ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 280 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-7
บทที่ 280 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-7
หลิวรุ่ยอิ่งมองเบี้ยหวัดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยาขนย้ายออกไปอย่างเงียบๆ
ความจริงแล้ว ต่อให้เขามีความคิดก็ไร้ความสามารถจะทำได้
หนำซ้ำลานหลังเหลาสุราแห่งนี้ก็มีทางออกเพียงทางเดียว
มันเป็นทางเส้นเล็กๆ แสนคับแคบสายหนึ่ง
พอให้รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไปได้พอดิบพอดี
หากเป็นชาวทุ่งหญ้าที่มีลำตัวใหญ่โตหรือชายร่างกำยำเดินพร้อมกันสองคนอาจต้องติดอยู่ที่นั่น
ทว่าทางสายเล็กเช่นนี้
สิ่งที่ขวางหน้าหลิวรุ่ยอิ่งอยู่กลับเป็นจิ้งเหยา
หรือจะพูดให้ถูกก็คือดาบโค้งของเขา
คนนั้นไม่สำคัญแต่อย่างใด
ที่สำคัญคือดาบในมือเขา
แม้ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งจะพูดจาไว้คมคายยิ่ง
บอกว่าตะเกียบก็สามารถสังหารคนได้ ตะเกียบก็สามารถทัดเทียมดาบได้อะไรนั่น
ทว่ากล่าววาจาจะต้องมีคุณค่า
ห่านป่าบินผ่านทิ้งร่องรอย[1]
วาจาว่างเปล่าที่เอ่ยออกไปโดยไร้ซึ่งคุณค่าใดๆ หาได้มีความหมายใดไม่
แค่เพิ่มเรื่องน่าขบขันให้ตนโดยใช่เหตุ ให้ผู้อื่นเยาะหยันก็เท่านั้น
จิ้งเหยาหันหลังให้หลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนง
เขาหันไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาขนย้ายเบี้ยหวัดทั้งหมดออกไป
แต่กลับเห็นหลิวรุ่ยอิ่งส่ายหัว
กระบี่ของหวาหนงรวดเร็วยิ่ง
และแต่ไรมาเขาก็มั่นใจกับความว่องไวของกระบี่ตนเป็นที่สุด
แต่กระบี่ที่เขาพุ่งใส่จิ้งเหยาเมื่อครู่นี้กลับถูกสกัดเอาไว้ได้
เรื่องนี้ทำให้เขาสลดหดหู่ยิ่งนัก
อารมณ์ของเด็กหนุ่มก็เป็นเช่นนี้
มักไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังจะทำ
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มเช่นหวาหนงนี้
แต่ที่น่าเสียดายก็คือเวลาของเขาในตอนนี้มีไม่พอ
หากให้เวลาเขาอีกนิด หลิวรุ่ยอิ่งเชื่อว่าเขาจะต้องสามารถแทงทะลุลำคอของจิ้งเหยาได้ในกระบี่เดียวเป็นแน่
แต่เวลานี้ยังไม่สามารถทำได้
ยังอีกห่างไกลนัก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งมองความรุ่มร้อนใจของเขาออก
ร้อนใจอยากเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เพื่อพิสูจน์ตนอีกครั้ง
เขาคิดว่าแม้กระบี่ของตนจะไม่อาจสังหารจิ้งเหยาได้ แต่การสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสักคนก็ไม่น่ามีปัญหาใด
หลิวรุ่ยอิ่งย่อมยอมรับในข้อนี้
แต่ทำเช่นนี้กลับไม่มีประโยชน์ใดทั้งสิ้น
ปัญหาที่สำคัญที่สุดตรงหน้านี้ก็คือจิ้งเหยา
ต่อให้สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจนเกลี้ยงแล้วจะอย่างไรต่อเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น จิ้งเหยาจะเอาแต่นิ่งดูดายหรือ?
ในช่วงเวลาที่พายุฝนโหมกระหน่ำยากสงบ
หลิวรุ่ยอิ่งจำเป็นต้องคว้าทุกชั่วอึดใจเพื่อพื้นฟูและทำให้สมองโปร่ง
เสียงของรถม้าค่อยๆ ห่างออกไป
จิ้งเหยาหันกายกลับมา
ยิ้มแป้นมองหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ยิ้มให้เขา
สภาพการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว
เหตุใดยังต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยเล่า
เรื่องที่แน่นอนแล้วก็ต้องยอมรับอย่างใจกว้าง
ยามนี้เป็นเวลาบ่าย
ซึ่งเป็นเวลาที่ร้อนอบอ้าวที่สุดของวัน
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งบนกำแพงสูงด้านข้าง
เขานั่งอยู่บนกำแพงลานบ้าน หอบห่อเกาลัดคั่วน้ำตาลไว้ในอก กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับดึงเด็กที่เล็กเพียงนี้เข้ามาในเรื่องนี้ด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งมองขอทานน้อยผู้นั้นพลางกล่าว
“เฮอะๆ…”
ขอทานน้อยกินเกาลัดคั่วน้ำตาลพลางแค่นหัวเราะ
น้ำเสียงนี้ฟังแล้วเจนโลกเป็นที่สุด
และไม่เข้ากับร่างกายของเขาเอาเสียเลย
“คนบางคนร่างกายเล็ก แต่อายุกลับไม่น้อย ความผันแปรของกาลเวลาสามารถจำกัดร่างกายเขาได้ แต่ไม่อาจจำกัดสมองเขาได้”
ขอทานน้อยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงตาเฒ่าเยี่ยหมอเทวดาที่เคยรักษาตนครั้งอยู่หัวเมืองรัฐติง
ไม่ใช่ว่าเขาก็เป็นเช่นนี้หรอกหรือ
ทว่าสองเท้าโตๆ ของตาเฒ่าเยี่ยกลับเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก
แต่หากขอทานน้อยนี้ไม่เอ่ยปาก ไม่ว่าผู้ใดก็จะคิดว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง
แม้ว่าวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่มาอาจไม่ได้สั้นกว่าตาเฒ่าเยี่ย
แต่ผิวพรรณกลับยังคงอ่อนเยาว์เหมือนเด็กเล็กอยู่เรื่อยมา
ใบหน้าของเขาสกปรกยิ่งนัก
แต่แค่มองก็รู้ว่าเป็นคราบเขม่าก้นหม้อที่ทาเพื่อบดบังใบหน้า
ทว่าสองมือของเขากลับขาวสะอาดนัก
ก่อนหน้านี้เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองไม่ถนัด
มือคู่นี้ไม่เพียงขาวสะอาด แม้แต่เล็บมือก็ยังตัดอย่างเรียบร้อย
หากอยากดูว่าคนผู้หนึ่งสกปรกมอมแมมจริงหรือไม่
ก็ต้องดูที่มือของเขา โดยเฉพาะเล็บมือ
เพราะคนที่รักความสะอาดจริงๆ จะทนรับไม่ได้แม้แต่เศษผงเล็กๆ ในซอกเล็บ
เวลาชั่วพริบตาเดียว
เกาลัดคั่วน้ำตาลห่อใหญ่นั้นก็ถูกขอทานน้อยกินจนหมด
เขาดึงผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อขาดวิ่นของตน
เริ่มจากเช็ดมืออย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วค่อยเริ่มเช็ดปาก
เขาไม่ได้เช็ดปากด้วยการถูแรงๆ เหมือนคนทั่วไป
แต่เริ่มจากมุมปากทั้งสองข้าง
กดลงไปเบาๆ
จากนั้นก็อ้าปาก
ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดริมฝีปากบนล่างที่ละสามครั้ง
จากนั้นโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงข้างล่าง
เขาจะไม่ใช้มันเป็นครั้งที่สอง
ผ้าเช็ดหน้าไหมใช้ได้เพียงครั้งเดียว
หากนำมาใช้เป็นครั้งที่สองก็จะไม่คู่ควรกับมือแสนสะอาดและเล็บที่ตัดอย่างเรียบร้อยของเขา
“แสงอาทิตย์ช่างดีแท้!”
ขอทานน้อยหรี่ตาลง เอ่ยพลางมองท้องฟ้า
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
“ดีเป็นแน่แท้!”
จิ้งเหยากล่าว
“เจ้าไม่ควรขนก้อนเงินไปเร็วเพียงนี้”
ขอทานน้อยกล่าว
“เพราะเหตุใด”
จิ้งเหยาถาม
“เมื่อครู่นี้ มีก้อนเงินสีขาวตกกระจายอยู่เต็มพื้น ราวกับแสงจันทร์ส่องประกายทั่วพื้น บนฟ้ามีตะวัน บนดินมีแสงจันทร์ ทิวทัศน์ที่มีทั้งตะวันจันทราร่วมทอแสงจะพบเห็นในโลกมนุษย์ได้สักกี่ครา”
ขอทานน้อยกล่าว
“หากเป็นประสงค์ของเจ้า ข้าก็จะให้พวกมันลากกลับมาอีกครั้ง เทไว้บนพื้นใหม่อีกรอบ”
จิ้งเหยากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งแอบตกตะลึงในใจ
“ไม่ต้องหรอก…เมื่อจงใจเกินไปก็สูญเสียเสน่ห์ไปแล้ว อย่างไรก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า”
ขอทานน้อยกล่าวพลางส่ายหัว
“เจ้าว่าข้ากินตั้งมากมาย เหตุใดจึงไม่สูงขึ้นเสียที”
เขาหันไปถามหลิวรุ่ยอิ่ง
“เกรงว่าเพราะแผนสูงเกินไป ทำให้ร่างกายไม่เติบโต”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆๆ! เหตุผลของเจ้าแปลกใหม่ดีเหลือเกิน! ข้าชอบเหตุผลที่เจ้าว่า!”
ขอทานน้อยหัวเราะลั่น ปรบมือพลางกล่าว
“ไม่สังหารเขาได้หรือไม่ ข้าว่าคนผู้นี้น่าสนใจนัก”
ขอทานน้อยเอ่ยกับจิ้งเหยาพลางชี้ไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
“หากสามารถทำให้เขาไม่ต้องพูดไปตลอดกาล จะไว้ชีวิตเขาสักคนก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
จิ้งเหยากล่าวทั้งยักไหล่
“อืม…ข้าคิดดูก่อน!”
ขอทานน้อยได้ฟังดังนั้นก็เริ่มเอามือกุมหัว ขมวดคิ้วคิดหนักขึ้นมา
ผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา
เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และมีแต่ความเสียดายปรากฏอยู่เต็มใบหน้า
“ขออภัย ข้าคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามีทางเลือกใดที่ทำให้พูดไม่ได้ไปยิ่งกว่าการเป็นคนตาย”
ขอทานน้อยกล่าว
จากนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา
“เจ้าเป็นอะไรไป”
จิ้งเหยาถาม
“พอข้าคิดว่าคนที่น่าสนใจเช่นนี้ สนทนาเข้าขากับข้าปานนี้ แต่เขากลับกำลังจะตายแล้ว ข้าก็เสียใจยิ่งนัก”
ขอทานน้อยกล่าว
“เจ้าสนทนากับเขาได้อีกหลายคำ ให้เขาตายช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”
จิ้งเหยากล่าว
“แต่พอเจ้าให้ข้อจำกัดแก่ข้า ข้ากลับไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใด…สนทนากันย่อมต้องจัดวางสุรา นั่งสบายๆ จึงจะพูดออกมาได้”
ขอทานน้อยกล่าว
และยิ่งร้องไห้เศร้าเสียใจหนักขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งฟังทั้งสองสนทนากัน
พลันรู้สึกว่านี่เป็นชั่วเวลาที่ตนต้องคับอกคับใจที่สุดในชีวิต
หากโชคดี สามารถรอดชีวิตผ่านวันนี้ไป และยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างครบสมบูรณ์ไปชั่วชีวิตแล้วละก็
ชั่วอึดใจนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่คับอกคับใจที่สุด
คับอกคับใจเสียยิ่งกว่าครั้งยังเล็กที่เขาเห็นเหล่ายอดชาวบุ๋นห้ำหั่นกันเอง ครั้งนั้นเขาตกใจจนต้องเอาผ้าห่มคลุมหัว มีแต่บั้นท้ายที่โผล่ออกมาข้างนอกเท่านั้น
ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ยังอายุน้อยนัก
ทั้งยังเป็นเด็ก ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนได้รับการให้อภัย
แม้ว่าจะหาเหตุผลไม่ได้ ผู้อื่นก็จะคิดหาวิธีช่วยแก้ต่างให้เขาอย่างสุดกำลัง
แต่วันนี้กลับไม่อาจเทียบได้กับวันก่อน
กระบี่ของผู้ใดว่องไว ดาบของผู้ใดคมกริบ ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่มีเหตุผลที่สุดในใต้หล้า
“ข้าสังหารเขาได้หรือไม่”
หวาหนงกล่าวพลางเอากระบี่ชี้ไปยังขอทานน้อยผู้นั้น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขากำลังถามตน
เหมือนว่าขอทานน้อยจะไม่ได้ยิน
ยังคงร่ำไห้ไม่หยุด
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบ
เขารู้ว่าขอทานน้อยผู้นี้ต้องมีบทบาทที่ยากรับมือยิ่งกว่าจิ้งเหยาเสียอีก
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น
และไม่รู้ว่าที่แท้แล้วควรตอบรับหรือปฏิเสธดี
หวาหนงเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
ก็รู้สึกเศร้าสร้อยอยู่ในใจ
เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองไม่มีความสำคัญอีกแล้ว
ไม่ได้รับความเชื่อมั่น
คนที่เดียวดายย่อมคิดเห็นสุดโต่ง
ความจริงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งไหนเลยจะปฏิเสธคนผู้หนึ่งเพียงเพราะกระบี่ของเขาพลาดเป้าไปครั้งเดียว
หากเป็นเช่นนี้จริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ควรไปกระโดดแม่น้ำตายนานแล้วจึงจะถูก
หวาหนงตั้งสติ
เก็บกระบี่ของตนกลับเข้าไปในฝักกระบี่โกโรโกโสที่เหลือเพียงครึ่งเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเขาล้มเลิกความตั้งใจแล้ว
ทว่านี่กลับเป็นจังหวะประจวบเหมาะให้หวาหนงได้เริ่มต้นใหม่พอดี
เขาใช้เพลงกระบี่ใดๆ ไม่เป็นทั้งสิ้น
สิ่งที่เขาทำเป็นก็มีเพียงใช้กระบี่หนึ่งครั้งเท่านั้น
แต่การใช้กระบี่หนึ่งครั้งจะต้องนับตั้งแต่ชักกระบี่ออกจากฝัก จึงจะนับว่าเป็นหนึ่งครั้งอย่างสมบูรณ์
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเพียงการใช้กระบี่ครึ่งครั้งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องนำกระบี่กลับเข้าฝักเสียก่อน
ภายในชั่วพริบตา
หวาหนงกลับกุมด้ามกระบี่ของตนอีกครั้ง
สายตาของเขาก็คือทิศทางที่คมกระบี่จะทอดตัวออกไป
ดวงตาประกายของเขาในยามนี้เพ่งตรงไปยังขอทานน้อยบนกำแพงสูงผู้นั้น
………………………………………
[1] ห่านป่าบินผ่านทิ้งร่องรอย เปรียบเปรยว่าแม้คนจะตายจากไปแล้วก็ยังจะทิ้งบางสิ่งเอาไว้ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี