ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 281 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-8
บทที่ 281 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-8
ขอทานน้อยเอามือปิดหน้าร่ำไห้
ตำแหน่งที่ปลายกระบี่ของหวาหนงเล็งไปก็คือช่องว่างระหว่างสองขา
อยู่ห่างกันเพียงสามชุ่นเท่านั้น
และประจวบเหมาะว่าอยู่ตรงกับคอของเขาที่กำลังขยับขึ้นลงเพราะสะอื้นไห้
เพียงแต่นี่เป็นความยินยอมของหวาหนงฝ่ายเดียวเท่านั้น
เพราะก่อนกระหวัดกระบี่ เขามักคิดถึงผลลัพธ์หลังจากตนออกกระบี่นี้ไป
หวาหนงมองเห็นว่าหลังจากออกกระบี่นี้ไป
กระบี่จะแทงผ่านช่องว่างกว้างสามชุ่มระหว่างขาทั้งคู่ของขอทานน้อยไปได้
จากนั้นก็แทงเข้าที่คอของเขา
ขอทานน้อยจะหยุดร้องไห้ไปเพราะเช่นนี้
หรืออย่างมากเขาจะสะอื้นได้อีกเพียงสองสามครั้ง
เพราะเส้นเสียงและหลอดลมล้วนถูกแทงจนทะลุ
เขาจะทำได้เพียงหายใจออก แต่กลับไม่อาจหายใจเข้าได้อีก
จากนั้นหวาหนงจะดึงกระบี่ของตนออก
ขอทานน้อยก็จะค่อยๆ ปลิวตกลงไปทางด้านหลังหรือไม่ก็ด้านหน้าเหมือนกับผ้าเช็ดหน้าไหมที่เขาทิ้งไปก่อนหน้านี้
สุดท้ายตกลงสู่พื้น
หากล้มลงด้านหน้า ก็ยังนับว่าไม่เลว
เพราะเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าใบหน้าของเขาจะตกลงมาบนผ้าเช็ดหน้าไหมที่อยู่บนพื้น
สำหรับคนที่รักความสะอาดเช่นเขาแล้ว
แม้จะตายไปแล้ว แต่ยังมีผ้าเช็ดมือไหมผืนหนึ่งกั้นระหว่างใบหน้ากับพื้นสกปรก ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ควรค่าแก่การจารึกเอาไว้ทีเดียว
“หากเจ้าสามารถแทงข้าได้ด้วยกระบี่เดียว ก็ต้องทำให้ข้าล้มลงมาข้างหน้าด้วย!”
ขอทานน้อยเงยหน้าขึ้นมาพูด
บนใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง
แต่กลับฉีกยิ้มกว้าง
เขาใช้สองแขนทุบตัวสองครั้ง
ยืดคอขึ้นตรง เผยให้เห็นลำคออย่างชัดเจน
เมื่อหวาหนงได้ยินคำพูดนี้ของขอทานน้อย
ถึงกับพึมพำกับตนเองเบาๆ
จากนั้นก็รู้สึกว่าสองขาอ่อนแรง
และคุกเข่าลงไปทันใด
คล้ายว่าสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ! คนผู้นี้ก็น่าสนใจนัก!”
ขอทานน้อยมองหวาหนงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ก่อนแหงนหน้าหัวเราะอย่างมีความสุข
เปลี่ยนจากทุกข์มาเป็นสุขได้รวดเร็วปานนี้
จิตใจของหวาหนงแตกสลายโดยสิ้นเชิง
เขาคิดไม่ถึงว่าที่ตนกำด้ามกระบี่เมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายกลับมองความคิดทั้งหมดของตนออก
ที่แท้แล้วมนุษย์น่าหวาดกลัวเพียงนี้เชียวหรือ
ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าเหล่าสิงสาราสัตว์ที่อาศัยในป่าก็คือสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่มีอยู่ในใต้หล้าแล้ว
แต่เขาไม่รู้ว่าแม้สัตว์ป่าเหล่านั้นจะน่ากลัว
เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว ไม่รู้ว่าพวกมันสะอาดกว่าตั้งเท่าใด
เมื่อมองจากภายนอก ขอทานน้อยผู้นี้ไม่ได้มีร่างกายใหญ่โตเช่นสัตว์ป่าเหล่านั้น
แต่เขากลับมีความคิดอ่านชั่วร้าย
สังหารคนต้องสังหารจิตใจ!
การสังหารคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
การสังหารจิตใจ จึงจะเป็นวิธีที่สามารถทำให้คนผู้หนึ่งพ่ายแพ้ได้โดยสิ้นเชิง
หวาหนงในเวลานี้
ถูกคำพูดของขอทานน้อยสังหารจิตใจไปแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาคุกเข่าอยู่บนพื้น รู้สึกเจ็บปวดเหลือทน
แต่ตัวเขาเองก็อับจนหนทาง
จิตใจมีไว้ให้แตกสลาย
ทุกครั้งที่แตกสลายก็จะมาพร้อมกับการผสานครั้งใหม่อีกครั้ง
บนรอยร้าวก่อนหน้า ล้วนปรากฏรอยประทับของดอกกุหลาบ
แต่ก่อนหน้านั้น
เขาจะต้องสามารถผสานมันขึ้นใหม่ก่อน
หลิวรุ่ยอิ่งอยากเล่าเรื่องของโอวฉูให้หวาหนงฟังเหลือเกิน
เพราะนั่นเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่ง
แต่ยามนี้หาใช่เวลาไม่
ทำได้เพียงให้เขาขืนฟันฝ่าไปให้ได้ด้วยตนเอง
หวาหนงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น
หันหน้าไปมองขอทานน้อยอย่างยากลำบาก
เห็นว่าเขายังคงยิ้มร่ามองตนเอง
“เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าจึงไม่ออกกระบี่เล่า ทั้งที่ข้าก็เผยช่องโหว่ให้เห็นแล้ว ทั้งตัวล้วนไม่มีการป้องกันใดๆ รอบกายล้วนถูกกระบี่ของเจ้าครอบคลุมเอาไว้แน่นหนา”
ขอทานน้อยถาม
“เพราะข้าไม่มั่นใจ เจ้ามองกระบวนกระบี่ของข้าออก”
หวาหนงกล่าว
“ที่เขาสามารถทานกระบี่ของเจ้าได้ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขาเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ได้คลายความระแวดระวังลงสักเวลา ทว่าเมื่อครู่นี้ข้ากลับรอให้เจ้าออกกระบี่อย่างใจจดใจจ่อ และไม่ได้เตรียมการป้องกันแม้แต่น้อย”
ขอทานน้อยกล่าว
“ในเมื่อเจ้ามองกระบวนกระบี่ของข้าออก เจ้าก็สามารถหลบพ้น”
หวาหนงกล่าว
“เขาไม่หลบ”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็โพล่งขึ้นมา
“เหตุใดเขาถึงไม่หลบ หรือว่าเขาอยากตายจริงๆ?”
หวาหนงถาม
“เขาไม่ได้อยากตาย เพียงแต่มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ออกกระบี่ก็เท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็มองกระบวนกระบี่ของข้าออก”
หวาหนงกล่าว
“เขาไม่ได้มองกระบวนกระบี่ของเจ้าออก แต่เขามองตัวเจ้าได้ทะลุปรุโปร่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ความสดใสในแววตาของหวาหนงไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
แต่ความสงสัยหนาทึบชั้นหนึ่งเริ่มเข้าปกคลุม
“เดิมทีข้าคิดจะลงมือตอนที่เขากำลังกินเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่ แต่คิดอีกทีก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด ต่อมาข้าก็อยากลงมืออีกในช่วงพริบตาที่เขาทิ้งผ้าเช็ดมือลงมา แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด ทว่าจวบจนข้ารอจนถึงโอกาสที่เหมาะที่สุด เขาก็กลับพูดความคิดของข้าออกมา”
หวาหนงกล่าว
“นี่ก็คือสาเหตุที่เขามองเจ้าได้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สาเหตุคือสิ่งใด”
หวาหนงกล่าว
“สาเหตุก็คือความลังเลของเจ้า ลังเลย่อมต้องปราชัย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้ามักรอให้ถึงจังหวะที่มั่นใจที่สุด เจ้าจึงเอาแต่เฝ้ารอ แต่ความผันแปรของมนุษย์มีมากกว่าสัตว์ป่าในป่าเขามากนัก ฉะนั้นความสมบูรณ์แบบที่เจ้าต้องการจึงเป็นสิ่งที่ต้องรอไปชั่วกาล!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ
แปะๆๆ!
“ล้ำลึก!”
ขอทานน้อยที่นั่งอยู่บนกำแพงสูงปรบมือพลางเอ่ย
“ทว่าในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาเตรียมตัวจะลงมืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าข้าทำสิ่งใด ทุกกระบี่ที่เขาจะพุ่งออกมาต้องยอดเยี่ยมที่สุดเป็นแน่ แต่ยิ่งรอก็จะยิ่งถูกบั่นทอน จนสุดท้าย ต่อให้รอบกายข้าล้วนมีช่องโหว่ เขาก็จะไม่กล้าออกกระบี่อีกแล้ว”
ขอทานน้อยกล่าว
“แพ้ชนะพลิกผัน ชีพสืบไม่สิ้น สรรพสิ่งเป็นหนึ่ง ไร้ขีดจำกัด”
“เจ้าอย่าพูดจะดีกว่า…เจ้ายิ่งพูด ข้าก็ยิ่งตัดใจฆ่าเจ้าไม่ลง หากเจ้าพูดอีกสองประโยค ข้าเกรงว่าต่อให้ต้องสังหารจิ้งเหยาก็ต้องให้เจ้ามีชีวิตอยู่เป็นแน่!”
ขอทานน้อยหันหน้ามาพูด
ความแพ้ชนะของหวาหนงกับขอทานน้อยเมื่อครู่นี้ล้วนผกผันไปมาไม่หยุด
ทั้งที่เขามีโอกาสออกกระบี่สังหารได้ถึงสามครั้ง แต่เขากลับปล่อยทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
หากเขายังต้องรอต่ออีก ไม่แน่ว่าอาจจะรอไปจนถึงครั้งที่สี่
ทว่าหวาหนงจิตใจแตกสลาย แม้แต่เรี่ยวแรงจะให้เขายืนขึ้นก็ยังหายไปสิ้นแล้ว
ยังจะเอ่ยถึงเรื่องหาช่องโหว่ใดอีก
มองย้อนกลับไปยังขอทานน้อยนั่น
เขากลับวางตัวว่าข้าดีข้าเก่งมาแต่ต้นจนจบ
ไม่ว่าเจ้าจะค้นพบกี่พันกี่ร้อยช่องโหว่ของข้า
ข้าก็ยังคงวางตัวเช่นนี้
จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดทั้งสิ้น
กลับกันยิ่งจะให้เจ้ามองเห็นช่องโหว่หนแล้วหนเล่า
เพราะภายใต้ช่องโหว่ที่มีให้เห็นไม่หยุดหย่อนเช่นนี้มักทำให้คนอยากรอต่ออีกสักพัก
ไม่แน่ว่าช่องโหว่ต่อไปจะยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ที่จริงแล้ว ช่องโหว่ก็คือช่องโหว่
คนผู้หนึ่งยามหันหน้าให้เจ้ากับยามที่หันหลังให้เจ้านั้น ไม่มีอะไรต่างกัน
หากเจ้าสามารถสังหารเขาได้
ต่อให้เขาระวังตัวเต็มที่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
เช่นเดียวกัน ช่องโหว่ของขอทานน้อยที่เกิดขึ้นหนแล้วหนเล่าก็ไม่ได้มีขนาดต่างกันเท่าไร
หวาหนงเอาแต่คิดว่ารออีกสักหน่อย
หารู้ไม่ว่าท้ายสุดแล้วกลับทำให้กำลังใจของตนสูญสิ้น จิตใจแตกสลาย
ส่วนขอทานน้อยนั้นกลับสร้างอาณาจักรใหญ่โตของตนขึ้นมาได้
ช่องโหว่แต่ละครั้งกลับก่อตัวเป็นวงกลมที่ไร้ขอบเขตและไร้จุดสิ้นสุดวงแล้ววงเล่า
ทำให้กระบี่ของหวาหนงที่เดิมทีแสนคมกริบถูกฝนจนทื่ออยู่ในวงกลมนี้
จนสูญเสียความเป็นตนเองไป
จากไร้ขีดจำกัดกลายเป็นมีขีดจำกัด
แพ้ชนะย่อมพลิกผัน
หวาหนงฟังคำของหลิวรุ่ยอิ่ง แม้ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด
แต่เขาก็ผ่อนคลายลงมาก
หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงว่าจิตใจของเด็กหนุ่มผู้นี้จะแข็งแกร่งได้เพียงนี้
เวลาเพิ่งผ่านไปเท่าใดเอง
เขาก็กลับมาครบสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว!
หลิวรุ่ยอิ่งสูดหายใจลึกๆ คราวหนึ่ง
แม้ไม่ได้ทำเพื่อเซียวจิ่นข่าน และไม่ได้ทำเพื่อตนเอง
ทว่าก่อนที่หวาหนงจะเบ่งบาน ก็จะไม่ยอมให้เขาต้องมาเหี่ยวเฉาอยู่ในลานหลังเหลาสุราในเมืองเล็กๆ แสนห่างไกลนี้
เพียงแต่คำพูดของขอทานน้อยกลับทำให้สีหน้าของจิ้งเหยาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่าเขาไม่เพียงใส่ใจกับคำพูดของขอทานน้อยอย่างยิ่ง กระทั่งยังมีความหวาดกลัวอยู่ด้วย
คล้ายว่าขอทานน้อยสามารถสังหารเขาได้เช่นนนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งแอบดีใจขึ้นมา
เพราะสิ่งที่เขาเฝ้ารอก็คือชั่วเวลาที่จิ้งเหยาร้อนรน
คำที่เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านั้น ไม่ใช่ว่าพูดกับขอทานน้อยและหวาหนงเท่านั้น
กับผู้ใดก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
ร้อนรนก็คือคมกริบ
ส่วนเยือกเย็นก็คือกลมกลึง
ก่อนหน้านี้คนที่ร้อนรนคือตนเอง
ฉะนั้นความคมกริบจึงเอาแต่ถูกความกลมกลึงของจิ้งเหยาเอาชนะอยู่ร่ำไป
ทว่ายามนี้ ผู้ที่ร้อนรนกลับเป็นฝ่ายตรงข้าม
ไม่ใช่ว่าแพ้ชนะพลิกผันอีกครั้งแล้วหรือ
ขอเพียงขอทานน้อยนั่นไม่ลงมือ
หลิวรุ่ยอิ่งก็มั่นใจได้ห้าส่วนว่าเขาสามารถเข้าโรมรันกับจิ้งเหยาได้
แม้จะมั่นใจเพียงห้าส่วน
แต่ก็นับว่าได้มาอย่างไม่ง่ายดายเลย
อย่างน้อยให้หวาหนงสบโอกาสหนีเอาชีวิตรอดได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
เพียงแต่สำหรับหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่มีต้นทุนใดที่สามารถใช้ชีวิตต่อไปไม่สิ้น
เขาเองก็ไม่รู้ว่าความกลมกลึงของตนจะคงอยู่ได้นานเท่าใด
อาจสามารถเอาชนะจิ้งเหยาได้ครั้งหนึ่ง
แต่ในครั้งที่สอง ครั้งที่สามควรรับมืออย่างไรเล่า
ทว่าขอเพียงมีครั้งที่หนึ่ง
ครั้งที่สอง ครั้งที่สามย่อมต้องมีความหวัง
แม้ความหวังนี้จะเล็กน้อยยิ่งนัก
แต่ก็คุ้มค่าที่จะลอง
………………………………………