมือขวาไว้ที่หน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ
ค้อมกายคำนับกล่าวอย่างพร้อมเพียงกัน
“ไม่ต้องสุภาพถึงเพียงนี้ สหายที่รักของข้า!”
หลางอ๋องแย้มยิ้มและให้ทั้งสองคนนั่งลงโดยไม่ต้องมากพิธี
ที่ทุ่งหญ้า
ระหว่างบุรุษปฏิบัติต่อกันเหมือนสหายมาโดยตลอด
ทว่าสตรีล้วนเป็นพี่น้องกัน
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสะท้อนความสนิทสนมกลมเกลียวระหว่างกันและกันได้
ถึงอย่างไรดินแดนทุ่งหญ้าอยู่ห่างไกล
ขาดแคลนทรัพยากร
หากจิตใจมนุษย์ยังไร้ระเบียบ เช่นนั้นก็จะไร้ประโยชน์
จะกล้าช่วงชิงกับอาณาจักรอ๋องได้อย่างไร
อั๋งหรานและอั๋งสยงนั่งลงแล้วพลันรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
อันที่จริงความวิตกกังวลเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ที่ได้รับข่าวว่าหลางอ๋องต้องการพบพวกเขาแล้ว
เพียงแต่มันเริ่มออกอาการรุนแรงขึ้นหลังจากที่หลางอ๋องหมิงเย่าเอ่ยว่า ‘สหายที่รัก’ เมื่อครู่นี้
เพียงให้เหล่าองครักษ์เข้ามาจัดสุราและเนื้อให้แม่ทัพทั้งสอง
จากนั้นก้มหน้าอ่านตำราต่อ
“เจ้าทั้งสองคิดว่ากระโจมหลวงข้าเป็นเช่นไร”
หลางอ๋องหมิงเย่าพลิกตำรา
เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“กระโจมหลวงย่อมยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า!”
อั๋งหรานกล่าว
“ไม่ผิด ที่ใดมีท่านหลางอ๋องที่นั่นย่อมเป็นสวรรค์แห่งความสุข! เป็นความรุ่งโรจน์อันสูงสุด!”
อั๋งสยงเอ่ยสำทับ
“ความรุ่งโรจน์อันสูงสุดรึ เช่นนั้นสหายทั้งสองบอกข้าได้หรือไม่ว่าสิ่งใดจึงจะเป็นความรุ่งโรจน์อันสูงสุด”
หมิงเย่าหลางอ๋องกล่าวถาม
“เช่นเดียวกับนามของท่านหลางอ๋อง ทั้งเจิดจ้าและพร่างพราว! ท่านไปที่ใด สี่ฤดูกาลดุจวสันต์ล้วนแล้วแต่ผาสุข! ไร้ซึ่งความร้อนแผดเผาและความหนาวเหน็บหิวโหย!”
อั๋งสยงกล่าว
“ยิ่งกว่านั้นสายลมเย็นสดชื่น ดอกไม้ผลิบาน ต้นหญ้าหอมหวน!”
อั๋งหรานไม่อยากเป็นรองจึงรีบเอ่ยต่อตามทันที
“ฮ่าๆ…พวกเจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ”
หลางอ๋องหมิงเย่าหรี่ตา ขณะเอ่ยก็มองกระจกทองแดงสีแดงที่ถูกไฟถ่านเผาไหม้
อั๋งหรานและอั๋งสยงรู้สึกว่าในคำพูดของหลางอ๋องหมิงเย่ามีมีดคมซ่อนอยู่
ประโยคนี้ไร้ซึ่งคำตอบ
วาจาก่อนหน้านี้เป็นเพียงคำยกยอปอปั้นก็เท่านั้น
ผู้ใดเล่าจะเชื่อมันจริงๆ
หลางอ๋องหมิงเย่าก็เป็นมนุษย์
เขาไม่มีพลังแห่งฟ้าดิน
ไหนเลยจะทำถึงเช่นนั้นได้
แม้แต่วีรบุรุษเติร์กแห่งทุ่งหญ้าในตำนานก็ทำไม่ได้
“สถานที่ซึ่งสี่ฤดูกาลดุจวสันต์ก็คืออาณาจักรผิงหนานอ๋องต่างหาก ได้ยินมาว่าแม้ที่นั่นจะเป็นเหมันต์ฤดูอันหนาวเหน็บก็ยังมีลมอุ่นพัดเบาๆ มีฝนตกปรอยๆ บ้างเป็นครั้งคราว ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดิน”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว
“อาณาจักรผิงหนานอ๋องมีทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไม่ใช่หรือ อีกทั้งผู้คนที่นั่นก็เลี่ยงความทุกข์ทนจากการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหรือ”
อั๋งหรานกล่าวถาม
“เจ้าไม่ได้อ่านตำรามานานเท่าใดแล้ว”
หลางอ๋องหมิงเย่าไม่ตอบคำถามของอั๋งหราน ทว่าย้อนถามเช่นนี้
“ข้า…ข้ายุ่งกับงานในฝ่ายซ้ายจึงไม่ได้อ่านตำรามานานแล้วจริงๆ แต่มีคำกล่าวที่แพร่หลายในอาณาจักรอ๋อง”
อั๋งหรานกล่าว
กล่าวจบเขาก็เหลือบมองอั๋งสยงอย่างท้าทายยิ่งนัก
อั๋งสยงก้มหน้าลงไม่สบสายตากับเขา
ทว่ากลับจ้องมองจอกสุราที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง
เขาอยากดื่มสุรา
จริงอยู่ที่ตอนนี้หาได้เป็นเวลาดื่มสุราไม่
แต่ชาวทุ่งหญ้าเสพติดสุรา
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่หักห้ามและเปลี่ยนแปลงยากยิ่ง
ฉะนั้นจนท้ายที่สุดอั๋งสยงก็ยกจอกสุราขึ้น
ครั้นมองอั๋งสยงยกจอกสุรา
ในใจอั๋งหรานพลันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เขาก็อยากดื่มสุรา
แต่เขาอดทนได้
อั๋งหรานเชื่อมั่นว่าทุกการเคลื่อนไหวของพวกตนล้วนอยู่ในสายตาหลางอ๋องหมิงเย่าทั้งสิ้น
แม้หลางอ๋องหมิงเย่าดูเหมือนจะก้มหน้าพลิกตำรา
แต่ต้องสังเกตอย่างละเอียดยิ่งกว่ายามปกติทั่วไปเป็นแน่
จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่งานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์
พวกเขาทั้งสองไม่ได้พบหลางอ๋องหมิงเย่ามานานทีเดียว
ระบบของทุ่งหญ้าก็เป็นเช่นนี้
หากหลางอ๋องไม่เรียกชุมนุม ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่ของตนหรือไปที่ราชสำนักได้
ไม่เช่นนั้นจะถูกสังหารด้วยโทษข้อหากบฏ
กองทหารของทุ่งหญ้าส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยแบ่งเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ภายใต้อั๋งหรานและอั๋งสยง
ผู้ที่ไม่รู้จักจะคิดว่าอั๋งหรานและอั๋งสยงเป็นเสาหลักทรงพลังแห่งทุ่งหญ้า
แต่อั๋งหรานและอั๋งสยงต่างรู้ดี
ไพ่เด็ดที่แท้จริงของทุ่งหญ้าเป็นพลังยอดเยี่ยมแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งถูกหลางอ๋องหมิงเย่าควบคุมไว้ในมืออย่างแน่นหนา
ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องมีทัพอีกาดำ
มีหรือที่หลางอ๋องหมิงเย่าจะไม่มีกองทหารที่เท่าเทียมกัน
นี่เป็นรากฐานเชื้อสายหลางอ๋องที่สามารถรักษาความมั่นคงในชาติมาหลายยุคหลายสมัย
แต่ก็มีบทเรียนจากบรรพบุรุษ
นั่นคือช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตายที่ทุ่งหญ้าไปไม่ถึง ผู้ล่องเวหาจะต้องไม่ปรากฏตัวเด็ดขาด
‘ผู้ล่องเวหา’ เป็นทหารองครักษ์ของหลางอ๋องหมิงเย่า
เหตุใดจึงเรียกชื่อนี้
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
แม้อั๋งหรานและอั๋งสยงจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่พวกเขาไม่เคยพบเห็นแม้แต่เงาของผู้ล่องเวหาด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการรู้ว่าพวกเขาประจำการอยู่แห่งหนใดหรือมีทหารจำนวนเท่าใด
แต่สิ่งที่ไม่รู้น่าหวาดกลัวเสมอ
สิ่งที่มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ชาวทุ่งหญ้าเติบโตมากับการอ่าน ‘เติร์ก’ และฟังตำนานของผู้ล่องเวหา
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดสงสัยความจริงเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
อั๋งสยงเคยแอบตั้งคำถามถึงความจริงของ ‘ผู้ล่องเวหา’ ในใจมาก่อน
แต่ทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องนี้พลันแขนขาเย็นเยียบ ใจสั่นสะท้านแทบทนไม่ไหว
รู้สึกเหมือนถูกคนบีบคอแน่น ทำเอาใบหน้าแดงเถือกไปทั้งแถบ
เขาตกใจจนลนลานคิดทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อขจัดความเจ็บปวดทรมานเหล่านี้ในร่างกาย
สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาถูกหลางอ๋องหมิงเย่าใช้วิชายับยั้งแต่อย่างใด
แต่ความมุ่งมั่นประเภทนี้ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอยู่ในเลือดและกระดูกของชาวทุ่งหญ้าทุกคน
หากเจ้าสงสัยในสิ่งนี้
เช่นนั้นก็สงสัยทั้งทุ่งหญ้า สงสัยราษฎรของตน สงสัยบิดามารดา ภรรยาและบุตรในตระกูลตน
ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงเช่นนี้ ยากที่จะรู้สึกสบายใจจริงๆ
“คำกล่าวใดหรือ”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวถาม
“เกรงว่าอั๋งหรานหมายจะกล่าวว่า ‘เสวนากับท่านเพียงครั้งเหนือกว่าศึกษาตำราสิบปี’ ประโยคนี้กระมัง!”
อั๋งสยงวางจอกสุราพลางกล่าว
เดิมอั๋งหรานคิดว่าตนจะอดทนไม่ดื่มสุราได้ นับได้ว่าเป็นการเอาชนะต่อหน้าหลางอ๋องหมิงเย่าในวันนี้ได้หนึ่งครั้ง
เดิมทีคิดว่าใช้ประโยคนี้ในอาณาจักรอ๋องจะชนะอีกครั้ง จะต้องทำให้หลางอ๋องหมิงเย่าจิตใจเบิกบานเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าจะถูกอั๋งสยงแย่งไปเสียก่อน
“เสวนากับท่านเพียงครั้ง…เหนือกว่าศึกษาตำราสิบปี…ประโยคนี้ข้าก็รู้ แต่พวกเจ้าคิดว่าประโยคเดียวจะเอาชนะการศึกษาตำราสิบปีได้จริงหรือ”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวถาม
เขายังคงก้มศีรษะอ่านตำราอย่างต่อเนื่อง
มือซ้ายหยิบชิ้นเนื้อร้อนๆ มากิน
“ตอนนี้จะมีคนเช่นนี้หรือไม่ก็ไม่แน่ชัดนัก…ทว่าข้าอ่านประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอ๋อง เคยมีผู้อาศัยเพียงวาจาเฉียบแหลมคมคายหลายคนที่ทำให้ล่าถอยทหารนับล้านได้ นี่ก็เป็นเรื่องจริง”
อั๋งสยงกล่าว
“อืม…ประเด็นก็คือไม่พบในชาวทุ่งหญ้าของเรา!”
หลางอ๋องหมิงเย่าเงยหน้าขึ้นขยิบตาให้ทั้งสองคน
ดูซุกซนน่าเอ็นดู
อั๋งหรานและอั๋งสยงหัวเราะลั่น ต่างพากันยกจอกสุราเคารพหลางอ๋องหมิงเย่า
แต่หลางอ๋องหมิงเย่าถือตำรามือขวาและถือเนื้อมือซ้าย
เขาชูเนื้อชิ้นนั้นขึ้นตอบรับความเคารพของทั้งสอง
คนของอาณาจักรห้าอ๋องรักศักดิ์ศรีเกินไป
โดยเฉพาะในยุคสมัยราชวงศ์ก่อน
สู้รบยังต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเลื่องลือ
ไม่เช่นนั้นจะเป็นทัพที่ไร้ปราณีและไม่ยุติธรรม จิตใจสาธารณะจะไม่เปลี่ยนแปลง ฟ้าดินจะไม่เอื้ออำนวย
แต่ในสายตาของหลางอ๋องหมิงเย่า
มีเพียงดินแดนและเงินทอง
แม้ว่าจะเป็นชัยชนะ ก็เพื่อให้ผู้คนในเผ่าของตนมีชีวิตที่มีความสุขและดีขึ้นเท่านั้น
มีการสนับสนุนเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
ฉะนั้นการกล่าวโน้มน้าวเหล่านั้นสามารถอาศัยความเฉียบแหลมของวาจาถอยทัพนับล้านไปได้
แต่หากพวกเขาเผชิญหน้ากับทหารหมาป่าของทุ่งหญ้า
บางทีเลือดเนื้ออาจถูกกรงเล็บหมาป่าขย้ำไม่จบไม่สิ้นจนจางหายไปนานแล้ว
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก หลางอ๋องหมิงเย่าชักกระบี่ออกมา ยกดาบขึ้น
…………………………………………………….