ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 270 หยุดพักใหญ่น้อย-3
บทที่ 270 หยุดพักใหญ่น้อย-3
“หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าอยากได้เงิน!”
หวาหนงกล่าว
“เงิน?”
หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงว่าคำขอแรกของหวาหนงกลับเป็นเงิน
“ใช่ เงิน เพราะดูเหมือนว่าเงินทองจะหาได้ยากยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีเงิน คล้ายว่าเรื่องใดๆ ก็จะทำไม่ได้ แม้แต่อาหารก็จะไม่ได้กิน ดื่มก็ไม่ได้ด้วย”
หวาหนงกล่าว
“เจ้ากล่าวไม่ผิด แต่เงินยี่สิบตำลึงที่จิ่วซานปั้นจะให้เจ้าไว้เป็นค่าสุราก่อนหน้านี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่เอาเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าก็บอกแล้วอย่างไร เงินจำนวนนั้นเทียบค่าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ชอบติดค้างผู้อื่น ข้าอยากมีเงินที่เป็นของตนเอง”
หวาหนงกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะให้เงินเจ้ายี่สิบตำลึง ถือเสียว่าให้เจ้ายืม เมื่อใดที่เจ้ามีเงินค่อยคืนให้ข้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ยี่สิบตำลึงทำสิ่งใดได้บ้าง”
หวาหนงถามขณะรับก้อนเงินมา
“ก็ต้องดูว่าเจ้าอยากทำสิ่งใด ถ้าเพียงแค่จะกินข้าวดื่มสุราทั่วไป ครึ่งปีเจ้าก็ยังใช้ไม่หมด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงพยักหน้า
“เมื่อข้ามีเงินของตนเอง ข้าจะคืนให้ท่าน”
จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงพร้อมเสียง ‘กึก’
หยุดกะทันหันเช่นนี้ทำเอาตัวหลิวรุ่ยอิ่งกระเด็นกระดอน
หัวยังชนเข้ากับเพดานรถอีกด้วย
เขาไม่ค่อยพอใจนัก
ไม่รู้ว่าเจ้าม้าเฒ่าที่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอดทาง เหตุใดจู่ๆ จึงเป็นเช่นนี้
จนเมื่อเขาออกจากตัวรถมาดู จึงพบว่าทางตรงหน้ากลับถูกก้อนหินและท่อนซุงขวางเอาไว้
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่เวลานี้เป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างแดนติ้งซีอ๋องและแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง
แถบนี้ไม่มีฤดูฝน
หากลงไปทางใต้อีกยังพอเป็นไปได้ว่าเพราะมีพายุฝนกระหน่ำพัดมา จึงทำให้หินและไม้กลิ้งลงมาจากเขาและขวางเส้นทาง
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า เห็นชัดว่ามีคนจงใจทำ
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเย็น
เขารู้ว่าได้พบกับพวกโจรปล้นชิงทรัพย์เข้าแล้ว
“ทางขาดแล้ว พวกเราทำได้แค่เดินไปเท่านั้น”
หวาหนงก็ลงรถมาด้วย
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองเดินไปดูสักหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาจงใจฝึกปรือหวาหนงดูสักคราว จึงกล่าวไปเช่นนี้
“อืม…”
หวาหนงตอบรับคำหนึ่งจึงเดินไปข้างหน้า
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก้อนหินและท่อนซุง
ข้างหลังก็มีคนสิบกว่าคนลุกขึ้นมาเป็นแถวๆ
สีหน้าของทุกคนล้วนโหดเหี้ยมดุร้าย
เหมือนคณะละครแสดงบนเวทีที่ซักซ้อมกันมาไม่รู้กี่รอบ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้กระทั่งว่าคำพูดที่พวกเขาจะพูดต่อไปคือคำใด
แม้เขาจะไม่เคยพบพวกโจรดักปล้นมาก่อน
แต่จากปากคำของคนเล่านิทาน นี่กลับเป็นตอนที่มีมาอย่างยาวนาน
“พวกเจ้าเป็นใคร”
เห็นชัดว่าหวาหนงเองก็ตกใจกลุ่มคนที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ! ไอ้หนูนี่กล้าดีไม่เบา นี่มองไม่ออกจริงๆ หรือว่าลูกพี่เช่นข้าทำสิ่งใด”
หัวหน้าโจรกล่าวทั้งหัวเราะลั่น
เขาจงใจกดเสียงให้ต่ำ
ทำเช่นนี้แล้ว เวลาฟังจะเป็นเสียงที่แหบอย่างยิ่ง
หากให้คนทั่วไปฟัง ก็ดูน่ากลัวมากจริงๆ
“ข้าไม่รู้…แต่หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องใด เช่นนั้นก็มาช่วยข้าย้ายต้นไม้ที่หักและก้อนหินเหล่านี้ออกไปได้หรือไม่ รถม้าของเราแล่นผ่านไปไม่ได้”
หวาหนงพูดอย่างไร้เดียงสา
แต่นี่กลับทำให้หัวหน้าโจรนิ่งอึ้งไป
เขามองใบหน้าเยือกเย็นของหวาหนงและน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่สะทกสะท้าน ในใจพลันพะว้าพะวังไม่สงบ
ถนนสายนี้ โดยมากแล้วเป็นพวกปัญญาชนเดินทาง
เมื่อร่ำเรียนหนังสือได้ อย่างน้อยก็จะไม่ยากจนเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นพวกปัญญาชนรังแกง่ายที่สุด
ทั่วไปแล้วแค่พูดไปสองประโยค อีกฝ่ายก็มอบทุกสิ่งที่ตนเองมีอย่างว่าง่าย ขอเพียงรักษาชีวิตไว้เท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเสื้อคลุมตัวนอกบนกายของผู้เป็นหัวหน้า เกรงว่าคงเพิ่งชิงมาได้ไม่นานมานี้
หัวหน้าโจรไตร่ตรองในใจอย่างถี่ถ้วน
เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้เช่นกันว่าในโลกหล้านี้มีคนอีกจำนวนมากที่ตนไปล่วงเกินไม่ได้
หวาหนงที่อยู่ตรงหน้ากลับอ่อนเยาว์นัก ดูไม่เหมือนคนมีวิชาใดๆ
แต่เขากลับไม่มีท่าทางหวาดกลัวถึงเพียงนี้ หรือเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเขา
สายตาของหัวหน้าโจรจับจ้องมาที่หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ว่าความสนใจของพวกเขาคล้ายว่าจะอยู่ที่ตน
แต่เขากลับยังคงนั่งดื่มสุราตรงที่นั่งหน้ารถโดยไม่สนใจแต่อย่างใด
เพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดสายตา หลิวรุ่ยอิ่งจึงตั้งใจไม่สวมเครื่องแบบของกองสอบสวน
เวลานี้จึงสวมชุดลำลอง เมื่อผนวกกับใบหน้าที่หล่อเหลา กลับดูมีลักษณะเช่นคุณชายอยู่หลายส่วน
แต่หัวหน้าโจรกลับมองเห็นกระบี่โกโรโกโสเล่มนั้นของหวาหนง
ในสายตาของเขา ของเล่นที่แกะจากท่อนไม้ครั้งตนยังเป็นเด็กยังงดงามกว่ากระบี่เล่มนี้อีก
“ว่าง่ายๆ ของมีค่าให้ทิ้งเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเลย!”
หัวหน้าโจรพูดพลางกำหมัดทุบก้อนหินใหญ่ข้างๆ หนหนึ่ง
หมัดนี้ถึงกับทำให้ก้อนหินใหญ่แตกออกเป็นสี่ห้าเสี่ยงทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่าหัวหน้าโจรเป็นผู้มีวรยุทธ์
หมัดเมื่อครู่นี้ใช้กำลังภายใน
ทว่าดูไปแล้ว อย่างมากก็แค่อยู่ในระดับบรมครูเท่านั้น
พลังระดับบรมครูต้านสี่ทิศ
เกรงว่าเขาจะต้านได้เพียงทิศเดียวเท่านั้น
ทว่าหมัดนั้นสามารถทุบหินให้แตกได้ก็นับว่าน่าตื่นตะลึงทีเดียว
เห็นชัดว่าหวาหนงไม่เคยพบเห็นมาก่อน เวลานี้จึงมองด้วยตากลมโต
“เป็นอย่างไร เจ้าหนู!”
หัวหน้าโจรเห็นเช่นนี้ก็นึกว่าหวาหนงตกใจจนพูดไม่ออก
หลิวรุ่ยอิ่งคิดดูอีกหน เรื่องของกฎและหลักการที่พูดไปเมื่อครู่ หวาหนงยังไม่เข้าใจ
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ว่าเป็นตัวอย่างที่มีให้เห็นจริงๆ หรอกหรือ
“หวาหนง!”
หลิวรุ่ยอิ่งร้องออกมาคำหนึ่ง เพื่อเรียกให้หวาหนงกลับมาอยู่ข้างๆ เขา
พอหัวหน้าโจรเห็นดังนั้น ก็คิดว่าทั้งสองคิดจะยอมจำนน
จึงยืนเท้าเอวอย่างได้ใจอยู่ตรงนั้น
“เมื่อครู่เขาพูดสิ่งใดกับเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เขาบอกให้ข้าทิ้งเงินทองของมีค่าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ให้ผ่านไป”
หวาหนงกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำเช่นใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“ข้าไม่รู้…ข้ามีเงินอยู่เพียงยี่สิบตำลึง ซ้ำยังเป็นเงินที่ยืมท่านมาด้วย หากให้เขาไป ข้าก็ต้องขอยืมเงินจากท่านอีก เมื่อยืมมามากก็เกรงว่าจะหาคืนไม่ไหว”
หวาหนงกล่าว
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้เงินเขา แต่พวกเราก็จำเป็นต้องผ่านไปทางนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูว่าควรทำเช่นใด”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดชี้นำ
“พูดหลักการกับเขาหรือ”
จู่ๆ หวาหนงก็เอ่ยคำว่าหลักการออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม คิดว่าตนเองไม่ได้เปลืองน้ำลายเปล่า
“เจ้าดูลักษณะของพวกมันแล้วคิดว่าสามารถพูดคุยด้วยหลักการได้หรือ จะเอาเงินไว้หรือว่าเอาคนไว้ นี่เป็นกฎที่พวกมันตั้งขึ้น เจ้าเองก็สามารถตั้งกฎของเจ้าได้เช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“กฎของข้าหรือ ข้าควรตั้งกฎใด”
หวาหนงถาม
“ครั้งเจ้าอยู่ในป่าบนภูเขา ยามต่อสู้กับพวกสัตว์ป่า พวกมันฟังหลักการไม่เข้าใจกระมัง ยามนั้นจะทำเช่นไร นั่นก็คือกฎของเจ้า กฎเช่นนั้นสามารถใช้กับคนเช่นนี้ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงคิดสักพัก คล้ายว่าเข้าใจขึ้นมา
จึงหันหลังกลับไปอยู่ตรงหน้าหัวหน้าโจรอีกครั้ง
“ถ้าไม่ให้พวกเราผ่านไป เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าคิดไปจากที่นี่เลย!”
หวาหนงกล่าวอย่างแข็งกร้าว
หัวหน้าโจรหัวเราะลั่น
เขารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีความสามารถใด แต่ทึ่มทื่อจนน่ารักน่าชัง
ทึ่มจนตนเองแทบลงมือฆ่าเขาไม่ลง
แต่พี่น้องสิบกว่าคนข้างหลังกำลังมองตนอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเกี่ยวพันไปถึงตัวพวกเขา เพราะตนก็ต้องกินข้าวเช่นกัน
หัวหน้าโจรไม่กล่าวคำใดอีก แต่ชูหมัดเหล็กขึ้นและพุ่งเข้าใส่หวาหนง
กลุ่มคนที่อยูข้างหลังเขาพลันปรากฏสีหน้าตื่นเต้นยินดี
คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมันสมองแตกกระจายเป็นแน่ แม้แต่โอกาสจะร้องครวญครางก็ยังไม่มี
“ฉึก!”
เงียบจริงดังว่า
ไม่มีเสียงร้องครวญครางใดๆ
แต่กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าโจรกลับเห็นว่าท้ายทอยของหัวหน้าตนมีปลายกระบี่ยาวโผล่ออกมา
บนกระบี่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดที่กำลังไหลไม่หยุด
ดวงตาของหัวหน้าโจรสบตากับหวาหนง เห็นชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
หวาหนงเห็นแววตาเช่นนี้กลับยิ้มออกมา
เพราะอีกฝ่ายทำตามกฎของเขา
กำปั้นของหัวหน้าโจรยังห่างจากหน้าผากเขาอยู่อีกหลายชุ่น
แต่กระบี่ของเขากลับแทงทะลุลำคอหัวหน้าโจรไปแล้ว!
หวาหนงค่อยๆ ถอนกระบี่ออกมา
………………………………………