ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 286 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-13
บทที่ 286 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-13
“ไม่ผิด! ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าชอบสนทนากับเจ้า! คำที่ข้าคิดแต่ไม่อยากเอ่ย เจ้าก็มักพูดมันออกมา สิ่งที่ข้าทำแต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยออกมาเช่นใด เจ้าก็ยังสามารถพูดออกมาได้ด้วย! ฮ่าๆๆ!
เกาเหรินเอ่ยพลางหัวเราะลั่น
และถึงกับหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
หวาหนงที่อยู่ข้างๆ ต้องตกใจจนอ้าปากตาค้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าเวลาคนผู้นี้หัวเราะน้ำตาก็ยังไหลออกมาด้วย
“แต่หากบอกว่าเป็นการละเล่นก็ดูไม่ค่อยให้ความเคารพเกินไปหน่อย…จะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่ควรเรียกว่าอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เจ้าว่าคือการละเล่น เช่นนั้นข้าก็จะว่าตามเจ้า!”
เกาเหรินหยุดหัวเราะ
เอ่ยพลางตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่ง
“เพียงแค่หาความสนุกเล็กน้อยเท่านั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น”
เกาเหรินกล่าว
พร้อมเอาขวดสุราออกมาจากข้างหลังอีกขวดหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าทั้งที่ข้างหลังเขาเป็นเพียงโถงว่างเปล่าเท่านั้น
เหตุใดจึงเอาขวดสุราออกมาได้เรื่อยๆ เล่า
แต่นี่กลับไม่ใช่ประเด็นสำคัญในเวลานี้
เพราะเกาเหรินบอกว่านี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น
“เพราะนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงที่สุดในหล้าเท่าที่ข้าจะคิดออก! เมื่อเริ่มแล้ว ภายหลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างข้าเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ ก็เหมือนกับคนที่รู้ทุกสิ่งเช่นเซียวจิ่นข่าน แต่กลับทำได้แค่เฝ้าดูอย่างจนปัญญา หากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องอยู่อย่างจืดชืดไปทั้งชาติ!”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งในเวลานี้มั่นใจแล้วว่าเกาเหรินผู้นี้เป็นคนบ้าโดยสิ้นเชิง
ด้วยความสามารถของเขา ไม่ว่าจะหมายปองชื่อเสียงหรืออำนาจ
ก็เรียกได้ว่าง่ายดายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก
แต่เขากลับเห็นว่าการก่อกวนให้ใต้หล้าไม่สงบสุขเป็นเพียงการละเล่นแก้เบื่อของตนเท่านั้น
“แล้วเหตุใดท่านจึงเลือกจิ้งเหยา”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะเขาต้องการสงคราม ต้องการล้างแค้น แม้ว่าภายในอาณาจักรห้าอ๋องจะยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่มีจิตใจแทบไม่ต่างจากเขาเช่นกัน แต่คนผู้นี้กลับสุขุมและฉลาดกว่าจิ้งเหยามากนัก อย่างไรเสียหมากที่ใช้เดินก็ต้องเชื่อฟังสักหน่อยเป็นดี เพราะยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะแสดงฝีมือได้ตามใจชอบ”
เกาเหรินเอ่ยพลางส่ายหัว
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาในทันใด
ที่เกาเหรินเลือกใช้จิ้งเหยาผู้นี้ใช่ว่าไม่มีสาเหตุ
เรื่องการล้างแค้นและเชื่อฟังที่เขาเอ่ยถึงเป็นเพียงส่วนที่ผิวเผินที่สุดเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความจริงแล้วเขาก็คือคนผู้นั้นที่เหมือนกับจิ้งเหยา
นี่หาใช่เพียงการละเล่นแสนเรียบง่ายตาหนึ่ง
แต่คือกระบวนการล้างแค้น
จิ้งเหยาต้องการล้างแค้นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
ส่วนเกาเหรินก็ต้องการล้างแค้นเซียวจิ่นข่าน
เซียวจิ่นข่านคือ ‘ไท่ไป๋’ สุดยอดนักพรตอินหยาง
หากเกาเหรินยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกับราชสำนักทุ่งหญ้าได้จริงๆ
ผู้ที่ต้องตกที่นั่งลำบากที่สุดกลับไม่ใช่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
ไม่ใช่หลางอ๋องหมิงเย่า
และไม่ใช่เหล่าชาวบ้านที่ต้องระหกระเหินด้วยเพลิงสงคราม
แต่เป็นเซียวจิ่นข่านผู้รู้เห็นทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งแต่กลับจนปัญญาจะรับมือ
และตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางก็จะไม่ได้เป็นของเขาอีกแล้ว
ตั้งแต่แรกของการต่อสู้ เขาก็พ่ายให้แก่เซียวจิ่นข่าน
ฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องการทำก็คือทำทุกวิถีทางเพื่อให้เซียวจิ่นข่านเป็นทุกข์
สังหารจิตใจ
น่ากลัวยิ่งว่าสังหารตัวคน
เขาต้องการให้ชีวิตที่เหลือของเซียวจิ่นข่านอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตีรวนเรียกลมเรียกฝนจากทุกแห่งเพื่อยั่วยุให้เกิดสงครามในใต้หล้า
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเล็กน้อย
เดิมทีคิดว่าเมื่อรู้สาเหตุของเรื่องนี้แล้ว ก็จะมองเรื่องต่างๆ ชัดขึ้นอีกมาก
แต่สิ่งที่ตามมากลับเป็นความรู้สึกไร้หนทางช่วยที่แสนลึกล้ำ
เขาตัวเล็กกระจ้อยร่อยเกินไป
เล็กจ้อยกระทั่งเกาเหรินสามารถบอกทุกสิ่งที่ตัวเองทำให้เขารู้โดยไม่ต้องปกปิดแต่อย่างใด
เพราะเกาเหรินรู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
ต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งสามารถขัดขวางจิ้งเหยาได้จริง
ก็จะต้องมีแผนในภายหลังต่อไปอีก
โดยเฉพาะคนตาย
ยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งดี
“แต่เวลานี้ท่านบอกกล่าวแก่ข้าแล้ว ข้าก็สามารถแสดงฝีมือได้ตามใจชอบแล้วน่ะสิ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เกาเหรินผายมือออกด้วยท่าทีที่ไม่ได้แยแสแต่อย่างใด
“ข้าล้วนบอกแก่เจ้าไปหมดแล้ว ก็ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าไปแสดงฝีมือได้ตามใจชอบหรอกหรือ มีความสามารถเท่าใดก็เค้นออกมาเถิด ไม่ต้องเก็บงำไว้ สืบสวนใต้หล้าผดุงความสงบเป็นเป้าหมายของกรมสอบสวนพวกเจ้าไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินกล่าว
“ไม่ผิด ทว่าเพียงข้าเล่ารายงานเรื่องนี้ต่อใต้เท้าผู้บังคับการกรมสอบสวน จะต้องสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น เกรงว่าคงไม่ต้องให้ข้าน้อยสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ผู้บังคับการ? เว่ยฉี่หลิน? ความคิดเช่นนี้ของเจ้าช่างดีเหลือเกิน! นี่เรียกว่าตรรกะวิบัติโดยแท้!”
เกาเหรินพูดทั้งปรบมือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
เดิมทีเขาก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ในกรมสอบสวน
เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยใดๆ
แต่ก็เป็นเพราะความอ่อนต่อโลกของเขาจึงสามารถทำให้การนี้น่าสนุกยิ่งขึ้น
จุดเล็กๆ จุดหนึ่งขับดันทั้งกรมสอบสวน
เบื้องหลังกรมสอบสวนกลางก็คือฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่า
ในอาณาจักรห้าอ๋องมีดินแดนของสองอ๋องที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทั้งยังรวมกับราชสำนักทุ่งหญ้าอีกฝ่ายหนึ่ง
เพียงเท่านี้ก็โกลาหลมากพอแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งคว้าจอกสุรา
เงยหน้าดื่มจนหมด
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“เจ้าจะไปที่ใด”
เกาเหรินถาม
ไม่ค่อยเข้าใจที่หลิวรุ่ยอิ่งลุกพรวดพราดขึ้นมา
“ทำตามที่ท่านสั่งการ ไปยับยั้งเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าเดิมทีเจ้าเข้ามาในศาลเจ้านี้เพราะเหตุใด”
เกาเหรินถาม
“ย่อมไม่ลืม ข้ามาเพื่อหลบฝน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ใช่แล้ว…เพื่อหลบฝนแต่ยามนี้ฝนยังไม่หยุด เหตุใดเจ้าจะไปเสียแล้วเล่า…”
เกาเหรินพึมพำกับตนเอง
และกลับน้อยอกน้อยใจขึ้นมา
“ฝนยังไม่หยุดจริงดังว่า แต่ใจข้าเป็นฟ้าสดใสแล้ว ฉะนั้นฝนที่ตกลงมาใส่หัวก็ไม่เป็นไรอีกแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่…แต่ว่าสุรานี่ยังดื่มไม่หมด!”
เกาเหรินกล่าว
กลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่และไหลรินลงมา
ยามมองไปประหลาดเกินเอ่ย
“ดังนั้นจะต้องดื่มสุรานี้จนหมด?”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ดื่มสุราเพียงเพื่อรอฝนหยุดตก…ยามนี้ฝนยังไม่หยุด สุราก็ยังดื่มไม่หมด เจ้าจะไปได้อย่างไร”
เกาเหรินกล่าว
เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกแล้ว
ครึ่งประโยคหลังถึงกับแผดเสียงคำราม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าไม่อาจพูดหลักการกับคนบ้าได้
นับประสาอะไรกับเวลานี้ เขาไม่แน่ใจเลยว่าจะแข็งขืนและหนีรอดออกไปได้
จึงนั่งลงอีกครั้ง
รินสุราลงในจอกของตน
และยังให้หวาหนงเข้ามาร่วมดื่มสุราด้วยกัน
“เขานับว่าเป็นอาจารย์ลุงของเจ้า เจ้าควรคารวะสุราเขาสักจอก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงจ้องจอกสุรานิ่ง คิดอยู่พักหนึ่ง
สุดท้ายก็ยกจอกขึ้นมาคารวะเกาเหรินจอกหนึ่ง
“เหอะๆ! เป็นเช่นนี้ดีตั้งเท่าใด!”
เกาเหรินพูดเบาๆ
“นี่เป็นของกำนัลแรกพบจากอาจารย์ลุง!”
เกาเหรินดึงมีดเล่มเล็กที่ใช้ปอกผิงกั่วเมื่อครู่นี้จากตรงเอวส่งให้หวาหนงพลางเอ่ย
หวาหนงไม่ได้ลังเล
รับมีดเล็กนั้นมาและเก็บเอาไว้
แต่ดวงตากลับไม่ได้มองมีดเล็กเล่มนั้นด้วยซ้ำ
“สุราของท่านพอให้ดื่มจนฝนหยุดหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“จะไม่พอได้อย่างไร ฝนจะตกหนักเท่าใดข้าก็มีสุรามากเท่านั้น!”
เกาเหรินเอ่ยอย่างรีบร้อน
จากนั้นสองมือก็หยิบสุราจากข้างหลังมาวางไว้ข้างหน้าไม่หยุดหย่อน
เพียงพริบตา ตรงหน้าคนทั้งสามก็มีขวดสุราวางอยู่หลายสิบขวด
ทั้งหมดล้วนมีน้ำหนัก มีสุราอยู่เต็มขวด
“นี่เป็น ‘คฤหัสถ์ลูกแป้ง’ สุราเลื่องชื่อแห่งแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง”
เกาเหรินเอ่ยพลางชี้ไปที่ขวดสุราทั้งกองนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขารู้จักชื่อเสียของ ‘คฤหัสถ์ลูกแป้ง’
แต่ก็เพิ่งเคยดื่มครั้งแรก
เขามองออกว่าเพราะตนยอมอยู่ต่อ เกาเหรินก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด
กระทั่งไปยกอาหารทั้งหมดบนโต๊ะบูชาลงมา
คนทั้งสามทั้งกินทั้งดื่ม
เกาเหรินคอยเติมสุราคีบอาหารให้ทั้งสองคนตลอดเวลา
ด้วยท่าทีมีไมตรีจิตเป็นที่สุด
“เป็นเทพมีความรู้สึกอย่างไร”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็ถามขึ้นมา
“เจ้าอยากรู้หรือไม่”
เกาเหรินย้อนถามอย่างมีลับลมคมนัย
คำถามทำนองนี้ของเขา แต่ไรมาหลิวรุ่ยอิ่งล้วนไม่ตอบ
ฉะนั้นเกาเหรินจึงทำได้แค่ถามเองตอบเองอย่างหมดอารมณ์
เขาถอดเครื่องแต่งกายแสนเกินจริงบนตัวออก
ก่อนเอาใส่ไว้บนตัวหลิวรุ่ยอิ่ง
ต่อจากนั้นก็ลูบผงทองบนมือและสีทองบนใบหน้าของตนหลายครั้ง นำมาทาบนผิวของหลิวรุ่ยอิ่งในส่วนที่เผยออกมา
จากนั้นก็ชี้ไปยังที่นั่งบนแท่นบูชาแล้วกล่าวว่า
“ขึ้นไปลองนั่งดูสิ ความรู้สึกเช่นนั้นอธิบายออกมาไม่ได้หรอก!”
แม้ในใจของหลิวรุ่ยอิ่งจะเอือมระอา
แต่ก็ทำได้แค่ทำตามประสงค์ของเขา
นึกไม่ถึงว่าตนเพิ่งจะนั่งลงดีๆ บนที่นั่งบนแท่นบูชา
เกาเหรินก็คุกเข่าดังตุบลงทันใด
จากนั้นก็ดึงตัวหวาหนงลงมาคุกเข่าด้วย
เขาโขกหัวไปพลาง ปากก็เอาแต่พึมพำไม่หยุดไปพลาง
เพียงแต่เสียงของเขาดังยิ่งนัก
หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
สิ่งที่เกาเหรินพูดก็คือ
ภรรยาของเขาตายเพราะคลอดยาก
ตนต้องเลี้ยงดูลูกเพียงผู้เดียวลำบากเหลือเกิน…
จนใจนักที่ตนไม่มีทรัพย์สมบัติ
มีเพียงที่ดินเลวสองหมู่ วัวผอมๆ ตัวหนึ่ง
ของเหล่านี้เพียงพอไปสู่ขอหญิงม่ายในหมู่บ้านใกล้เคียงเท่านั้น
เขาหวังว่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์จะสามารถมอบโชควาสนาให้แก่เขาสักคราว!
ไม่ต้องถึงกับเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน อย่างน้อยๆ ก็ขอหญิงวัยกลางคนสักคน
ขอเพียงไม่ใช่หญิงม่ายเป็นพอ
หลังพร่ำพูดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้น แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมา
แล้วใช้มันปัดเสื้อผ้าของตนตรงบริเวณหัวเข่า
ยิ้มบานมองหลิวรุ่ยอิ่งและกล่าวว่า
“เป็นอย่างไร สนุกมากใช่หรือไม่ ยามอากาศดีๆ นั่งอยู่ที่นี่ทั้งวัน เรื่องที่ได้ยินก็มีแต่คำพูดเช่นนี้ทั้งสิ้น!”
เกาเหรินกล่าว
“ดูทีแล้วเป็นเทพก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
หลิวรุ่ยอิ่งเดินลงมาจากแท่นบูชาพลางเอ่ย
และกำลังจะเอาแขนเสื้อเช็ดหน้า
เกาเหรินกลับยื่นผ้าเช็ดหน้าไหมให้ผืนหนึ่ง
ผ้าเช็ดหน้าไหมของเขาก็เหมือนกับขวดสุราของเขา
ที่คล้ายว่าจะเอาออกมาได้ไม่มีวันจบสิ้น
“ไม่ง่ายจริงแท้…ทว่าหากบังเอิญได้พบคนสองคนที่ขอเรื่องเดียวกัน ข้าก็ยังทำให้พวกเขาได้สมดังที่ขอ!”
เกาเหรินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปนอกประตู
แม้ว่าฝนจะยังไม่หยุดตก
แต่ก็เบากว่าก่อนนี้มากแล้ว
เขาเห็นว่าแม้เกาเหรินผู้นี้จะบ้าแต่ไม่ได้โกหก
สุราของเขามีมากกว่าฝนจริงดังว่า!
………………………………………