ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 269 หยุดพักใหญ่น้อย-2
บทที่ 269 หยุดพักใหญ่น้อย-2
“ข้ารู้ว่าข้ารับปากแล้ว แต่ข้านึกว่าแค่นั่งดูท่านดื่มก็นับว่าเป็นเพื่อนแล้ว”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะลั่นไม่หยุด
มีหลายครั้งที่เขาเองก็นึกว่าเป็นเช่นนี้
แรกเริ่มครั้งเซียวจิ่นข่านยังอยู่ในกรมสอบสวนกลาง ก็เคยให้หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราเป็นเพื่อนเขา
หลิวรุ่ยอิ่งก็เอาแต่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่าย คอยจ้องเขายกและวางจอกสุราตาไม่กะพริบ
แม้ว่าเวลานั้นก็มีจอกสุราหนึ่งจอกวางอยู่ตรงหน้าเขาและยังมีสุรารินจนเต็มจอก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มีแก่ใจจะยกจอกขึ้นมา
เซียวจิ่นข่านเองก็ไม่ฝืนใจ
และเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มอยู่อย่างนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านี้ และคิดว่าจะไม่ให้หวาหนงเดินซ้ำรอยเดิม
“เรื่องอื่นๆ หากบอกว่าให้ทำเป็นเพื่อน ล้วนสามารถนั่งนิ่งได้ มีเพียงการดื่มสุราที่ทำไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เหตุใดดื่มสุราจึงทำไม่ได้”
หวาหนงถาม
“เพราะหากผู้อื่นเรียกให้เจ้าดื่มสุราเป็นเพื่อน และเจ้ายังรับปากแล้ว ก็จะต้องมาดื่มสุราด้วยกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นี่มันเป็นหลักการใดกัน”
หวาหนงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ กฎ? กฎและหลักการต่างกันอย่างไร”
หวาหนงถาม
เขาถือขวดสุราแต่ไม่ได้เปิดขวดออก
ทว่าคำถามนี้กลับถามจนหลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก
เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าระหว่างกฎและหลักการมีความแตกต่างกันจริงๆ หรือไม่และอย่างไร
แต่เขารู้ชัดว่ากฎและหลักการเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกัน
ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
คิดว่าเซียวจิ่นข่านฝากฝังศิษย์ผู้นี้ให้แก่ตน
แต่ตนผู้เป็นอาจารย์อากลับพูดไม่ออกเมื่อถูกศิษย์หลานถามครั้งแรก
เสียหน้ายังไม่พอ ทั้งความรับผิดชอบและภารกิจก็ยังไม่บรรลุผลด้วย
“กฎก็คือกฎ อธิบายไม่ได้ อยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว ผู้คนถ่ายทอดกันมาปากต่อปาก สั่งสอนกันมารุ่นต่อรุ่น เพียงแต่ทำตามมันก็พอแล้ว ไม่ต้องถามว่ามีหลักการใด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
อย่างไรเขาก็ต้องกล่าวสิ่งใดออกไปบ้าง
แต่ก็ยังตอบคำถามที่เป็นรูปธรรมออกมาไม่ได้อยู่ดี
ทำได้เพียงถูๆ ไถๆ บ่ายเบี่ยงพอให้ผ่านไปเช่นนี้
“แต่สุดท้ายท่านก็ยังดึงกลับไปเชื่อมโยงกับหลักการอยู่ดี”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก
หวาหนงผู้นี้รับมือยิ่งกว่าจิ่วซานปั้นอีก…
แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรับฟังถ้อยคำของหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็เคยบอกเล่าเรื่องกฎและหลักการแก่เขามากมาย
แม้จิ่วซานปั้นจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังปฏิบัติตาม
เพราะเขาเห็นว่าผู้คนโดยทั่วไปล้วนทำเช่นนี้
เรื่องหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ทำตามไปก็พอแล้ว
นี่คือคำปลอบโยนและคำอธิบายที่จิ่วซานปั้นมีให้ตนเอง
แต่หวาหนงกลับทำไม่ได้
อาจเพราะผู้คนที่เขาได้พบนั้นยังมีน้อยเกินไป
จึงไม่มีตัวอย่างเพียงพอมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดนั้นถูกต้อง เพราะเหตุนี้เขาย่อมต้องสอบถามให้ถึงรากถึงโคน
แต่เมื่อเขาถามมาเช่นนี้
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
กฎเป็นคนกำหนดขึ้น
หลักการเป็นสิ่งที่ปากพูดออกมา
เมื่อใดที่หลักการจากปากไม่หนักแน่นพอ มักใช้คำว่ากฎมายุติทุกสิ่ง
เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่ากฎเป็นโล่กำบังศร[1]ของหลักการหรอกหรือ
เมื่ออ้างถึงหลักการไปจนหมดสิ้นแล้ว หากยังไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายได้
เมื่อนั้นก็จะอาศัยคำว่ากฎมาอธิบาย
แต่แล้วผู้คนกลับยอมรับฟังกลอุบายนี้
เมื่อใดที่คำว่า ‘กฎ’ จัดวางอยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นคนที่วาจาเก่งกาจเพียงใดก็ต้องกลายเป็นใบ้ในบัดดล พูดไม่ออกสักคำ
“เอาเถิด คำถามนี้ข้ายอมรับว่าข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
นึกไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งอุตส่าห์พูดไปเช่นนี้กลับยังไม่สามารถทำให้หวาหนงล้มเลิกความสงสัย
กลับหันมาคลางแคลงในตัวหลิวรุ่ยอิ่งอีก
“แม้ข้าจะเป็นอาจารย์อาของเจ้า แต่จะอย่างไรข้าก็เพิ่งมีชีวิตอยู่มาได้ไม่นาน ย่อมมีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อยู่มานาน ก็จะเข้าใจทุกสิ่งชัดเจนหรือ”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
เขาสำนึกเสียใจว่าเหตุใดตนเองต้องเรียกหวาหนงเข้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อนด้วย
ปรากฏว่ายังไม่ทันดื่มสุราสักอึก
กลับถูกหวาหนงซักไซ้ไล่เลียงไม่หยุดจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
แม้แต่ฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้ก็ยังสลายไปจนหมดสิ้น
เดิมทีเขาอยากดื่มอีกสักหลายจอก เพื่อให้หลับสบายสักตื่น
หอทรงปัญญามีเส้นทางที่ตรงดิ่งสู่เมืองหลวง
นอกจากแม่น้ำจักรพรรดิที่ทอดตัวขวางอยู่ตรงกึ่งกลางแล้ว ก็ไม่มีให้เลี้ยวสักครั้ง
“อยู่มานานไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากมาย แต่อยู่มานานจะรู้กฎจำนวนมาก ความจริงแล้วกฎมากมายล้วนเป็นตนเองกำหนดให้ตนเอง ไม่จำเป็นให้ผู้อื่นต้องมาทำตาม ที่สำคัญก็คือต้องดูว่าผู้ที่กำหนดกฎขึ้นมาคือผู้ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คล้ายว่าข้าพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว”
หวาหนงพยักหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังดังนี้ ทันใดนั้นก็พอจะดีใจขึ้นมาบ้าง
“หากไม่ปฏิบัติตามจะเป็นเช่นใดหรือ”
หวาหนงถาม
“หากไม่ปฏิบัติตามก็จะไร้คุณสมบัติ เมื่อไร้คุณสมบัติ ก็จะไม่สามารถอยู่ในกรมสอบสวนกลางได้อีก วันหน้าเมื่อเข้าไปในกรมสอบสวนกลางแล้วก็ต้องปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เช่นนั้นเวลานี้เป็นท่านที่กำหนดกฎขึ้นมา ท่านบอกว่าการดื่มสุรากับผู้อื่น ตนก็ต้องดื่มสุราด้วย เช่นนั้นข้าก็ต้องปฏิบัติตามใช่หรือไม่”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเบื่อหน่ายยิ่งนัก
จะอย่างไรเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ทว่าแม้จะเข้าใจผิด แต่เป้าหมายปลายทางที่หลิวรุ่ยอิ่งต้องการบรรลุผลแล้ว
เรื่องหลายเรื่องใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็สามารถบังคับได้ เขาเองก็ทำได้เพียงพยักหน้าเป็นนัยว่าถูกต้อง
หวาหนงก็ไม่ลังเลอีก เขาเปิดขวดสุราออกแล้วกรอกใส่ปากไปหลายอึกใหญ่
“เจ้าคอแข็งหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่รู้ ข้าไม่เคยเมามาก่อน”
หวาหนงส่ายหน้าพลางเอ่ย
หากเป็นผู้อื่นกล่าวถ้อยคำนี้ นับว่าท้าทายหรืออวดอ้าง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าที่หวาหนงกล่าวว่าไม่เคยเมาสุรามาก่อน เป็นเพราะเขาไม่ค่อยดื่มสุราเท่าไร
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าสุราอร่อยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“จืดไปหน่อย…เมื่อเทียบกับเลือด”
หวาหนงทำปากขมุบขมิบสองสามครั้งพลางกล่าว
“เลือด? เจ้าเคยดื่มเลือดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
“ในป่าบนเขาใช่ว่าจะได้เจออาหารทุกวัน หากเจอแล้ว แม้แต่เลือดก็ไม่อาจทิ้งให้สิ้นเปลืองได้ เมื่อดื่มเข้าไปล้วนทำให้อิ่มท้องได้ ไม่หิวจะดีที่สุด”
หวาหนงกล่าว
พูดจบก็ดื่มสุราไปอีกอึกหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงตอนอยู่ในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ทัพอีกาดำในอาณัติของฮั่ววั่งก็ดื่มสุราเลือดหมาป่า
แม้นั่นจะเป็นเลือด แต่อย่างไรก็ยังหมักจนกลายเป็นสุรา
เกรงว่าจะแตกต่างกับการดื่มเลือดโดยตรงไม่น้อยทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งอยากถามหวาหนงจริงๆ ว่าเลือดมีรสชาติเช่นใด
แต่เขาก็เกรงว่าจะไปสะกิดถูกบาดแผลในชีวิตที่หวาหนงเคยประสบมา จึงไม่ได้เอ่ยถามออกไป
“เลือดคาวนัก… และยังค่อนข้างเค็ม เมื่อเทียบกันแล้ว รสชาติของสุรานี้เลิศรสกว่าเลือดมากนัก”
จู่ๆ หวาหนงก็พูดออกมา
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าข้าอยากถามเจ้าเรื่องนี้”
เซียวจิ่นข่านไม่ได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสูงสุดของนักพรตอินหยางแก่หวาหนง
แต่เหตุใดเขาจึงสามารถมองทะลุจิตใจคนได้ในพริบตาเดียว
“เพราะท่านมีดวงตา”
หวาหนงกล่าว
“ดวงตาของคนก็เหมือนกับของสัตว์ สีหน้าสามารถหลอกคนได้ แต่ดวงตากลับทำไม่ได้ บางทีท่านอาจเห็นพวกเสือและหมาป่าร้องคำรามอย่างยินดี แต่ในแววตาของพวกมันกลับมีความขลาดกลัวเผยออกมา ทุกคราวที่ถึงยามนั้น ข้าก็รู้ว่าตนเองชนะแล้ว”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจยาว
รู้สึกว่าตนช่างไม่คู่ควรเป็นอาจารย์อาโดยแท้
แม้หวาหนงจะไม่เข้าใจความเป็นไปในแดนมนุษย์
แต่มักจับสิ่งที่เป็นธาตุแท้ที่สุดเอาไว้ได้
หลิวรุ่ยอิ่งยกกาสุราขึ้นมาชนขวดสุราของเขาหนหนึ่ง
จากนั้นก็เปิดผ้าม่านในรถออก
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านม่านเข้ามาในตัวรถ
สาดลงมาที่ครึ่งบ่าซ้ายของหลิวรุ่ยอิ่งจนอบอุ่น
อาศัยแสงอาทิตย์
หลิวรุ่ยอิ่งมองกาสุราในมือ
พลันคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ใบหน้าของคนผู้นั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนผิวกระเบื้องมันวาวของกาสุรา
ทันใดนั้นเขาก็อยากกินอะไรบางอย่าง
แต่เมื่อช้อนตาขึ้นมองออกไป ทั่วทิศกลับมีแต่ความเวิ้งว้าง
แม้จะมีต้นหอมสีเขียวชอุ่มเต็มไปหมด
แต่กลับไม่มีคนสักคน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงร้านรวงใดๆ เลย
ทว่าของที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากกินต้องหาตลาดสักแห่งจึงจะหาซื้อได้
………………………………………
[1] โล่กำบังศร หมายถึง กันชน ป้องกันให้