ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 288 เห็นดารากลางทิวา-2
บทที่ 288 เห็นดารากลางทิวา-2
“ใช่แล้ว…พวกเราพี่น้องสองคนตื่นแต่เช้าเร่งเดินทางไปทำกิจธุระ กลับจำเป็นต้องเดินผ่านเมืองแห่งนั้น นึกไม่ถึงว่าเหตุใดวันนี้กลับถูกทหารปิดล้อมเอาไว้แน่นหนานัก…กำลังกังวลอยู่ทีเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ซ้ำยังแสร้งทำท่าเศร้าสลดผิดหวังพลางเกาหัว
“บังเอิญเสียจริง ข้าเองก็ต้องเดินผ่านเมืองข้างหน้านี้ด้วยเช่นกัน ไม่สู้พวกเราเดินไปพร้อมกันเสียเลยเล่า”
สตรีนางนั้นกล่าว
“ได้ร่วมเดินทางกับพี่สาวนับว่าดีงามเป็นที่สุด…เพียงแต่ดงหอกดงดาบของทหารเหล่านั้น น่าหวาดกลัวนัก…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ในมือของพวกเจ้าทั้งสองคนก็ไม่ใช่ว่ามีกระบี่หรอกหรือ เหตุใดข้าจึงไม่หวาดกลัวเล่า”
สตรีเอ่ยพลางชี้ไปยังกระบี่ในมือของหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนง
“นั่นเพราะพี่สาวดวงตาแหลมคม มองเพียงหนก็ดูออกว่านี่เป็นเพียงของปลอมที่พวกเรามีไว้สำหรับเร่งเดินทาง ไหนเลยจะเทียบได้กับเหล่าทหารที่สังหารคนโดยไม่กระพริบตาเหล่านั้น?”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวยิ้มๆ
“ของปลอมก็มีประโยชน์ของของปลอม เจ้าดูสิสองมือเปล่าๆ ก็ไม่ใช่ว่าเดินทางมาได้ไกลถึงเพียงนี้หรอกหรือ”
สตรีผายมือออกพลางเอ่ย
“ขอสอบถามพี่สาวมาจากแห่งใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“มาจากข้างหน้า”
สตรีกล่าวและชี้ไปยังข้างหลังของตน
ทั้งที่เป็นข้างหลังแต่นางกลับบอกว่าเป็นข้างหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยชม
“เก่งกล้าอะไรกัน…ก็แค่ยอมสละได้เท่านั้น”
สตรีปิดปากหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย
จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า
เดินออกไปไม่กี่ก้าว คล้ายไม่ได้ยินว่าข้างหลังมีการเคลื่อนไหว
จึงหันหน้ากลับไปมองหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนง
หลิวรุ่ยอิ่งคิดสักพัก จึงถือกระบี่เร่งสาวเท้าตามไป
“อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนไม่ต้องกล่าวสิ่งใด เพียงตอบรับไปคำหนึ่งเป็นพอ!”
สตรีกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
“หยุด! บัญชาแห่งทัพเจิ้นเป่ยอ๋อง ที่แห่งนี้ต้องปิดกั้นสิบวัน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเดินอ้อมไป”
ทหารกั้นด่านเห็นคนทั้งสามเดินมาแต่ไกลจึงเอ่ยด้วยเสียงดุดัน
“นายทหารท่านนี้…พวกเราสามพี่น้องมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ! หากให้เดินอ้อมไป อย่างน้อยๆ ต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงสามวันทีเดียว! ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะทนรอได้ถึงวันนั้นหรือไม่…”
เมื่อสตรีผู้นั้นพูดจบ
ก็เริ่มสะอื้นไห้ขึ้นมา
ทหารเห็นสตรีนางนี้ร้องไห้
ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรขึ้นมาทันใด
“นี่เป็นคำสั่งทหาร! ข้าน้อยเองก็จนปัญญา จะอย่างไรแม่นางจงโดนอ้อมไปเสียเถิด!”
ทหารกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
เพิ่งสิ้นเสียงของทหารผู้นี้
คนผู้หนึ่งที่ท่าทางเหมือนผู้บังคับบัญชาก็เดินเข้ามา
“บิดาของข้าเจ็บหนัก มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ข้าจึงพาน้องชายทั้งสองคนเดินทางตลอดทั้งคืน เร่งเดินทางไปให้ทันทำศพ นึกไม่ถึงว่าถนนสายนี้กลับใช้เดินทางไม่ได้เสียแล้ว หากต้องเดินอ้อมไปเกรงว่าพอไปถึงท่านพ่อก็จะไม่อยู่เสียแล้ว…”
สตรีกล่าว
และร้องไห้เศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิม
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ข้างหลังมองภาพทั้งหมดอย่างเยือกเย็น
เขาคิดว่าบางครั้งสตรีก็ดีกว่าบุรุษมากมายเหลือเกิน
โดยเฉพาะสตรีที่บทจะร้องไห้ก็ร้องไห้ บทจะหัวเราะก็หัวเราะได้เช่นนี้
ทำเอาไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี
นายทหารผู้นั้นพินิจมองอย่างละเอียด กลับเริ่มหลงใหลในความเย้ายวนและใบหน้าของสตรีผู้นี้
“จะรีบไปทำศพจริงรึ”
นายทหารถาม
“เจ้าค่ะ นายท่านทหาร! เร่งเดินทางยามกลางคืนมาหลายวัน รองเท้าหล่นหายก็ยังไม่มีเวลาซื้อใหม่…”
สตรีหยุดร้องไห้
ย่อตัวลงเอ่ยพลางลูบที่สองเท้าของตน
ดูน่าสงสารเวทนานัก
“เฮ้อ…ทุกวันนี้บุตรธิดาที่กตัญญูเช่นนี้กลับมีไม่มากแล้ว! ในเมื่อจะรีบไปทำศพ ก็จงรีบผ่านไปเสีย! แต่ตอนขากลับจงจำไว้ว่าห้ามเดินมาทางนี้อีก!”
นายทหารกล่าว
“ขอบคุณนายท่านทหาร! ขอบคุณนายท่านทหารเจ้าค่ะ!”
เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ใหญ่กว่าตัวมาก
พอก้มศีรษะลงเช่นนี้ กลับให้นายทหารผู้นั้นเห็นภาพรัญจวนใจเต็มตา
กระทั่งอดสูดหายใจลึกไม่ได้
และบังเกิดความคิดอื่นขึ้นมาทันใด
“ทว่าแม้การเร่งเดินทางไปทำศพจะสำคัญ แต่หากเดินเท้าเปล่า คิดว่าคงเดินไปได้ไม่เร็วกระมัง”
นายทหารเปลี่ยนหัวข้อไปทันใด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีหน้าเขา
ก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
ทว่าเขาก็เข้าใจว่าที่สตรีนางนี้เอ่ยว่า ‘สละได้’ ก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร
“เป็นดังนั้นจริงๆ…เพียงแต่ตลอดทางไม่พบเห็นตลาดใดๆ หนำซ้ำ…หนำซ้ำ…”
สตรีอ้ำๆ อึ้งๆ
แต่ไม่พูดกลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับหมื่นนับพัน
“ในเมืองถูกปิดแล้ว บ้านเรือนล้วนถูกควบคุมไว้ทั้งหมด เจ้าตามข้าไปเลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้าสักคู่เถิด!”
นายทหารกล่าว
“ขอบคุณความเมตตาของนายท่านทหาร! เพียงแต่น้องชายข้าทั้งสอง…”
สตรีชี้ไปยังหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงที่อยู่ข้างหลัง
หวาหนงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
เอาแต่ก้มหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งกลับทำท่ายอมเชื่อฟังตามคำสั่ง
ยามสายตาของนายทหารผู้นั้นทอดมาถึงตนกลับไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด
“ให้พวกเขาเข้าไปด้วยเถิด รอสักประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!”
นายทหารกล่าว
จากนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็โค้งตัวผงกหัวกล่าวขอบคุณไม่หยุด ก่อนเดินผ่านเข้าไป
เขามองสตรีและนายทหารผู้นี้เดินเข้าไปในกระโจมค่ายพลางถอนหายใจ
“พวกเราต้องรออยู่ที่นี่จริงๆ หรือ”
หวาหนงกล่าว
“หากไม่รอ แล้วพวกเราจะไปที่ใดได้”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
ก่อนช้อนตาขึ้นมอง โดยรอบล้วนมีแต่ทหาร
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม
ทุกแห่งจึงจุดคบเพลิงเพื่อส่องสว่าง
ทำให้ไร้ที่จะซ่อนตัว
“บิดาของนางตายแล้วจริงหรือ”
หวาหนงถาม
“ไม่ว่าจะตายหรือไม่ นับแต่นี้ไปก็คือตายแล้ว ส่วนพวกเราก็จะต้องรีบไปทำศพ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขารู้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในกระโจมค่าย
จึงจงใจเดินไปให้ไกลอีกหน่อย
เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงดังจากข้างในที่ตนวางตัวไม่ถูก
บิดาของสตรีผู้นี้อาจตายแล้วจริงๆ
อาจเป็นปีก่อน และอาจเป็นเมื่อเดือนก่อน
คิดว่าสตรีผู้นี้ต้องเป็นหญิงเจ้าเล่ห์
“นางยอมสละสิ่งใด ก็แค่ร้องไห้เท่านั้น”
หวาหนงพึมพำกับตนเองขณะมองสตรีผู้นั้นเดินเข้าไปในกระโจมค่ายกับนายทหาร
“หากเอ่ยถึงของนอกกายนั้นไม่มี นางไม่ได้มอบสิ่งใดให้ทั้งสิ้น คำว่าสละที่นางเอ่ยก็คือสละตนเอง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงไม่เข้าใจความหมายแฝงในถ้อยคำของหลิวรุ่ยอิ่งแต่อย่างใด
แม้เขาเรียนรู้ที่จะร้องไห้และหัวเราะเป็น ทั้งเข้าใจมนุษย์ในภาพกว้างๆ แล้ว
แต่เขากลับไม่เข้าใจสตรี
เพราะเขาไม่เคยสมาคมกับสตรีมาก่อน
โดยเฉพาะสตรีที่ยอมสละตนเองเช่นนี้
เกรงว่าแม้แต่ทังจงซงที่เป็นยอดฝีมือแห่งหมู่ผกา[1] ก็ยังต้องยอมถอยให้สามส่วน
เพราะหากสตรีผู้หนึ่งยอมสละตนได้ เช่นนั้นนางย่อมกล้าสละทุกสิ่ง
ร่างกายตนจะนับเป็นสิ่งใด?
ชีวิตก็ยังสามารถเอาทิ้งไว้เบื้องหลังได้
เพียงแต่มีสตรีบางคนที่ยอมสละตนเอง สตรีบางคนกลับให้ผู้อื่นเสียสละเพื่อนาง
เช่นเดียวกับผิงกั่วในศาลเจ้าก่อนหน้านี้
หากกินทั้งเปลือก รสสัมผัสก็จะเฝื่อนเปรี้ยว
แต่หากปอกเปลือกมันออก รสสัมผัสยามเข้าปากกลับหอมหวานนัก
หากสตรีผู้หนึ่งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเจ้า มีเล่ห์กล เช่นนั้นนางก็ต้องการให้เจ้าเป็นฝ่ายเสียสละ
แต่เมื่อสตรีผู้หนึ่งเปิดเผยองอาจ พูดจาเถรตรง
เช่นนั้นก็หมายความว่านางยินยอมจะสละตนเพื่อเจ้า
เพียงแต่สตรีอย่างหลังนั้น โดยมากล้วนไม่น่าพึงใจ
กลับกันพวกที่มีเล่ห์กลย่อมถูกใจคนมากกว่า
ทว่ามีเพียงผู้ที่ฉลาดที่สุดจึงจะสามารถกะน้ำหนักของทั้งสองสิ่งได้พอดิบพอดี
เมื่อใดควรเรียบง่าย เมื่อใดควรมีเล่ห์กล
นั่นเพราะในโลกหล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถเข้าถึงจิตใจคนได้มากกว่าการให้อภัยและความเข้าใจอีกแล้ว
ทว่าสตรีเช่นนี้โดยทั่วไปแล้วจะมีเหตุมีผล
เพราะนางรู้ชัดว่าตนเองต้องการสิ่งใด
ดังเช่นสตรีนางนี้
นางช่วยหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงอาจเพียงเพราะความพอใจชั่วครั้งชั่วคราว
ทว่า เวลาสตรีทำการใดๆ ก็ใช่ว่าเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พวกนางคิดว่าพอใจจะทำหรือไม่ก็เท่านั้น
หากพอใจแล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งเหตุผลก็ยินยอมทำ
แต่หากว่าไม่พอใจ ต่อให้เจ้าเอาเหตุผลทั้งปวงในใต้หล้ามาวางตรงหน้านาง นางก็จะใช้ไฟเผามันเสีย ไม่ไยดีแม้แต่น้อย
ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งหันหลังให้กระโจมค่าย กำลังใคร่ครวญถึงปัญหาเหล่านี้อยู่นั่นเอง
หวาหนงก็ตบไหล่เขา
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าสตรีผู้นั้นเดินออกมาแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้
แต่นางกลับยังคงเท้าเปล่าอยู่เช่นเดิม
ไม่ได้สวมรองเท้าแต่อย่างใด
“ข้าพาพวกเจ้าเข้ามาแล้ว”
สตรีกล่าว
แต่ไม่มีสีหน้าท่าทางเช่นก่อนนี้
“ขอบคุณพี่สาวมาก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวคำขอบคุณไปหนนึง
“เพียงแต่เหตุใดยังคงไม่สวมรองเท้าอยู่เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“รองเท้าไม่พอดีเท้า ทั้งยังไม่เข้าตา ต่อให้เข้าตาแล้ว ต่อให้ไม่พอดีเท้า ข้าก็จะยอมสละเท้าของตน ยัดเข้าไปในรองเท้านั้น”
สตรีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณอย่างยิ่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าทำไปเพื่อความสนุกของตนเท่านั้น…หาได้ช่วยเจ้าอย่างจริงใจ ทว่าในเมื่อเจ้าขอบคุณข้าด้วยความเกรงใจถึงสองคราว ข้าก็จะเตือนเจ้าคำหนึ่ง เพื่อให้สมกับความเกรงใจทั้งสองประโยคนี้ของเจ้า!”
สตรีกล่าว
“พี่สาวโปรดบอกมา!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างสุภาพ
“รีบหนี!”
ริมฝีปากแดงของสตรีเอ่ยคำสองคำนี้ออกมาเบาๆ
………………………………………
[1] ยอดฝีมือแห่งหมู่ผกา หมายถึง เจนจัดเรื่องผู้หญิง