ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 285 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-12
บทที่ 285 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-12
หลิวรุ่ยอิ่งสูดหายใจลึกๆ คราวหนึ่ง
คนที่สามารถใช้มีดเล่มเล็กปอกเปลือกผลไม้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้
ย่อมต้องเป็นผู้ที่ใช้ดาบได้ดีด้วยเช่นกัน
ในเมื่อสามารถปอกเปลือกผลไม้ได้อย่างงดงามถึงขั้นนี้
คาดว่าในวิถีแห่งดาบ เขาก็ต้องสามารถหลอมรวมและใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน
‘เทวรูป’ ปอกเปลือกผิงกั่วเสร็จหนึ่งลูกแต่ไม่ได้หยุดมือลง
ทว่าเริ่มปอกลูกที่สอง
จวบจนปอกผิงกั่วเสร็จสามลูกในคราวเดียว เขาจึงหยุดมือ
แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดมีดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงเก็บมีดเหน็บไว้ที่เอวดังเดิม
และโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งไว้ที่เท้าไปอย่างส่งเดช
“เป็นเจ้า…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เมื่อมองเห็นผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้นแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งจะยังไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด
ย่อมเป็นผู้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและจู่ๆก็ หายตัวไป
ขอทานน้อยที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อจิ้งเหยานั่นเอง!
ขอทานน้อยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่มือขวากลับชี้ไปยังผิงกั่วสามลูกที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วตรงหน้า
เบื้องหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อนับรวมตัวเขาเองก็มีคนอยู่เพียงสามคน
ฉะนั้นผิงกั่วสองในสามลูกนี้ จึงมอบให้ตนและหวาหนง
แม้แต่กระบี่ในมือ เขาก็ยังไม่กล้าวางลงห่างกายสักชุ่น
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการกินผิงกั่วอย่างสบายอกสบายใจ
ขอทานน้อยเห็นดังนั้นก็ไม่ได้บีบบังคับ
จึงหยิบผิงกั่วลูกที่อยู่ตรงกลางของทั้งสามลูกขึ้นมากิน
พร้อมกับนั่งลงกับพื้น
เขากวักมือเรียกหลิวรุ่ยอิ่ง
เป็นการบอกให้เขาก็นั่งลงด้วยกันเสีย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งหรือจะยอมทำตามที่เขาจัดแจง?
ยืนอยู่กับที่ ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“เจ้านายกองหลิวเป็นผู้ที่สามารถต่อกรกับผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิงได้อย่างเสมอกัน แต่กลับยังกลัวข้าอีกหรือ”
ขอทานน้อยเอ่ยยิ้มๆ
“จิ้งเหยาเป็นคู่ต่อสู้ที่ตรงไปตรงมา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หรือความหมายของเจ้าก็คือข้าเป็นคนชั่วที่ลับๆ ล่อๆ?”
ขอทานน้อยถามพลางชี้ตนเอง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
“จริงแท้…ความกังวลใจของเจ้าก็มีเหตุผลไม่เบา คู่ต่อสู้ที่ตรงไปตรงมาไม่ว่าสิ่งใดล้วนกระจ่างแจ้ง สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้ในคราวเดียว แต่ตัวข้า เจ้ากลับไม่ได้เข้าใจแต่อย่างใด จึงไม่โทษที่เจ้าระแวงข้าเพียงนี้”
ขอทานน้อยกล่าว
จากนั้นสายตาของเขาก็หันไปทางหวาหนง
หวาหนงไม่หวาดหวั่นต่อสายตาเขาแม้แต่น้อย
เมื่อได้คำชี้แนะของหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้
เขาจึงไม่มีความลังเลอีกแล้ว
เพราะลังเลย่อมต้องปราชัย
และความรู้สึกเช่นนั้น ทำให้คนทุกข์ทรมานอย่างจริงแท้
กระทั่งเขาไม่อยากจะลิ้มลองอีก
ดังนั้นตัวเขาในเวลานี้ จึงไม่มีความลังเลใดๆ อีกต่อไปแล้ว
“ไม่ผิด! เจ้ามีอาจารย์อาที่ดีผู้หนึ่ง…แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอาจารย์ที่ดี!”
จู่ๆ ขอทานน้อยก็กล่าวอย่างทอดอาลัยยิ่ง
แต่คำพูดนี้กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องตื่นตกใจอย่างยิ่ง
เขาไม่เคยบอกว่าตนเองคืออาจารย์อาของหวาหนง
ทั้งไม่มีใครรู้ว่าหวาหนงมีอาจารย์อยู่แล้ว หนำซ้ำอาจารย์ผู้นั้นก็ยังเป็นสหายสนิทของตนอีกด้วย
“หากเหตุการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ คิดว่าอีกไม่นานเซียวจิ่นข่านจะสามารถถ่ายทอดความสามารถทั้งหมดของเขาให้แก่เจ้าแล้ว”
ขอทานน้อยกล่าว
เขากินผิงกั่วในมือหมดแล้ว
จึงวางแกนผิงกั่วกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างเรียบร้อย
นั่นก็คืออยู่ระหว่างผิงกั่วสองลูกที่ปอกเปลือกเสร็จแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดอีก
คนตรงหน้านี้คล้ายว่ารู้จักทั้งตนเองและหวาหนงเฉกเช่นนิ้วในมือตน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เซียวจิ่นข่านเขาก็ยังรู้จักด้วย
“อ้อใช่…เจ้าไหว้ข้าแล้วสามหน ทว่าแม้แต่ตัวข้าเป็นใครกลับยังไม่ได้บอกกล่าวแก่เจ้า นับว่าเสียมารยาทโดยแท้!”
ขอทานน้อยกล่าวพลางลุกพรวดพราดขึ้นมา
เขาไหว้หลิวรุ่ยอิ่งสามหนเช่นกัน
“ข้ามีนามว่าเกาเหริน เกาในคำว่าสูงใหญ่ และเหรินในคำว่าคุณธรรม”
ขอทานน้อยกล่าว
เมื่อได้ยินนามนี้
หลิวรุ่ยอิ่งกลับหัวเราะออกมาอย่างหาได้ยาก
เพราะนามและตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นคนละขั้วกัน
เขาไม่ได้สูงใหญ่สักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น ก็มองไม่ออกว่ามีคุณธรรมใดแม้แต่น้อย
“ข้าเป็นศิษย์พี่ของเซียวจิ่นข่าน แต่ข้าไม่ได้ใส่ใจต่อศักดิ์อาวุโสนี้นานแล้ว เจ้าอยากเรียกข้าอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น”
เกาเหรินกล่าว
คำพูดนี้เขากลับพูดกับหวาหนง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยได้ยินเซียวจิ่นข่านเอ่ยถึงมาก่อนว่าเขายังมีศิษย์พี่อยู่ผู้หนึ่ง
หนำซ้ำ ตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางนี้ก็ไม่ใช่ว่าสืบทอดให้คนเพียงผู้เดียวมาแต่ไรหรอกหรือ
เหตุใดจู่ๆ ก็มีศิษย์พี่ผู้หนึ่งโผล่มา
“อย่าได้ไม่เชื่อ! คนคุยโวจะไม่อ้างว่าเป็นศิษย์พี่ของผู้อื่น แต่ล้วนบอกว่าเป็นอาจารย์ของผู้อื่นไปเสียเลย!”
เกาเหรินกล่าว
ข้อนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เป็นศิษย์พี่ของผู้อื่นก็ยังมีศักดิ์อาวุโสเสมอกัน
หาได้มีข้อได้เปรียบใด ทั้งยังไม่อาจทำให้ผู้อื่นหวั่นเกรง
โดยเฉพาะคนเช่นเซียวจิ่นข่านนี้
การแอบอ้างว่าเป็นศิษย์พี่ของเขากลับไม่มีความหมายใดแม้แต่น้อย
“ไม่ทราบว่าท่านมารอเราสองคนที่ศาลเจ้าในคืนฝนพรำเช่นนี้ มีคำชี้แนะใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ในเมื่ออีกฝ่ายสนทนากับตนอย่างสันติยิ่ง
เขาก็ไม่อาจเอาแต่นิ่งเงียบ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังรอพวกเจ้าอยู่ ที่นี่เป็นเรือนข้าแต่เดิมอยู่แล้ว!”
เกาเหรินกล่าว
“ท่านบอกว่าศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือเรือนของท่านงั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เกาเหรินไม่ตอบ แต่ตบเสื้อผ้าแสนเกินจริงบนกายเบาๆ
คล้ายกำลังบอกว่าเขาก็คือเทพผู้รับการบูชาในศาลเจ้าแห่งนี้
ดังนั้น ศาลเจ้าแห่งนี้ย่อมเป็นเรือนของเขา
หลิวรุ่ยอิ่งทอดถอนใจ
เขาคิดว่าตอนที่เกาเหรินยังอยู่ในคราบของขอทานน้อย ก็สามารถมองออกได้ว่าเขามีอารมณ์อ่อนไหวผิดปกติ
คนที่บทจะร้องไห้ก็ร้อง บทจะหัวเราะก็หัวเราะ นับว่าพบเห็นได้ยากยิ่งนัก
เวลานี้เขาไม่ใช่ขอทานน้อย
เพียงแปลงกายก็กลายมาเป็นเกาเหริน
กลายเป็นศิษย์พี่ของเซียวจิ่นข่าน
และกลายเป็นเทพมีชีวิตองค์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในศาลเจ้า
แล้วจะให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ปวดหัวได้อย่างไร
นั่นเพราะคนผู้นี้ก็คือคนบ้าผู้หนึ่ง
สิ่งที่คนบ้าทำเรียกว่าอาการวิกลจริต
เจ้าไม่มีวันจับทางความคิดและการกระทำของข้าได้
ทว่า คนบ้าก็ไม่ได้มีไว้ให้เข้าใจ
แต่จำเป็นต้องบังคับและกล่อมเกลา
แต่หากว่าบ้าจนถึงขั้นที่เกาเหรินเป็น
เกรงว่าต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใต้หล้าแต่โบราณมาล้วนกลับมามีชีวิตใหม่ และคอยอบรมกล่อมเกลาเขาทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน ก็ไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
หากไม่มีอารมณ์ความรู้สึกก็จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์
ส่วนคนบ้านั้น กลับมีอารมณ์ความรู้สึกที่มากจนเกินไป
ผู้อื่นเห็นใบไม้ร่วงก็จะคิดไปถึงสารทฤดู
แต่ในสายตาของคนบ้า ใบไม้ที่ร่วงลงมานี้จะกลายเป็นเปลือกตาของหญิงสาว
ใบไม้ปลิดปลิวนับไม่ถ้วนเริงระบำเมื่อต้องลม
ก็เป็นดังเปลือกตานับไม่ถ้วนของหญิงสาวกำลังกะพริบขึ้นลง
หากมีหญิงสาวเพียงหนึ่งคนกำลังส่งสายตารักให้เขา ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนงดงาม
แต่หากว่ามีจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น
เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีงามแล้ว
หากแต่เป็นเรื่องระทึกขวัญ
เกาเหรินทำเหมือนเล่นกล เขาหยิบสุราหนึ่งขวดและจอกสุราสามจอกออกมาอีก ก่อนจัดวางไว้ตรงหน้า
เขารินสุราใส่ทั้งสามจอกจนเต็มอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่เขาปอกเปลือกผิงกั่ว
จากนั้นก็ยกจอกที่อยู่ตรงกลางขึ้นมาดื่มจนหมด
จากสิ่งที่เขาทำทั้งสองอย่างนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็มองออกว่า
เจ้าบ้าเกาเหรินผู้นี้ ไม่เพียงบ้าสาหัสซ้ำยังหลงตัวเองขนานหนัก
ไม่ว่ายามใด ตนย่อมต้องเป็นผู้ที่เป็นศูนย์กลางผู้นั้น
กินผิงกั่วก็ต้องกินลูกที่อยู่ตรงกลาง
ดื่มสุราก็ต้องดื่มจอกที่อยู่ตรงกลาง
คนอื่นเพียงอยู่ข้างกายและขับเขาให้เด่นขึ้นเท่านั้น
“ทว่าที่เจ้าบอกว่าข้ากำลังรอเจ้าก็ไม่ได้ผิด แม้ข้าจะไม่มีความสามารถเช่นเดียวกับเซียวจิ่นข่าน แต่ก็สามารถคำนวณได้อย่างง่ายดายยิ่งนักว่าเจ้าจะต้องมาที่นี่”
เกาเหรินกล่าว
สิ้นคำก็ชี้ไปยังเบื้องหน้าของตนอีกครั้ง
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นเช่นนี้
ก็รู้ว่าเกาเหรินต้องมีเรื่องจะพูดกับตนเป็นแน่
แม้ทั้งหมดจะเป็นวาจาพิกลพิการ แต่ก็ต้องลองฟังดูก่อนว่าเขาจะพูดเช่นใด
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเขาอยากจะพูดกับตนก็เท่ากับว่าขอร้องตน
หลิวรุ่ยอิ่งเดินมาตรงหน้าเขาแล้วนั่งลง
ยกจอกสุราจอกหนึ่งขึ้นมา แต่เพียงถือไว้ไม่ได้ดื่ม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจิ้งเหยาต้องชิงเงินเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงของทัพชายแดนนั่นมา”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราในจอก
ส่ายหน้าไปมา
“เพราะเขาต้องการซื้อของ”
เกาเหรินกล่าว
“เช่นนั้นของนั่นก็แพงยิ่งนัก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา
“จะว่าไปแล้ว ของสิ่งนี้ไม่ได้แพงอะไร เพียงแต่ต่อให้เป็นของที่ราคาถูกอีกเท่าใด เมื่อซื้อจำนวนมาก ก็ต้องมีราคาแพงเช่นกัน”
เกาเหรินกล่าว
“เขาต้องการซื้อสิ่งใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
แต่พอพูดออกไป เขาก็นึกเสียใจแล้ว
เดิมทีเขาไม่ควรถามเลย
เกาเหรินก็พูดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
ย่อมต้องเป็นฝ่ายบอกเขามาเอง
ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับเทียบไม่ได้แม้แต่หวาหนง
พอเงยหน้าขึ้น
เขาก็เห็นเกาเหรินกำลังยิ้มอยู่
รอยยิ้มนี้ต้องเป็นเพราะดีใจที่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นฝ่ายถาม
นั่นเพราะมีถามก็ต้องมีตอบ
ฝ่ายตอบคำถามก็ไม่ใช่ว่าสามารถดึงอำนาจในการสนทนากลับมาได้แล้วหรือ
“ศรธนู!”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำนี้ มือที่กำลังรินสุราให้ตนเองอยู่ก็ชะงักไป
แม้ในใจจะตระหนกดั่งคลื่นคลั่ง
แต่บนใบหน้ากลับยังคงผจญคลื่นไม่หวั่นเกรง
“เงินสี่ล้านตำลึงนำมาซื้อศรธนู กลัวแต่ว่าเขาจ่ายไหว แต่กลับไม่มีที่ให้ซื้อเสียมากกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“จริงดังว่า…หลักการนานาในอาณาจักรห้าอ๋องนั้น ตัวเจ้านายกองหลิวย่อมต้องรู้ชัดกว่าข้ามาก อย่าว่าแต่ศรธนูราคาสี่ล้านตำลึงเลย ต่อให้แค่สี่ร้อยตำลึงก็ไม่มีคนกล้าขายให้เขา”
เกาเหรินกล่าว
“ฉะนั้นหากเขาซื้อได้ ย่อมต้องมีผู้ปราดเปรื่อง[1]คอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยหนึ่งถ้อยแต่มีสองความหมาย
เขามีนามว่าเกาเหริน
และหลิวรุ่ยอิ่งก็ใช้คำว่าผู้ปราดเปรื่อง
เกาเหรินจะเป็นผู้ปราดเปรื่องหรือไม่ เขาก็ไม่รู้แน่ชัด
แต่ผู้ที่สามารถหาลู่ทางให้จิ้งเหยาซื้อศรธนูเป็นจำนวนถึงสี่ล้านตำลึงเงินได้ นอกจากเขาแล้วจะยังมีผู้ใดอีก
จากจุดนี้ นับว่าเขาก็เป็นผู้ปราดเปรื่องผู้หนึ่ง
“แต่เจ้าก็รู้ เหตุใดข้าต้องบอกเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า”
เกาเหรินถาม
เวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งเพียงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้
ไม่ได้เอ่ยปากถามอีก
เกาเหรินเบ้ปาก
ยกขวดสุราขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกใหญ่
เห็นชัดว่าหงุดหงิดที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เดินไปตามจังหวะของเขา
คนบ้าทนไม่ได้ที่คนรอบข้างขัดต่อเขา
เพราะพวกเขามักเชื่อมั่นว่าตนเองไม่มีทางผิดพลาด
เกาเหรินสามารถอดกลั้นไว้ได้โดยไม่คลุ้มคลั่งออกมา เพียงดื่มสุราไปหนึ่งอึก
มองออกว่าเขาก็ได้รับการอบรมสอนสั่งมาไม่เลวเลย
อย่างน้อยนับได้ว่าเป็นคนบ้าที่ทรงสง่าผู้หนึ่ง
“เพราะข้าต้องการให้เจ้าไปขัดขวางเขา!”
เกาเหรินกล่าวต่อ
“ข้าเป็นเพียงนายกองเล็กๆ ผู้หนึ่งของกรมสอบสวน เหตุใดท่านจึงจะให้ข้าทำการใหญ่โตเช่นนี้ เบี้ยหวัดนั่นก็ไม่ใช่ว่าท่านให้เขาชิงไปเองหรอกหรือ ลู่ทางซื้อศรธนูก็ไม่ใช่ว่าท่านหาให้เขาหรือ ยามนี้กลับจะให้ข้าไปขัดขวางเขา สนุกนักหรือไร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เฮ้อ…ก็เพราะว่ามันไม่สนุกเอาเสียเลย จึงอยากหาเรื่องสนุกๆ สักหน่อยอย่างไรเล่า”
เกาเหรินถอนหายใจอย่างแรงพลางเอ่ย
“ท่านเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการละเล่นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
………………………………………
[1] ผู้ปราดเปรื่อง ในภาษาจีนคือ高人 อ่านว่า เกาเหริน ในที่นี้พ้องเสียงกับชื่อตัวละครเกาเหริน